บทที่ 663 เกิดใหม่

โจวลิ่วนีอยู่บนรถไฟแล้วจริง ๆ หล่อนหาที่ว่างก่อนจะนอนราบลงไปทั้งตัว

หล่อนไม่รู้ว่าตัวเองกลับมาได้อย่างไร ชาติก่อนหล่อนหย่าไปแล้ว จากนั้นไปใช้ชีวิตที่ทางใต้ พัฒนาชีวิตได้ไม่เลว ถือว่ามีชื่อเสียงมากระดับหนึ่งในไนท์คลับ

หลังจากนั้นหล่อนก็หาคนรวยได้คนหนึ่ง ได้เป็นภรรยาลับที่เขาเลี้ยงไว้นอกบ้าน และด้วยความสัมพันธ์นี้เองหล่อนจึงได้เปิดไนท์คลับของตัวเอง

ทว่าผู้ชายคนนั้นช่างชั่วช้า ถึงขั้นใช้ไนท์คลับที่ไม่ถูกกฎหมายอยู่แล้วของหล่อนขายผงแป้งของเขา

คลับของหล่อนถ้าให้พูดกันตามตรงก็จะเป็นทำนองเดียวกับหอนางโลมในยุคโบราณ เคยโดนคนจำนวนไม่น้อยในแถบนั้นรายงาน แต่เพราะมีคนหนุนหลังใหญ่พอ ทำให้ไม่ว่าจะรายงานไปมากขนาดไหนก็เปล่าประโยชน์

แต่ถูกผู้ชายอย่างเขาเล่นเหมือนสิ่งของแบบนั้น หล่อนก็รู้สึกว่าต่างคนต่างไปด้วยกันไม่ได้ โดยเฉพาะเวลาที่ทั้งสองอยู่ด้วยกัน

หล่อนจำได้ว่าตัวเองถูกตัดสินให้จำคุกตลอดชีวิต ตอนที่รู้คำตัดสินถึงกับรับไม่ได้จนเป็นลมสลบไป

แต่คิดไม่ถึงเลยว่าพอสลบไปแล้วกลับได้มาเกิดใหม่

หล่อนมาเกิดใหม่ในปี 88 ยุคสมัยที่ลมวสันต์แห่งการปฏิรูปยังโชยอยู่

แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่หล่อนตกตะลึง สิ่งที่หล่อนตกตะลึงจริง ๆ ก็คือการที่บ้านสี่ได้ดิบได้ดีกันทั้งบ้าน

ไม่น่าเชื่อเลยจริง ๆ

ชาติก่อนหล่อนจำได้แม่นว่าแม่หลินชิงเหอนั่นใฝ่ฝันอยากจะเป็นคุณนายทหารมาตลอด ตอนที่อาสี่ของหล่อนบาดเจ็บและถูกปลด แม่นั่นได้กลายเป็นหญิงอารมณ์ร้าย สร้างความปั่นป่วนไปทั้งบ้านจนสะเทือนฟ้าดิน ไม่มีวันไหนที่สงบเลย

แม่นั่นโดนคนในหมู่บ้านชี้นิ้วด่ามาไม่น้อย เรื่องในชาติก่อนพวกนี้หล่อนเห็นกับตาและจำได้แม่น

โดยเฉพาะตอนหลังที่แม่นั่นทิ้งลูกทิ้งสามี หนีตามชู้รักที่ชื่อเฉินซาน

หลังจากนั้นอาสี่ของหล่อนเป็นอย่างไรบ้างหล่อนก็ไม่รู้ แต่หล่อนรู้ดีว่าสามพี่น้องโจวข่าย โจวเฉวี่ยนและโจวกุยหลายนั่นได้กลายเป็นนักเลง

ก่อนที่หล่อนจะไปใช้ชีวิตอยู่ทางใต้ในต้นยุค 90 พวกเขาก็เป็นนักเลงที่มีชื่อเสียงไม่น้อยแล้ว ฟาดฟันกับคนอื่นมาก็มาก

อาสี่ของหล่อนเคยแบกท่อนไม้ไปหวดพวกเขาก็หลายครา……

เรื่องพวกนี้ในสมัยนั้นหล่อนเห็นมากับตา แต่พอกลับมาเกิดใหม่บ้านสี่กลับได้ดิบได้ดีกันขนาดนี้

ถึงแม้ผู้หญิงคนนั้นยังคงดูถูกคนไปทั่วเหมือนเดิม แต่หล่อนกลับไม่ได้หนีตามเฉินซานไป ไม่ใช่เพียงแค่นั้น หล่อนยังแอบเรียนหนังสือ สอบเข้ามหาวิทยาลัยด้วยคะแนนที่ดีมาก จนพวกโจวข่ายเจริญรุ่งเรืองกันทุกคน

โจวลิ่วนีจึงคิดไปว่า หรืออาสะใภ้สี่ของหล่อนจะมาเกิดใหม่เหมือนกัน?

