บทที่ 662 จอมสร้างเรื่องถูกเปิดโปง

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

บทที่ 662 จอมสร้างเรื่องถูกเปิดโปง

โจวอู่นีและหลินซิ่วตามพวกเขากลับมาด้วย และถูกจัดแจงให้พักอยู่บ้านข้าง ๆ ลุงเจียงและป้าเจียง

ซึ่งก็คือบ้านที่หลินชิงเหอเคยมาอยู่ตอนรอคลอด

ตอนนี้ไม่มีใครเช่า จึงให้สองผู้เฒ่าช่วยกันดูแล ไปปัดกวาดบ้างเป็นครั้งคราวก็พอ

คุณป้าเจียงลงแปลงผักไว้ในสวน กินไม่หมดแน่นอน แถมในทุก ๆ วันยังสามารถเก็บผักไปขายที่ตลาดได้สองตะกร้า ทำให้หญิงชรารู้สึกชื่นอกชื่นใจสุด ๆ

เจียงเกิงเจียงเหิงพาโจวอู่นีและหลินซิ่วมา และพวกหล่อนก็ถูกจัดแจงให้พักอยู่นี่

ลุงเจียงป้าเจียงที่เป็นปู่ย่าได้ยินเซวียเหม่ยลี่ลูกสะใภ้เล่าให้ฟังบ้างแล้ว จึงดีกับโจวอู่นีและหลินซิ่วสุด ๆ

โดยเฉพาะป้าเจียงที่ดึงมือโจวอู่นีแล้วเอาแต่ชมว่าสวย ดูมีสง่าราศี และแน่นอนต้องชมหลินซิ่วว่าหน้าเหมือนป้าของหล่อน เป็นคนงามเหมือน ๆ กัน

พวกเขากินข้าวร่วมกับพวกป้าเจียง ไม่ต้องไปทำเอง

ส่วนเจียงเกิงกลับบ้านไปก็โดนแม่เขาทุบเสียน่วม นี่ถ้าแม่บุญธรรมเขาไม่ไล่กลับมาคงไม่คิดจะกลับบ้านแล้วใช่ไหม?

“แม่ แม่ ผมเอาเสื้อผ้าสวย ๆ กลับมาให้แม่เยอะมากเลยนะครับ แม่ดูสิว่าใส่ได้รึเปล่า” เจียงเกิงยิ้มเอาใจ

โจวกุยหลายเอาไวน์มาฝากผู้อำนวยการเจียง แถมไม่ใช่ชนิดที่ราคาถูก ซึ่งเขาก็เอากลับมาด้วย

“ลูกเอากลับมาฝากอะไรกัน แม่บุญธรรมลูกซื้อให้แม่ต่างหาก” เซวียเหม่ยลี่แค่นเสียง

ก่อนจะไปดูเสื้อผ้าตัวเอง พอได้เห็นตาของหล่อนก็เป็นประกายวาบ ไม่สั่งสอนลูกชายต่อแล้ว “แม่บุญธรรมลูกนี่สายตาหลักแหลมจริง ๆ เสื้อผ้าที่เลือกมาให้เหมาะกับแม่สุด ๆ”

“ของหนูก็สวยนะคะ” เจียงอวี๋หยิบกระโปรงตัวน้อยของตัวเอง พูดอย่างดีใจ

ส่วนผู้อำนวยการเจียงกำลังชื่นชมไวน์ขวดนั้นอยู่ ของนำเข้าของแท้เลยนะเนี่ย

หลังจากที่ทั้งบ้านใจเย็นลงแล้ว ก็เริ่มซักถามเขาเกี่ยวกับเรื่องของโจวอู่นีและเจียงเหิง

“ยังไม่เป็นรูปเป็นร่างเลยครับ พี่รองผมยังอยู่ในช่วงพิจารณา ยังไม่รู้ว่าพี่หมิ่นเอายังไง แต่หล่อนเพียบพร้อมมากจริง ๆ” เจียงเกิงบอก

เซวียเหม่ยลี่ยังไม่รู้ว่าสถานการณ์ของโจวอู่นีเป็นยังไงจึงเอ่ยถาม

“วันนี้ดึกมากแล้ว พรุ่งนี้แม่ไปดูพี่หมิ่นเองเลย หน้าตาดี กิริยางาม และเป็นครูสอนมัธยมปลาย รายได้มั่นคงดั่งชามข้าวเหล็กเลยล่ะ ดีขนาดนี้ผมล่ะกลัวจริง ๆ ว่าพี่รองจะไปไม่รอด” เจียงเกิงพูดตามความจริง

