ตอนที่ 1042 อัครมหาเสนาบดีสิ้นใจ

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 1042 อัครมหาเสนาบดีสิ้นใจ

ณ พระราชวังต้าติ้งแห่งราชวงศ์เหลียวในห้องทรงพระอักษร

“ฝ่าบาท… ! ”

เยลู่ตานรู้สึกกลัดกลุ้มใจมากยิ่งนัก “ทุก ๆ คำเอ่ยของกระหม่อม กลั่นออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ ซีเซี่ยยอมจำนนต่อต้าเซี่ย กองทัพของต้าเซี่ยทั้งสองแสนนายตั้งทัพรอพวกเราอยู่ที่ด่านเม่าซาน ทั้งสองแสนนายนั้นล้วนแต่เป็นทหารฝีมือเยี่ยมทั้งสิ้น ! ”

“ตอนนั้นฟู่เสี่ยวกวนได้นำกองทัพดาบเทวะหลายแสนนายเข้าแคว้นฮวง สงครามที่เซียวเหอหยวน กองทัพดาบเทวะจำนวนแสนกว่านายได้ปราบปรามกองทัพของแคว้นฮวงที่มีกำลังพลมากกว่าห้าแสนนายจนราบเป็นหน้ากลอง ! เขาใช้ทหารดาบเทวะเพียงแค่พันกว่านายเพื่อเข้ายึดครองพระราชวังป๋ายจินฮ่าน”

“ฝ่าบาท ! ทุกวันนี้กองทัพต้าเซี่ยจำนวน 400,000 นายได้เดินทางมาถึงเหอเป่ยซีเต้าแล้ว พวกเขารับรู้เรื่องกองทัพอสนีบาตที่ซุ่มฝึกฝนอยู่บนภูเขาต้าเซียนเปยเนิ่นนานแล้ว เห็นกันอยู่ทนโท่ว่าพวกเขาต้องการใช้กองทัพสี่แสนนายนี้มาเผชิญหน้ากับกองทัพอสนีบาตของพวกเรา ! ”

“ฝ่าบาท…กองทัพ 400,000 นายย่อมสกัดกั้นกองทัพอสนีบาตของพวกเราเอาไว้ เมื่อกองทัพบกที่หนึ่งและกองทัพทหารม้าของพวกเขาเคลื่อนทัพออกมาจากด่านเม่าซานเมื่อใด…เกรงว่ากองทัพทั้งสามแสนนายของพวกเราจะต้านทานเอาไว้มิได้ ! ”

“พวกเขาจะจู่โจมเข้ามายังเมืองต้าติ้งดั่งกระแสน้ำเชี่ยวกราดดั่งสัตว์ร้ายที่โผล่มากะทันหัน หากพวกเรามิมีกองทัพที่แข็งแกร่งมาคอยคุ้มกัน แล้วพวกเราจะเอาอันใดไปต้านทานพลังการต่อสู้ของพวกเขาได้เล่า ? ”

“นี่… นี่เท่ากับว่ากำลังทำลายล้างราชวงศ์และกำลังฆ่าล้างวงศ์ตระกูลของตนเองอยู่นะฝ่าบาท ! ”

ระหว่างคิ้วของเยลู่ชิงนั้นขมวดเข้าหากันแน่นเป็นปม สีหน้าของเขามืดครึ้มยิ่งกว่าสีของท้องนภาด้านนอกเสียอีก

ตั้งแต่ที่เยลู่ตานกลับมา เขาก็ทำอยู่เรื่องเดียว ซึ่งนั่นก็คือห้ามมิให้ราชวงศ์เหลียวทำสงครามกับต้าเซี่ย !

