ตอนที่ 1041 แสงแห่งอิสระ

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 1041 แสงแห่งอิสระ

บุรุษผู้หนึ่งกับกระบี่หนึ่งเล่มและม้าหนึ่งตัวได้เดินทางออกจากเมืองจินหลิงภายในราตรีนั้นเอง

แสงไฟในหงซิ่วจาวได้มอดดับลงอีกครา ครานี้มันถูกจอดเทียบริมฝั่งแม่น้ำ การจอดเทียบในครานี้ คาดว่าคงจะเป็นการจอดเทียบที่แสนยาวนาน

……

“ฝ่าบาท…นี่คือข่าวล่าสุดจากซีเซี่ยและกรมกลาโหม ขอพระองค์โปรดทอดพระเนตร ! ”

หลิวจิ่นยื่นรายงานสองฉบับให้กับฟู่เสี่ยวกวน เขาอ่านรายงานอยูในศาลาเถาหรานอย่างละเอียดทุกตัวอักษร

“กองทัพของราชวงศ์เหลียว 300,000 นายได้ตั้งทัพอยู่นอกด่านเม่าซาน กองทัพของซีเซี่ยและต้าเซี่ยรวมกันทั้งสิ้น 300,000 นายได้ตั้งป้อมประจันหน้าอยู่ที่ด่านเม่าซาน”

“ท่าป๋าวั่ง ฮ่องเต้แห่งซีเซี่ยได้เดินทางมาถึงเมืองซิ่งชิงในวันที่ยี่สิบ เดือนสี่ เขาได้ประกาศอย่างเป็นทางการแล้วว่าซีเซี่ยคือหนึ่งในเขตปกครองตนเองของต้าเซี่ยตั้งแต่บัดนี้สืบไป ซึ่งได้รับเสียงตอบรับจากราษฎรอย่างท่วมท้น”

“ทุกวันนี้กองทัพของซีเซี่ยมีสภาพจิตใจที่มิค่อยสู้ดีนัก ท่าป๋าวั่งได้นำทัพไปแนวหน้าด้วยตนเอง ส่วนท่าป๋ายวี่ทำหน้าที่ประโลมราษฎร”

“บัดนี้ซีเซี่ยต้องการแม่ทัพคอยควบคุมกองทัพพันธมิตร เช่นนี้กองทัพทั้งหมดถึงจะเป็นระเบียบเรียบร้อยและเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันได้ คำสั่งจากรมกลาโหมคือให้กองทัพของกวนเสี่ยวซีและท่าป๋าเฟิงไปตั้งมั่นที่แนวป้องกันที่หนึ่ง บัดนี้รอให้ฝ่าบาทส่งแม่ทัพมาก่อน”

“ตอนนี้กองทัพราชวงศ์เหลียวยังมิมีความเคลื่อนไหวใด ๆ ทว่ายังมีการส่งเสบียงมาอย่างต่อเนื่อง เพราะว่าหลังจากที่เยลู่ตานเดินทางกลับถึงแคว้น เขาได้โน้มน้าวฮ่องเต้เยลู่ชิงอยู่เสมอ เล่าลือกันว่าองค์รัชทายาทแห่งราชวงศ์เหลียวจะเดินทางมารบที่ด่านเม่าซานด้วยพระองค์เอง”

ฟู่เสี่ยวกวนวางรายงานลงพลางครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็หันไปสั่งหลิวจิ่นว่า “เตรียมร่างพระราชโองการ”

“น้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”

“จงแจ้งกรมกลาโหมรวมถึงกวนเสี่ยวซี ท่าป๋าเฟิง ท่าป๋าวั่ง ว่าเจิ้นได้มอบอำนาจให้หยูเวิ่นเทียนเป็นแม่ทัพใหญ่ เพื่อบัญชาการกองทัพเข้าทำสงครามกับราชวงศ์เหลียว”

“ในขณะที่หยูเวิ่นเทียนยังเดินทางไปมิถึง ถ้าหากทางราชวงศ์เหลียวได้เปิดการโจมตีเสียก่อน ก็ให้กวนเสี่ยวซีรับหน้าที่แทนหยูเวิ่นเทียนเป็นการชั่วคราว”

