บทที่ 33 งานวิจัย (1)
นี่คือการโจมตีที่ปราดเปรื่องที่สุดของซูเฉินในปัจจุบัน ในตอนนั้นเอง แสงสว่างเจิดจ้าก็ฉายขึ้นทั่วทั้งผิวทะเล
ระหว่างการโจมตีที่น่าตกใจนี้ เหล่าทหารบนกองทัพเรือกระทั่งลืมเกี่ยวกับเทพอสูรกายไปเสียสนิทอยู่ครู่หนึ่ง
“ช่างสวยงามอะไรอย่างนี้ !” หมู่ทหารต่างถอนหายใจขณะที่พวกเขาจ้องมองไปยังเหตุการณ์เบื้องหน้า
หลังจากแสงสว่างจ้านั้น พวกเขาก็สามารถมองเห็นได้ว่าเบื้องหลังฉากที่สวยสดงดงามนี้คือรูที่ยุบเข้าไปอย่างน่าตกใจที่ถูกเจาะทะลวงเข้าไปในร่างกายของจักรพรรดิอสูรกาย รูนั้นเจาะทะลุร่างของอสูรกายไปโดยสมบูรณ์ ไม่เพียงเท่านั้น แต่พลังสายฟ้ายังได้แพร่กระจายออกไปเมื่อมันได้สัมผัสกับร่างของอสูรกายอีกด้วย กระทั่งพื้นที่โดยรอบหลุมนั้นก็ไหม้เป็นตอตะโก
จักรพรรดิอสูรกายดูเหมือนกับเป็ดย่างที่ถูกตัดชิ้นส่วนใหญ่ออกมาไม่มีผิด ร่างกายของมันถูกเผาจนกรอบและได้สูญเสียการเคลื่อนไหวส่วนมากไปแล้ว
ปราบจักรพรรดิอสูรกายด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว !
เหล่าทหารจ้องมองซูเฉินอย่างไม่เชื่อสายตา และกระทั่งตัวซูเฉินเองก็ตกตะลึงเช่นกัน
เขารู้ว่า ด้วยความหยั่งรู้ในสายฟ้าและฝนฟ้าคะนองของเขาแล้ว การโจมตีเต็มกำลังของชายหนุ่มนั้นยิ่งกว่าสามารถที่จะสร้างบาดแผลให้แก่สิ่งมีชีวิตในระดับพลังนั้น แต่การสร้างความเสียหายถึงเพียงนี้ควรจะเป็นไปไม่ได้สิ เขาได้ใช้เวลามากกว่า 30 อึดใจในการรวบรวมพลังสูงสุดในตอนนั้น
ชายหนุ่มประหลาดใจที่ตัวเองได้สร้างการโจมตีรูปแบบใหม่ขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ การโจมตีที่รวบรวมและบีบอัดพลังธาตุให้ไปสู่ระดับที่น่าเหลือเชื่อ
พลังทำลายล้างที่สามารถถูกปลดปล่อยโดยผู้โจมตีเช่นนั้นได้ข้ามผ่านการคาดการณ์ของเขาไปโดยสมบูรณ์
โชคไม่ดีนัก เพราะระยะเวลาที่เขาใช้ในการร่าย ทักษะนี้จึงใช้การไม่ได้ในการต่อสู้ 1 ต่อ 1 อย่างแน่นอน แต่ในการต่อสู้ก็จะมีสถานการณ์ที่มันจะเป็นประโยชน์อยู่ด้วยอย่างแน่นอน
นี่คือวิชาจิตที่ 2 ที่ซูเฉินเป็นผู้ควบคุม มันต้องการพลังจิตปริมาณมหาศาลในการรวบรวมพลังสายฟ้ามากขนาดนั้น แต่ความเชี่ยวชาญของซูเฉินในสายฟ้าก็จะต้องสูงมากเพื่อที่จะบีบอัดมันไปถึงระดับนั้น
นี่เป็นหนึ่งในการโจมตีที่ทรงพลังที่สุดของซูเฉินในตอนนี้
ที่จริงแล้วซูเฉินได้ทำการวิจัยมายมายหลายแบบในไม่กี่ปี่ที่ผ่านมา แต่เขาไม่ได้ใช้เวลามากนักในการตั้งสมาธิกับการเพิ่มพูดความแข็งแกร่งของตัวเอง ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่รู้จักทักษะใหม่ใด ๆ ให้แสดง แต่ถึงอย่างนั้นพื้นฐานที่มั่นคงที่เขาได้พัฒนามาก็เพียงพอที่จะช่วยให้เขาสร้างทักษะใหม่ขึ้นมาได้ในจังหวะที่เกิดแรงบันดาลใจ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นผลของการเตรียมพร้อมที่ดี