เยลู่ตานเป็นอัครมหาเสนาบดีคนเก่าแก่ที่เยลู่ชิงไว้เนื้อเชื่อใจ ดังนั้นหลังจากที่เยลู่ตานกลับมาและได้นำเรื่องราวที่ต้าเซี่ยมาเล่าให้เขาฟัง ก็ได้ทำให้เขาต้องกลับมาพิจารณาอย่างถี่ถ้วนอยู่หลายวัน

เขาเข้าใจถึงความเพียรพยายามในการโน้มน้าวอย่างหนักของเยลู่ตานเป็นอย่างดี มิว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ การทหาร หรือแม้แต่กองทัพอสนีบาต 450,000 นายก็ยังมิใช่คู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อของต้าเซี่ยอยู่ดี

เขาถอนหายใจยาวออกมาหนึ่งครา “เช่นนั้นก็หมายความว่า…ทางออกเดียวของเจิ้นคือหนทางเดียวกันกับซีเซี่ยเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

เยลู่ตานก้มศีรษะคารวะจนแนบลงกับพื้น “ฝ่าบาท…นี่ก็เพื่อราษฎรแห่งราชวงศ์เหลียวพ่ะย่ะค่ะ ! ”

ทันใดนั้นเอง เยลู่ฮัวองค์รัชทายาทก็พุ่งพรวดเข้ามา “เสด็จพ่อ…ทำเยี่ยงนั้นมิได้เป็นอันขาด ! ”

เยลู่ฮัวจ้องมองเยลู่ตานเขม็งด้วยความโกรธเคือง เขายื่นมือออกมาชี้หน้าเยลู่ตานแล้วบันดาลโทสะว่า “เจ้ามันก็แค่สุนัขแก่ตัวหนึ่ง ! เจ้าได้ผลประโยชน์อันใดจากฟู่เสี่ยวกวนกันแน่ ? ”

“กองทัพต้าเซี่ยของมันเดินทางมาไกลหลายพันลี้ พวกมันย่อมเหนื่อยล้าเป็นธรรมดา ! พวกเราราชวงศ์เหลียวต้องปกป้องแคว้นของตนเองเอาไว้ให้ได้ พวกเรามีทหารที่กล้าหาญและเก่งกาจด้านการรบเป็นหมื่นแสนนาย จำเป็นต้องกลัวฟู่เสี่ยวกวนด้วยหรือเยี่ยงไร ? ”

“เจ้ากำลังปล่อยข่าวลือ เจ้ากำลังยุแยงให้เสด็จพ่อสละพระราชอำนาจ ยุแยงให้ละทิ้งราษฎรของราชวงศ์เหลียว ! เจ้า…เจ้าคือคนทรยศ เจ้าทำให้แคว้นเสื่อมเสียเอกราชและเกียรติภูมิ ข้าจะบั่นคอเจ้าให้สาแก่ใจ ! ”

“หุบปาก ! ”

เยลู่ชิงแผดเสียงคำรามลั่น เยลู่ฮัวยังคงเดือดพล่านอยู่ในอก เขายังคงจ้องมองเยลู่ตานด้วยสายตาโหดเหี้ยม ผ่านไปครู่หนึ่งเขาถึงได้หันหน้าไปหาเยลู่ชิ่งพลางเอ่ยขึ้นมาว่า “เสด็จพ่อ…ลูกใคร่ขอเป็นผู้นำทัพออกจากด่านเม่าซานเพื่อรบกับต้าเซี่ย”

“เจ้าออกไปก่อน”

“เสด็จพ่อ… ! ”

“เจิ้นสั่งให้เจ้าออกไปก่อน ! ”

เยลู่ฮั่วหลับตาลงพลางสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ หนึ่งครา จากนั้นก็ส่งเสียงเย้ยหยันอย่างขมขื่นออกมาว่า “ราชวงศ์เหลียว คือราชวงศ์ที่เมื่อรบอยู่บนหลังม้าก็จะมิมีพ่าย แต่นี่ยังมิทันได้รบก็ยอมแพ้ไปเสียแล้ว”

เยลู่ฮัวสะบัดแขนเสื้อแล้วเดินออกไป

บรรยากาศในห้องทรงพระอักษรช่างอึดอัดเสียจริงราวกับว่าอากาศภายในห้องนี้ถูกสูบออกไปจนหมดแล้ว

ผ่านไปเนิ่นนาน ในที่สุดเยลู่ชิงก็เอ่ยออกมาว่า “เจิ้นจะส่งพระราชโองการไปให้กองทัพอสนีบาตประเดี๋ยวนี้ ให้พวกเขา…ปลดอาวุธ”

“และเจิ้นจะมอบราชโองการให้เจ้าอีกหนึ่งฉบับ ต้องลำบากให้เจ้าเดินทางไปยังเมืองกวนหยุนอีกคราเพื่อส่งหนังสือประกาศยอมแพ้ เจิ้นยินยอมที่จะเป็นขุนนางของจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ย ! ”