หลิวจิ่นเขียนราชโองการขึ้นมาอีกหนึ่งฉบับ จากนั้นก็ให้ฟู่เสี่ยวกวนลงตราประทับประจำตัว “ส่งไปประเดี๋ยวนี้เลย จำเอาไว้ว่าต้องส่งให้เร็วที่สุด”

เมื่อหลิวจิ่นเดินออกไป เขาจึงหยิบรายงานฉบับที่สองขึ้นมาเปิดอ่าน รายงานฉบับที่สองนี้มาจากกรมกลาโหม

กองทัพบกที่สองถึงห้าเดินทางถึงเหอเป่ยซีแล้ว บัดนี้กองทัพบกทั้งสี่ได้รวมตัวกันเพื่อจัดระเบียบกองทัพ

ปืนเหมาเซ่อ 20,000 กระบอกและกระสุน 40,000 นัดอยู่ระหว่างการจัดส่งไปยังท่าเรือเซี่ยเย๋ คาดว่าจะถึงที่นั่นช่วงปลายเดือนห้า

กองนาวิกโยธินจำนวน 20,000 นายของเฮ้อซานเตาสามารถใช้งานปืนเหมาเซ่อได้อย่างชำนาญแล้ว เรือรบก็ได้เตรียมการไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่ออาวุธและระเบิดส่งไปถึงก็สามารถออกเดินทางได้ทันที

ท่านแม่ทัพจัวและท่านแม่ทัพไป๋ยู่เหลียนได้หารือกันว่า ให้กองทัพที่เจ็ดของพานชู่หยางไปประจำการบนที่ราบหลีลั่ว ให้พวกเขาฝึกซ้อมที่นั่นพร้อมกับรับหน้าที่ป้องกันเมืองกวนหยุนไปพร้อม ๆ กัน

และให้กองทัพที่หกของฮั่วหวยจิ่นเดินทางไปยังชื่อเล่อชวน จากนั้นก็ให้ฝึกทหารที่ด่านเฮ้อหลาน

นอกจากนี้ ซูฉางเซิงได้ส่งจดหมายประกาศสงครามมายังกลมกลาโหม โดยประกาศว่าจะสู้ศึกกับกองทัพต้าเซี่ยที่เชิงเขาต้าเซียนเปยในช่วงกลางเดือนเจ็ด กระหม่อมเกรงว่าจดหมายนี้จะเป็นของปลอม ทว่าทางหอเทียนจีได้ส่งข่าวมาบอกว่า ทุกวันนี้กองทัพทั้งสี่แสนห้าหมื่นนายในภูเขาต้าเซียนเปยยังคงไร้ความเคลื่อนไหวใด ๆ

พวกกระหม่อมมิอาจรู้ได้ว่าซูฉางเซิงจะมาไม้ใดอีก ตามกำหนดการณ์สงครามที่ต้าเซียนเปยจะเริ่มในวันที่ห้าเดือนหกนี้

ฟู่เสี่ยวกวนขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่เนิ่นนาน เขาเองก็มิรู้เช่นกันว่าซูฉางเซิงจะมาไม้ใด

อำนาจในการเคลื่อนไหวศึกครานี้ มิได้ตกอยู่ในมือของซูฉางเซิงอย่างแน่นอน เช่นนั้นก็ให้บุกขึ้นไปบนภูเขาต้าเซียนเปยในวันที่ห้าเดือนหกดังเดิม กำจัดกองทัพทั้งสี่แสนห้าหมื่นนายให้สิ้นซาก แล้วมาดูกันว่าซูฉางเซิงจะมีปฏิกิริยาตอบกลับมาเยี่ยงไร

เขายกพู่กันขึ้นมาเขียนพระราชโองการอีกฉบับหนึ่ง “จงส่งกองทัพที่หนึ่งลงทะเล จากนั้นให้ขึ้นฝั่งที่จินกูเพื่อตัดเส้นทางหลบหนีของซูฉางเซิงเสียให้สิ้น ! ”

……

……

ช่วงเดือนห้าได้เข้าสู่ช่วงต้นของฤดูร้อนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทว่าบัดนี้แสงสุริยาที่สาดส่องลงมายังเมืองจินหลิงยังมิค่อยเจิดจ้าเท่าใดนัก