วิชาจิตสายฟ้าของซูเฉินยังคงอยู่ในขั้นตอนเบื้องต้น แต่เมื่อเขาปรับแต่งมันเรียบร้อยแล้ว มันจะมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นไปอีก แต่นั่นจะเกิดขึ้นในอนาคต
แม้ว่าจักรพรรดิอสูรกายจะไม่ได้ถูกสังหารโดยการโจมตีของซูเฉิน มันก็ไม่ได้ห่างไกลจากความตายมากนัก กองทัพเรือโจมตีด้วยพลังที่ฟื้นฟูกลับมาและจับตัวจักรพรรดิอสูรกายไว้อย่างรวดเร็วโดยลากร่างของมันออกไป ในท้ายที่สุด การเดินทางออกล่าก็ประสมความสำเร็จทีเดียว
เมื่อหลินจุ้ยหลิวเห็นซูเฉินลากซ่างหลี่กลับมายังห้องทดลอง เขาก็พูดขึ้น “ทั้งหมดนี่เพื่อไอเด็กเวรนี่หรือ ? และเจ้าถึงขั้นไปเองด้วยซ้ำ ?”
ซูเฉินหัวเราะ “อย่าดูถูกเขาเลย ถ้าเราต้องการจัดการกับตัวตุ่นเหล่านั้นที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืด เราจะต้องหาให้ได้ว่าพวกเข้าเอื้อมได้ไกลเพียงไร และสิ่งแรกก็มักจะสำคัญเป็นพิเศษอยู่เสมอ”
“แม้ว่าเจ้าจะจับข้าได้ แต่คนอื่น ๆ ก็จะระแวดระวังและจะควบคุมการกระทำของพวกเขาเสียหน่อย แล้วเจ้าจะจับกุมพวกเขาได้อย่างไรล่ะ ?”
ซูเฉินตอบ “เม็ดเหยื่อกลิ่นหอมที่เจ้าพกมาด้วยทำให้เห็นเลยว่าเจ้ากำลังสร้างปัญหาให้กับกองทัพเรือ ข้าออกคำสั่งให้ตามหาทุกคนเมื่อพวกเรากลับไปเรียบร้อยแล้ว ใครก็ตามผู้พกพาเม็ดเหยื่อกลิ่นหอมเหล่านี้มาด้วยจะต้องถูกจับกุมทันที”
ท่าทางของซ่างหลี่แข็งทื่อ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่คาดคิดเลยว่าซูเฉินจะดึงเอาสิ่งนั้นออกมา
ซูเฉินพูดต่อ “แน่นอนว่านั่นไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีใครที่กำจัดเม็ดเหล่านั้นได้ทันเวลา หรือไม่มีคนที่ระมัดระวังและไม่พกเมล็ดไว้กับตัวจนกระทั่งพวกเขาได้รับภารกิจอย่างเป็นทางการ บางคนที่โชคดีก็อาจจะใช้เมล็ดของตัวเองไปแล้ว แต่ไม่ว่ายังไงเราก็จะต้องจับมาได้บ้าง ส่วนที่เหลือ……”
ซูเฉินหัวเราะ “งั้นเราก็ไม่ต้องรีบร้อน พวกเราจะค่อย ๆ ไล่ตามจับพวกเขา”
ซ่างหลี่พูด “ถ้าเจ้าพลาดโอกาสนี้ไป เราจะไม่มีครั้งใหม่ให้เจ้าอีกแล้ว”
“แต่เจ้าจะยังสร้างปัญหาต่อไปใช่ไหมล่ะ ?” ซูเฉินตอกกลับ “ถ้าเราวางแผนใหม่ ก็ไม่แปลกที่เจ้าจะพยายามหาวิธีการใหม่ในการทำลายการทำงานของพวกเราอยู่ดี”
ซ่างหลี่ไม่อาจต้านทานการถามคำถามที่โง่เง่าได้ “งั้นถ้าเรายืนยันว่าจะไม่ทำอะไรล่ะ ?”