ไม่อย่างนั้นทำไมเธอจะเปลี่ยนแปลงไปมากขนาดนี้ แถมยังรู้ว่าฤดูกาลสอบเข้ามหาวิทยาลัยจะกลับมาอีกครั้ง ถึงได้แอบเรียนหนังสือและพุ่งทะยานขึ้นฟ้า

แต่นี่ก็ไม่ถูกหลักนะ อาสะใภ้สี่ของหล่อนอยากเป็นภริยานายทหารมาตลอด ถ้าหล่อนเกิดใหม่จริง พอเห็นอาสี่หมดหวังแล้วก็ต้องฉวยโอกาสที่สอบติดมหาวิทยาลัยหย่ากับเขาสิ

ในมหาวิทยาลัยจะหาผู้ชายดี ๆ แบบไหนก็ได้ เด็กจบมหาวิทยาลัย ออกมาก็ได้ติดยศเลย!

แต่หล่อนไม่ได้ทำเช่นนั้น กลับพาคนทั้งบ้านไปใช้ชีวิตที่ปักกิ่ง ตอนนี้ได้ข่าวว่าไปได้ดีมากด้วย

หล่อนไม่ได้รักอาสี่ แล้วก็ไม่ได้รักลูกด้วย แต่การเปลี่ยนแปลงพวกนี้หมายความว่าอย่างไร?

โจวลิ่วนีในชาติที่แล้วเป็นแม่คน ไม่ได้อ่านนิยายอะไรหรอก เนื่องจากตัวเองเกิดใหม่ สิ่งที่คิดได้คือการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับคนอื่นคงเป็นเพราะการเกิดใหม่เหมือนกัน

แต่คิดไปอีกขั้นหนึ่งไม่ออกเลย

นี่ไงล่ะ หล่อนอยากรู้มากจริง ๆ จึงขโมยเงินที่บ้านตั้งใจเดินทางไปปักกิ่งเพื่อดูให้เห็นกับตา

ส่วนทางด้านปักกิ่ง หลินชิงเหอทราบข่าวมาจากสะใภ้ใหญ่โจวประมาณหนึ่งแล้ว และพอเข้าใจแล้วว่าโจวลิ่วนีคงไม่ใช่โจวลิ่วนีคนเดิมแล้ว

ส่วนเรื่องที่หล่อนทะลุมิติมาหรือเกิดใหม่นั้นไม่มีผลกระทบอะไรกับเธอ ถ้ามาก็แค่จับตาดูก็พอ

โจวกุยหลายที่อยู่ข้าง ๆ ได้ยินไม่ชัดว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่เห็นแม่เขามีสีหน้าเปลี่ยนไปจึงถามอย่างอดไม่ได้ “ม้าครับ เกิดอะไรขึ้น?”

“ไม่มีอะไรหรอก ลิ่วนีป่วยแต่ยังมาที่นี่ทั้งที่ป่วยหนัก ไม่รู้ว่าเป็นอะไร” หลินชิงเหอบอก

ชิงไป๋ของเธอรู้ แต่นอกจากชิงไป๋ของเธอแล้วเธอก็ไม่คิดจะยอมรับกับคนอื่น ต่อให้เป็นไปได้สูงว่าโจวลิ่วนีอยู่ในสถานการณ์เดียวกับเธอ แต่เธอก็ไม่มีทางยอมรับหรอก

ส่วนเรื่องเป็นมายังไงนั้น รอหล่อนมาแล้วค่อยว่ากัน

โจวลิ่วนีมาถึงในสามวันให้หลัง หล่อนเคยมาครั้งนึงตอนเด็ก ๆ แน่นอนว่าตอนนั้นได้แจ้งตำรวจให้พาตนไปมหาวิทยาลัยปักกิ่ง หล่อนจึงคลำทางมาตามความทรงจำในวัยเด็ก