วันนี้คณะของฟู่เสี่ยวกวนได้เดินทางไปยังภูเขาเถิงซี ภูเขาลูกนี้ตั้งอยู่เขตนอกเมืองจินหลิง ในขบวนนี้มีชายชราเดินทางมาด้วยกันทั้งสิ้น 3 คนได้แก่ เจี่ยหนานซิง ฉินปิ่งจงและเยี่ยนเป่ยซี

ฟู่เสี่ยวกวนเข็นเจี่ยหนานซิงโดยมีฉินปิ่งจงและเยี่ยนเป่ยซีคอยประกบซ้ายและขวา พวกเขาเดินทางขึ้นเขาอย่างช้า ๆ เส้นทางขึ้นเขาคดเคี้ยวเลี้ยวลด ทั้งสองข้างทางเต็มไปด้วยดอกไม้ป่านานาชนิดกำลังบานสะพรั่ง ช่างงดงามและเงียบสงบเสียจริง

“แม้สวนดอกไม้ในวังจะมีดอกไม้มากมายก็ตาม ทว่ามันก็ถูกตัดแต่งอย่างพิถีพิถัน ข้ารู้สึกว่าดอกไม้ป่าที่เติบโตขึ้นมาตามยถากรรมเช่นนี้ งดงามและเป็นธรรมชาติที่สุด”

ฉินปิ่งจงลูบเครายาวพลางยกยิ้มขึ้น “ในวังหลวงล้วนเต็มไปด้วยกฎระเบียบ ควรปลูกดอกไม้ประเภทใด หรือควรทำให้มันเติบโตเป็นแบบใดทุกอย่างล้วนต้องอยู่ในกฎระเบียบทั้งสิ้น มิอาจเติบโตสะเปะสะปะได้ดั่งดอกไม้ป่าพวกนี้”

“ดังนั้นข้าถึงได้คิดว่ากฎระเบียบเยอะเกินไปก็มิใช่เรื่องดี”

เยี่ยนเป่ยซีมิเห็นด้วยกับความคิดนี้ของฟู่เสี่ยวกวน “เมื่อไร้กฎระเบียบ ย่อมเกิดความวุ่นวายตามมา มิว่าจะเป็นดอกไม้หรือคน ก็ล้วนแต่ต้องมีกฎระเบียบไว้คอยบังคับให้อยู่ในลู่ทางทั้งสิ้น”

เขาเอ่ยได้ถูกต้อง เพียงแต่ว่าจุดหมายปลายทางนั้นต่างกัน

“กฎหมายก็คือกฎเกณฑ์ที่มีไว้บังคับพฤติกรรมของผู้คน ข้าหวังว่าผู้คนจะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างอิสระภายใต้ขอบเขตของกฎหมายได้ ดังนั้นอิสรภาพกับกฎหมายจำต้องอยู่คู่กัน ดั่งเช่นดอกไม้เหล่านั้นในพระราชวัง มันสามารถเติบโตเยี่ยงไรก็ได้ ขอเพียงแค่มันมิออกไปเติบโตนอกสวนดอกก็พอ มิจำเป็นต้องเติบโตเหมือนกันทุกดอกก็ได้”

“พวกเราใช้ตำราหลี่เสวียในการอบรมสั่งสอนนักเรียนและราษฎร แท้ที่จริงข้าเห็นว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่มิถูกต้องนัก พวกเราควรสอนกฎหมายให้นักเรียนและราษฎรมากกว่า ให้ทุกคนได้เข้าใจว่าสิ่งใดพึงกระทำและสิ่งใดที่มิอาจกระทำได้ ส่วนเรื่องอื่น ๆ ก็ให้ผ่อนคลายลงบ้าง เมื่อเป็นเช่นนั้นความคิดความอ่านของผู้คนก็ย่อมแตกดอกบานสะพรั่งดั่งดอกไม้”

คำเอ่ยนี้ฟังดูอ้อมค้อม เจี่ยหนานซิงย่อมมิเข้าใจ ทว่าฉินปิ่งจงและเยี่ยนเป่ยซีเข้าใจจนทะลุปรุโปร่ง

ฝ่าบาทประสงค์จะคลายโซ่ที่คอยล่ามความคิดของราษฎรเอาไว้ !