ซูเฉินขำก๊าก “นั่นไม่ดีขึ้นไปอีกหรือ ? เจ้าแค่เชื่อฟังข้าและทำตัวเป็นคนรับใช้ของข้า ตราบใดที่เจ้าเชื่อฟังคำสั่งของข้า ข้าก็ไม่สนใจว่าหัวใจของเจ้าจะเป็นของข้าหรือไม่ก็ตาม”
ซ่างหลี่พูดไม่ออก แต่เขาก็ไม่อยากยอมแพ้ “เจ้าไม่สามารถจับเจ้านายของข้าได้หรอก เจ้านายของข้านะปราดเปรื่อง ถ้ายังมีเขาอยู่ แผนการของเจ้าก็จะไม่มีวันสำเร็จ”
“นี่แหละเหตุผลที่ข้าจับตัวเจ้ามา” ซูเฉินตอบอย่างใจเย็น “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป งานวิจัยของข้าจะงอกเงยขึ้นอีกครั้ง”
“อะไรนะ ?” คราวนี้ ทั้งซ่างหลี่และหลินจุ้ยหลิวต่างก็ถามอย่างช่วยไม่ได้
“จิตใจ” ซูเฉินตอบอย่างสงบนิ่งขณะที่เขาวางมือลงบนหน้าผากของซ่างหลี่ “การวิจัยวิธีการช่วยเหลือผู้คนให้หลบหนีจากการควบคุมของเผ่าวิญญาณ และวิธีการค้นพบเส้นทางของคนที่คอยชักใยอยู่เบื้องหลัง”
หลินจุ้ยหลิวหยีตา “มันจะไม่ง่ายแน่ ๆ เจ้ามีท้องสมุทรโศกาวิชาไร้สายเลือด สายเลือดผสม และตอนนี้งานวิจัยจิตใจให้เจ้าต้องเป็นกังวล เจ้ามีเวลาพอไหม?”
ซูเฉินยิ้ม “ท่านดูถูกความสามารถในการวิจัยของข้านะ”
การมีไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดนั้นเหมือนกับการมีเวลามากมาย นี่คือเหตุผลที่เขากล้าไล่ตามเป้าหมายการวิจัยที่แตกต่างกันมากมายไปพร้อม ๆ กัน
สำหรับซูเฉิน กระบวนการวิจัยเป็นไปแบบนี้
ขั้นแรก เขาจะทำการสืบค้นและวิเคราะห์ขั้นพื้นฐานเพื่อกำหนดหลักการโดยสิ่งที่ดำเนินการ เพราะไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดจะไม่สามารถช่วยเขาได้ในกรณีนี้ ชายหนุ่มจำเป็นต้องทำการสืบค้นด้วยตัวเองและสร้างพื้นฐานที่เหมาะสมขึ้นมาเสียก่อน
และเมื่อไปถึงยังจุดหนึ่ง เขาจะเริ่มพิจารณาการทดลองและโครงการรูปแบบอื่น
นั่นคือเวลาที่ไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดจะเป็นประโยชน์ ไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดสามารถช่วยให้ซูเฉินหลีกเลี่ยงโครงการที่ผิดพลาดและเลือกทางที่แม่นยำที่สุด หากซูเฉินเป็นผู้ที่คิดโครงการที่ถูกต้องขึ้น ค่าใช้จ่ายก็จะถูกลงไปอีก บางทีอาจต้องใช้เพียงผลึกแก้วต้นกำเนิดระดับต่ำเท่านั้น เนื่องจากไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดเพียงต้องบอกซูเฉินว่าเส้นทางที่เขากำลังพิจารณานั้นผิดหรือถูกกันแน่
หลังจากที่รักษาเวลาได้มากมายบนด้านลองผิดลองถูกนี้ ซูเฉินก็จำเป็นจะต้องตรวจสอบการสำรวจของเขาสักหน่อย
การที่เขารู้ว่ามีหนึ่งเส้นทางที่ถูกต้องและเส้นทางอื่น ๆ ที่ผิด ยังช่วยให้เขายึดมั่นในหลักการพื้นฐานเหล่านี้ได้ดียิ่งขึ้น ด้วยวิธีนี้ ชายหนุ่มจะสามารถได้รับประสบการณ์ที่เขากระโดดข้ามมาด้วยการใช้ไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิด
หลังจากนั้น ซูเฉินจะดำเนินการการทดลองรอบต่อไป
นี่คือวิธีที่ซูเฉินทำการวิจัยของเขา การทดลองการค้นพบและการใช้ไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดนั้นเข้าขากันเป็นอย่างดี และอัตราการเก็บสะสมความรู้ของเขาก็เพิ่มสูงขึ้นโดยไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดด้วยเช่นกัน ไม่ใช่ว่าไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดได้หยุดชะงักความสร้างสรรค์ของเขาลง