ผู้หญิงสอนหนังสือเป็นที่นิยมมากในยุคปัจจุบัน ในยุคนี้ยิ่งไม่ต้องพูดถึง รายได้มั่นคงสมคำร่ำลือ ถึงเงินเดือนไม่สูงมากแต่สวัสดิการดี และสถานะทางสังคมค่อนข้างสูง ถ้าออกไปข้างนอกแล้วบอกว่าลูกสะใภ้เป็นครูสอนหนังสือใคร ๆ ก็ต้องยกยอ

วันรุ่งขึ้นเซวียเหม่ยลี่จึงมาหาโจวอู่นี หน้าตาของโจวอู่นีไม่ถือว่าสวยมาก แต่เป็นประเภทดูแล้วเจริญตา เป็นหน้าตาดูมีจิตใจกว้างขวางที่คนรุ่นป้ารุ่นยายเห็นแล้วพึงพอใจ

เซวียเหม่ยลี่เห็นแล้วพอใจมาก “เมื่อคืนนอนหลับสบายไหมจ๊ะ? วันนี้ไปกินข้าวบ้านน้าไหม? น้าออกไปซื้อของมาทำแต่เช้า”

โจวอู่นีตอบยิ้ม ๆ “ถ้าอย่างนั้นต้องรบกวนคุณน้าแล้วนะคะ”

“ไม่รบกวน ๆ พวกหนูมาเยี่ยมเยียนได้น้าดีใจมาก” เซวียเหม่ยลี่กล่าวยิ้ม ๆ

พวกผู้หญิงมานี่ก็เพื่อชื่นชมความรุ่งเรืองของเซี่ยงไฮ้ จะไปบ้านฝ่ายชายในทันทีเลยก็ถือว่าใช่ที่

แต่ไปบ้านเจียงเกิงนั้นต่างออกไป เพราะทั้งสองบ้านเป็นญาติกันอยู่

เซวียเหม่ยลี่ทักทายเสร็จแล้วก็ให้ลูกชายพาพวกหล่อนออกไปเดินเที่ยว เซี่ยงไฮ้เจริญอย่างไม่ต้องสงสัย รถเมล์เยอะมาก สะดวกสุด ๆ

จากนั้นหล่อนก็เข้าไปหาแม่สามี “แม่ คิดว่าเด็กคนนั้นเป็นไงบ้างคะ”

“ไม่มีที่ติ ฉันกลัวว่าเธอไปดูที่บ้านลุงใหญ่เธอแล้วจะไม่พอใจเสียอีก” ป้าเจียงพูดไปตามตรง

เด็กสาวแบบนั้นมีอะไรให้ติ เป็นบัณฑิตจบจากมหาวิทยาลัยแล้วยังเป็นครูด้วย ดีจะตาย ใครได้แต่งงานด้วยถือว่ามีบุญ

เซวียเหม่ยลี่เอ่ยยิ้ม ๆ “ฉันคุยกับพี่หลินแล้ว หล่อนเองก็คงเคยบอกเสี่ยวหมิ่น แล้วยังยอมมาด้วย ฉันว่าน่าจะไม่ได้รังเกียจบ้านเราน่ะค่ะ”

หล่อนหยุดไปก่อนจะกล่าวขึ้นอีก “เมื่อวานฉันได้ยินเสี่ยวเกิงบ่นตอนกลับมาว่าถ้าแต่งงานไปไม่มีที่ให้อยู่จะอยู่ที่นี่ไปก่อนก็ได้ พ่อแม่บุญธรรมเขาไม่เคยมาอยู่ บ้านนี้ปล่อยทิ้งไปก็เท่านั้น อีกหน่อยเจอที่เหมาะสมแล้วค่อยออกไปซื้อเอง”

“เธอไปถามชิงเหอสิ ถ้าได้ก็ไม่เลว ด้านนี้ฉันพอช่วยได้” ป้าเจียงได้ยินแล้วรีบบอก

เจียงเหิงเป็นหลานนางเหมือนกัน หลานจะแต่งงานทั้งทีแถมอีกฝ่ายยังเพียบพร้อมขนาดนี้ นางต้องช่วยอยู่แล้ว

“เมื่อคืนฉันคุยกับพ่อของเสี่ยวเกิงแล้ว ถ้าทุกอย่างเรียบร้อยถึงตอนนั้นงานของเสี่ยวหมิ่นก็ย้ายมาที่นี่ได้ด้วย เขาจะช่วยจัดการ ดังนั้นไม่มีปัญหาอะไร” เซวียเหม่ยลี่บอก