ที่จริงจากมหาวิทยาลัยปักกิ่งไปที่ร้านเกี๊ยวนั้นไม่ไกลนัก เดินเท้าครึ่งชั่วโมงก็น่าจะถึง

แต่ปักกิ่งในตอนนี้ไม่อาจเทียบกับต้นยุค 80 ได้อีกแล้ว เมืองนี้ได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

นี่ไงล่ะ หล่อนมึนไปหมด ตั้งแต่เที่ยงจนฟ้ามืดหล่อนเพิ่งจะเดินมาถึง

ในร้านมีแค่สวี่เชิ่งเฉียง จริง ๆ แล้วโจวชิงไป๋ไม่อยู่ ตอนนี้สวี่เชิ่งเฉียงพอจะรับมือเองได้แล้ว ต่อให้คนเยอะเขาก็เอาอยู่ แล้วยังจ้างป้าคนนึงมาช่วยล้างถ้วยชามด้วย

เมื่อโจวชิงไป๋ใกล้จะถึงเวลาเลิกงาน เขาก็ไปรับลูกสาวคนเล็กแล้วกลับไปรอกินข้าวที่บ้าน

โจวลิ่วนีรู้จักสวี่เชิ่งเฉียง ก่อนหน้านี้ที่สวี่เชิ่งเฉียงกลับไปแต่งงาน ตัวหล่อนเองได้ไปกินเลี้ยงมื้อโตด้วย พอเห็นสวี่เชิ่งเฉียงหล่อนก็เหมือนเห็นแสงสว่าง

“พี่เฉียง!” โจวลิ่วนีเรียก

สวี่เชิ่งเฉียงเห็นโจวลิ่วนีแล้วผงะไป ผ่านไปพักใหญ่ถึงนึกได้ว่านี่คือลูกพี่ลูกน้องของเขา จึงเอ่ยขึ้น “เธอคือลิ่วนีใช่ไหม? มาได้ยังไงเนี่ย?”

“ฉันแค่มาดูน่ะค่ะ มาถึงนี่ตั้งแต่เที่ยงแล้ว แต่จำพิกัดที่นี่ไม่ได้ เดินหลงทางไปไม่น้อย ตอนนี้ฉันหิวจะแย่อยู่แล้ว” โจวลิ่วนีบอก

สวี่เชิ่งเฉียงจึงเอ่ยขึ้น “งั้นนั่งก่อนสิ เดี๋ยวพี่ต้มเกี๊ยวให้”

เขาต้มเกี๊ยวให้โจวลิ่วนีชามหนึ่ง แต่ไม่ว่างถามหล่อนว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะตอนนี้เขากำลังยุ่ง

ในร้านมีลูกค้ารออยู่ไม่น้อย โต๊ะที่ตั้งอยู่ข้างนอกก็มีคนรออยู่

สวี่เชิ่งเฉียงวุ่นวายไม่หยุด โจวลิ่วนีกินเสร็จก็เช็ดปากและอยากจะถามไถ่เขาแล้ว แต่สวี่เชิ่งเฉียวกล่าวขึ้น “รอน้าสี่มาแล้วค่อยว่ากัน ตอนนี้พี่ไม่ว่าง”

“งั้นฉันช่วยนะคะ” โจวลิ่วนีเอ่ยยิ้ม ๆ

ความตื่นเต้นและความอยากรู้อยากเห็นของหล่อนตกตะกอนแล้วหลังจากเดินมาทั้งวัน ดังนั้นจะวู่วามมากไม่ได้ โดยเฉพาะตอนนี้ที่บ้านสี่รวยขนาดนี้ ล่วงเกินได้ที่ไหนกัน

ชาติก่อนทางใต้เจริญมาก แต่ทางปักกิ่งก็ใช่ย่อย หล่อนอยากใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มาก ไม่อยากกลับไปแถบชนบทอีกแล้ว

“ก่อนหน้านี้พี่เฉียงออกไปลุยเดี่ยวแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงมาต้มเกี๊ยวกับอาสี่ล่ะคะ?” โจวลิ่วนีเอ่ย

“ที่น้าสี่ออกจะดี พี่เลยมาอยู่ที่นี่” สวี่เชิ่งเฉียงตอบ

โจวลิ่วนีเอ่ย “แล้วอาสี่เอาร้านเกี๊ยวให้พี่ทำเลยหรือแค่ให้พี่อยู่ช่วยล่ะ?”

………………………………………………………………………………………………………………………..