ที่จริงแล้ว เป้าหมายหลักของไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดคือเพื่อช่วยให้ซูเฉินเรียนรู้ได้เร็วยิ่งขึ้น เพื่อที่เขาจะสามารถนำการค้นพบของเขามาใช้งานจริงให้ได้
หลาย ๆ ครั้ง การค้นพบข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ก็ใช้เวลาหลายทศวรรษ แต่เมื่อความจริงถูกค้นพบแล้ว มันก็เป็นไปได้ที่ศิษย์สักคนจะเรียนรู้มันได้ในไม่กี่วัน
ด้วยการพึ่งพาไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิด ซูเฉินกำลังรับบทเป็นศิษย์คนหนึ่ง บางงานวิจัยที่อาจทำให้เขาต้องใช้เวลาหลายสิบปี กลับใช้เพียงเวลาเตรียมการครึ่งปี การทำนาย 1 นาที และเวลาราว ๆ 1 เดือนในการทบทวนการค้นพบของเขา หากบางสิ่งไม่ได้เป็นไปตามแผน เขาสามารถที่จะทำ 2 ขั้นตอนแรกซ้ำอีกสักหน่อยก็ได้ และเส้นทางที่ถูกต้องก็จะเปิดเผยออกมาเองในที่สุด ระยะเวลาที่เขาจะต้องใช้ไปกับปัญหาเหล่านี้นั้นช่างน่าสงสารจริง ๆ
ด้วยเหตุนี้ คนอื่น ๆ จึงเชื่อว่าซูเฉินจะต้องใช้เวลาทั้งชีวิตในการไล่ตามแต่ละเป้าหมายของเขา แต่ซูเฉินก็ไม่ได้รู้สึกว่าเขางานยุ่งจนไม่อาจรับมือไหวแต่อย่างใด
ผลคือ เขายังมีเวลาบ่มเพาะทุกวันและจัดการเรื่องในนิกายทั่วไปบางส่วน
ซูเฉินไม่เคยใช้ไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดต่อหน้าหลินจุ้ยหลิวมาก่อน หลินจุ้นหลิวจึงไม่รู้เลยว่าความแข็งแกร่งที่แท้จริงของซูเฉินคือสิ่งนี้นั่นเอง เขากระแอมและไม่เชื่ออย่างเห็นได้ชัด แล้วจึงพูดขึ้น “หากเป็นเช่นนั้นข้าก็ไม่คิดจะอ่อนข้อกับเจ้าหรอกนะ และยาผสานสายเลือดของข้าก็เสร็จสมบูรณ์แล้วด้วย ว่าแต่ตัวทดลองที่เจ้าสัญญากับข้าไว้ล่ะ ?”
“ผลของยาผสานสายเลือดยังไม่สิ้นสุด ยังต้องวิจัยเพิ่มอีก”
“นั่นแหละเหตุผลที่ข้าต้องการตัวทดลอง”
“ข้าไม่มีทางยอมยกตัวทดลองมนุษย์ให้ท่านง่าย ๆ หรอก”
“งั้นก็หาหมู ไก่หรือหมาที่ฝึกวิชาสู่อมตะของนิกายไร้ขอบเขตมาให้ข้าก่อนสิ” หลินจุ้ยหลิวตอบอย่างกระแทกกระทั้น
ทั้งสองจิกกัดกันบ่อยทีเดียว หลิวจุ้ยหลิวหวังเสมอว่าศิษย์ของซูเฉินจะสามารถสืบทอดสายเลือดผสมที่เขาสร้างขึ้นมาได้ แต่ซูเฉินก็รู้สึกว่าการรองรับพลังจากสายเลือดทั้งหมดเหล่านั้นจะยังไกลสำหรับพวกเขาเกินไป เขาจึงต้องการทดสอบพลังของยาผสานสายเลือดเหล่านี้อย่างละเอียดเสียก่อน เช่นเดียวกันกับเบาบางผลของมันลงอย่างมีประสิทธิภาพหรือปรับเปลี่ยนส่วนของพลังของพวกเขาเป็นศักยภาพแฝง
ทั้งสองคนได้ทำงานอย่างหนักเกี่ยวกับปัญหานี้มาสักพักใหญ่แล้ว
ตอนนี้พวกเขาได้ร่วมมือกันสร้างยาผสานสายเลือดได้สำเร็จ หลินจุ้ยหลิวมองชีวิตมนุษย์เป็นเพียงสิ่งไร้ค่าและต้องการตามหาตัวทดลองมนุษย์มาทดสอบมัน แต่ซูเฉินก็หยุดเขาลงทันที
ในตอนนั้นซูเฉินก็กล่าวขึ้น “ท่านไม่จำเป็นจะต้องกินยาเข้าไปในร่างกายเพื่อทดสอบผลของมันหรอก ข้ามีวิธีอื่น”
หลินจุ้ยหลิวกลอกตา “ข้าได้ยินมานานนมแล้วว่าเจ้าทำการทดลองกับสิ่งมีชีวิตเช่นกัน จู่ ๆ ทำไมถึงใจดีขึ้นมาเสียอย่างนั้นล่ะ ?”