ก่อนหน้านี้แม้ว่าจะมีกฎหมายอยู่เช่นกัน ทว่าสิ่งที่คอยตีตรวนราษฎรเอาไว้คือหลักทางจริยธรรมเสียมากกว่า

จริยธรรมเป็นหนึ่งในรูปแบบของจิตสำนึกทางสังคม มันคือจรรยาบรรณและบรรทัดฐานในการใช้ชีวิตของผู้คน ซึ่งมันมีข้อแตกต่างจากฎหมาย

กฎหมายมีการบัญญัติมาตราและบทลงโทษอย่างละเอียดชัดเจน ถ้าหากทำผิดกฎหมาย ก็จะถูกตัดสินโทษโดยกฎหมาย

“กฎหมายและหลักจริยธรรมจะคอยส่งเสริมซึ่งกันและกัน ต่างมีไว้เพื่อสร้างความสมบูรณ์ให้แก่สังคม ราษฎรจำเป็นต้องมีจริยธรรมที่สูงส่ง และในขณะเดียวกันก็ต้องเข้าใจขอบเขตของกฎหมายด้วย”

“อิสรภาพที่ข้าเอ่ยถึงนั้นคือให้ผู้คนมีอิสรภาพทางความคิด อาทิเช่น…พวกเขาสามารถตำหนิข้อบกพร่องของกฎหมายได้ พวกเขาสามารถเสนอทัศนะทางจริยธรรมใหม่ ๆ ขึ้นมาได้ มิใช่เป็นเฉกเช่นตอนนี้ ที่ทางแคว้นบอกกล่าวสิ่งใด พวกเขาก็เห็นดีเห็นงามไปเสียหมด”

“เมื่อใดที่มีอิสระทางความคิดก็จะสามารถจุดประกายไฟให้ลุกโชติช่วงได้มากกว่าเดิม เยี่ยงไรเสียอารยธรรมของมนุษย์ก็ต้องการการพัฒนา หากแคว้นใดแคว้นหนึ่งจำกัดความคิดของราษฎร แม้ดอกไม้จะสวยงามเพียงใด มันก็ทำได้เพียงหลบซ่อนอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของพระราชวังเท่านั้น ซึ่งจะมีเพียงคนมิกี่คนที่ได้เชยชมมัน”

เยี่ยนเป่ยซีและฉินปิ่งจงขมวดคิ้วพร้อมกัน พวกเขามิได้เอ่ยอันใดอีก เพราะกำลังตริตรองคำเอ่ยของฟู่เสี่ยวกวนอยู่ในใจ

มันจะเป็นไปได้จริงหรือ ?

ทุกวันนี้ตำราของต้าเซี่ยกำลังถ่ายทอดแนวคิดก้าวหน้าให้แก่เหล่านักเรียน ระบบการศึกษาถูกเปลี่ยนให้เป็นระดับประถมศึกษา ระดับมัธยมศึกษาและระดับอุดมศึกษา ทั้งยังเพิ่มวิชาคณิตศาสตร์เข้าไปตั้งแต่ระดับประถม ซึ่งมันมีความซับซ้อนมากกว่าวิชาคำนวณในสมัยก่อนขึ้นมากโข

ยกตัวอย่างเช่น…การเพิ่มวิชาฟิสิกส์และเคมีเข้าไปในระดับมัธยม นี่ล้วนแต่เป็นวิชาใหม่ทั้งสิ้น โดยมีฝ่าบาทและศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์กำหนดตำราร่วมกัน ตอนนี้ได้เปิดการเรียนการสอนแล้วในบางสำนักศึกษา ทว่ายังมิถูกบรรจุให้เป็นหนึ่งในวิชาที่ใช้สอบเข้ารับราชการ บัดนี้มันมีบทบาทมิต่างอันใดจากหนังสือที่ใช้อ่านนอกเวลาเรียนเท่านั้น

สิ่งที่ฝ่าบาททรงกระทำไปทั้งหมด ดูเหมือนว่าจะช่วยคลายความคิดของราษฎรที่ถูกล่ามโซ่ตรวนไว้นับพันปี ให้หลุดพ้นออกมาจากพันธนาการ

แต่มิว่าจะเป็นเยี่ยนเป่ยซีหรือฉินปิ่งจง พวกเขาต่างก็มองมิเห็นถึงผลลัพธ์ในอนาคต

บัดนี้พวกเขาได้เดินมาถึงยอดภูเขาเถิงซี

สายตาก็พลันกระจ่างชัดขึ้นมา และทำให้รับรู้ได้ถึงความกว้างใหญ่ไพศาลของผืนพสุธา