ป้าเจียงพยักหน้า

ส่วนด้านเจียงเหิงวุ่นวายอยู่ที่ร้านขายชาทั้งเช้า พอเที่ยงเขามากินข้าวที่นี่

เขามากับโจวอู่นี หลินซิ่วแค่มาเป็นเพื่อนของแท้ ทั้งสองกินเสร็จก็ออกไปข้างนอก โดยที่หลินซิ่วอยู่ดูทีวีที่บ้าน

เซวียเหมยลี่ยิ้มและโทรหาหลินชิงเหอ ทั้งสองคุยกันนานพอควร

หลินชิงเหอวางสายแล้วไปหารือกับโจวชิงไป๋ “บ้านหลังนั้นเราไม่เคยไปอยู่ เอาให้อู่นีและเจียงเหิงยืมแต่งงานก่อนดีไหมคะ”

“นี่เพิ่งจะถึงไหนเอง เจียงเหิงยังไม่เคยกลับบ้านกับอู่นีเลยนะครับ” โจวชิงไป๋กล่าว

“ฉันว่าน่าจะใกล้แล้วล่ะค่ะ” หลินชิงเหอยิ้ม

เธอไม่ได้ไปยุ่งเรื่องของโจวอู่นีที่นู่น โตขนาดนี้แล้วจึงรู้ว่าอะไรเป็นอะไร

ในที่สุดร้านไวน์สาขาสองของเจ้าสามก็ได้ฤกษ์เปิดร้าน หลินชิงเหอลงทุนไปก้อนหนึ่งเหมือนกัน ของที่นำมาวางล้วนแต่เป็นไวน์ชั้นสูงนำเข้า ไม่มีที่ราคาถูกเลย

“ถ้าขายได้วันละขวดก็พอคืนทุนแล้วครับ” เจ้าสามเอ่ยยิ้ม ๆ

“บริหารไปก่อน เอาให้มีชื่อเสียงแล้วค่อยว่ากัน” หลินชิงเหอบอก

ขณะนั้นโทรศัพท์ที่บ้านก็ดังขึ้น โจวกุยหลายอยู่ข้าง ๆ พอดีจึงเป็นคนรับ “ป้าสะใภ้ใหญ่เหรอครับ”

“เจ้าสาม แม่เธออยู่ไหม” สะใภ้ใหญ่โจวถาม

“แม่ผมอยู่ มีอะไรเหรอครับ?” โจวกุยหลายรู้สึกว่าน้ำเสียงป้าสะใภ้ใหญ่เขาฟังดูร้อนใจ จึงเอ่ยขึ้น

“พี่สะใภ้ใหญ่ เกิดอะไรขึ้นคะ” หลินชิงเหอรับโทรศัพท์มาพลางกล่าว

“ฉันว่ายัยลิ่วนีน่าจะเป็นบ้าไปแล้ว หลายวันก่อนหล่อนตกน้ำ หลังจากถูกช่วยไว้ได้ก็ไข้ขึ้นสูงตลอด เพิ่งจะฟื้นเมื่อวานซืน พอฟื้นแล้วก็เพี้ยนไปหมด” สะใภ้ใหญ่โจวบอก

“ตรงไหนที่เพี้ยนเหรอคะ” หลินชิงเหอขมวดคิ้ว

“เหมือนจะเป็นบ้า เอาแต่พูดว่าทำไมปู่กับย่าหล่อนถึงยังไม่ตาย น่าจะตายไปตั้งนานแล้วนี่ แล้วก็พูดว่าทำไมเธอยังไม่หนีตามคนอื่นไปอีก ทำไมพวกเจ้าใหญ่ยังไม่เป็นนักเลง เธอว่าหล่อนเป็นบ้ารึเปล่า พ่อหล่อนจับหล่อนขังเอาไว้ แต่พอเช้าวันนี้ตื่นมาก็พบว่าหล่อนหายไปแล้ว แถมยังขโมยเงินที่บ้านไปอีก สองสามวันนี้เอาแต่คุยกันในเรื่องพวกนี้ พี่เลยกลัวว่าหล่อนจะไปหาพวกเธอที่ปักกิ่งหรือเปล่าน่ะสิ” สะใภ้ใหญ่โจวพูดรัวจากอีกด้านของโทรศัพท์

ส่วนหลินชิงเหอผงะไป

เกิดอะไรขึ้น? หรือจอมสร้างเรื่องอย่างโจวลิ่วนีก็ทะลุมิติมาเหมือนกัน?

…………………………………………………………………………………………………………………………….