ซูเฉินตรวจสอบยานั้นด้วยเนตรมองโลกจุลภาคของเขาเพื่อสังเกตส่วนประกอบของมันขณะที่ตอบว่า “ข้าเคยใช้งานศัตรูของข้ามาก่อน ผู้คนชั่วร้ายหลายคน ผู้คนน่ะจะเติบโตและมีวุฒิภาวะมากขึ้นเสมอ ตอนข้ายังเด็กข้าก็ยินดีที่จะบรรลุเป้าหมายโดยอะไรก็ตามที่เป็นไปได้ มีคนอยางเจ้าอยู่ไม่มากหรอก ราชาแห่งความโกลาหล ผู้สามารถรักษาความคิดราวเด็กน้อยไว้ได้ตลอดกาล”
ขณะที่พูด ซูเฉินก็แสยะยิ้ม
เขาพูดเหมือนกับว่ากำลังยกย่องหลินจุ้ยหลิว แต่ที่จริงแล้วกำลังล้อเลียนหลินจุ้ยหลิวที่ทำตัวไม่เหมาะสมกับความเป็นผู้ใหญ่ต่างหาก แต่ทักษะของซูเฉินในการล้อเลียนผู้อื่นนั้นก็เยี่ยมยอดเสียจนหลินจุ้ยหลิวพบว่าไม่อาจตอกกลับได้ หลังจากผ่านไปสักครู่อีกฝ่ายก็กระแอม “เจ้าจ้องสิ่งนั้นมามาเป็นชาติแล้ว เจออะไรหรือยังล่ะ ?”
“ธรรมชาติที่รุนแรงของยายังไม่ลดลง พลังของมันยังดิบเถื่อนไปหน่อย และยังมีพลังงานส่วนเกินข้างในอีกด้วย มันไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวกับวัตถุดิบแต่เป็นกระบวนการสกัดของมัน ท่านยังต้องพัฒนาทักษะของท่านอีกหน่อยนะ ราชาแห่งความโกลาหล แต่ข้าไม่ได้แปลกใจนักหรอก อย่างไรท่านก็ไม่ได้ศึกษาการปรุงยามาทั้งชีวิต ข้าบอกท่านแล้วว่าควรให้ศิษย์บางคนในหอยาปรุงมันขึ้นมาได้ แต่ท่านก็ไม่ฟัง” ซูเฉินโยนขวดยากลับคืนไปให้หลินจุ้ยหลิว “ปรุงมันใหม่อีกครั้ง”
หลินจุ้ยหลิวหยิบยานั้นไปและพลิกมันอยางระมัดระวัง “เจ้าสามารถตรวจจับปัญหาได้เพียงแค่มองพวกมันเนี่ยนะ ?”
“ถ้าท่านไม่เชื่อข้า ลองตัดผงนั่นออกมาสักนิดแล้วป้อนมันให้หมาหรือแมวจรจัดสักตัวสิ ก่อนที่ท่านจะสามารถสกัดยานั้นได้อย่างเหมาะสม ข้าต้องไปทำธุระอย่างอื่นเสียก่อน” ซูเฉินกล่าวขณะที่เขากลับหลังหันและจากไป
“เจ้าจะไปทำอะไรหรือ ?” หลินจุ้ยหลิวถาม แต่เขาก็เห็นซูเฉินเดินไปยังซ่างหลี่และพูด “มองตาข้า”
เขาใช้วิชาสรรพสิ่งลวงตา
หลินจุ้ยหลิวตกตะลึงไปครู่หนึ่งก่อนที่จะนึกขึ้นได้ว่าซูเฉินเพียงแค่เริ่มต้นการค้นคว้าจิตใจของเขาขึ้นเท่านั้น