น้ำตาของเยลู่ตานไหลอาบสองแก้ม เขาคุกเข่าลงกับพื้นพลางเอ่ยขึ้นมาว่า “กระหม่อม…ขอเป็นตัวแทนของไพร่ฟ้าข้าไทในการขอบพระทัยองค์เหนือหัว ! ”

……

……

เยลู่ตานนำพระราชโองการประกาศยอมแพ้เดินทางออกจากเมืองต้าติ้ง

องค์รัชทายาทและคณะคนชุดดำได้ออกเดินทางจากตำหนักตงกงราวครึ่งชั่วยามให้หลัง

พระราชโองการหนึ่งฉบับถูกส่งไปบนภูเขาต้าเซียนเปย ซูฉางเซิงได้รับพระราชโองการหลายวันหลังจากนั้น เขาอ่านแล้วยกยิ้มมุมปากขึ้นมาเล็กน้อย

เขาเผาพระราชโองการทิ้งและได้สังหารขุนนางที่ทำหน้าที่ส่งสาร จากนั้นก็เดินลึกเข้าไปในภูเขาต้าเซียนเปย

และสองวันให้หลัง ขบวนรถของเยลู่ตานก็ถูกโจมตี เยลู่ตานสิ้นลมในที่เกิดเหตุ…

……

……

คณะท่องเที่ยวที่มีฟู่เสี่ยวกวนเป็นหัวหน้า ได้เดินทางออกจากเมืองจินหลิงไปยังเมืองฉางอัน

ในราชรถมังกรมีชายชรา 3 คนนั่งอยู่ในนั้น

“ฉางอัน…ก็คืออดีตว่อเฟิงเต้า ข้าวางแผนให้ที่นี่เป็นเมืองหลวงของต้าเซี่ย”

เยี่ยนเป่ยซีรู้ว่าฟู่เสี่ยวกวนกำลังก่อสร้างเมืองขนาดใหญ่ที่ฉางอัน แต่คาดมิถึงว่าเขาจะย้ายเมืองหลวงมาฉางอัน

“เมืองกวนหยุนก็ดีอยู่แล้วมิใช่หรือ ? ”

“เมืองกวนหยุนก็ดีอยู่หรอก ทว่าข้ารู้สึกว่าเมืองฉางอันดีกว่านิดหน่อย มิใช่เพราะอยากต่อต้านศัตรูจากทางเหนือหรอก… หลังจากศึกครานี้จบลง ต้าเซี่ยก็จะไร้ซึ่งศัตรูทางเหนืออีกต่อไป เส้นทางสายไหมทางบกมีเมืองฉางอันเป็นจุดเริ่มต้น ต้าเซี่ยจะผงาดอีกครา โดยอาศัยเส้นทางสายไหมในการเปิดประเทศและทำการค้าขายกับต่างแดน”

“เมื่อสงครามราชวงศ์เหลียวสงบลง ข้าคิดว่าคงมิเกิดสงครามทางบกขึ้นมาอีก ส่วนศึกสงครามหลังจากนี้จะเป็นสงครามทางทะเล”

“เมื่อสถานการณ์ทางบกสงบ พวกเราก็ต้องเริ่มทำมาหากิน”

“ส่วนเรื่องรถไฟข้ามิได้หลอกลวงพวกท่าน ดังนั้นพยายามมีชีวิตอยู่ต่ออีกสักพักเถิด ข้าคาดว่าก่อนที่แผนพัฒนาห้าปีฉบับที่สองจะร่างเสร็จ พวกท่านอาจจะได้เห็นรถไฟและได้ลองนั่งดูสักครา”

เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ฟู่เสี่ยวกวนก็หัวเราะร่าออกมา “รถไฟจะเคลื่อนไหวราบรื่นมากกว่ารถม้า หรือแทบจะมิรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวเลยด้วยซ้ำ”

สายตาที่ฝ้าฟางของเจี่ยหนานซิงทอแสงประกายออกมา “ฝ่าบาท…มันสามารถวิ่งได้ไกลถึง 800 ลี้ซึ่งใช้เวลาเพียงหนึ่งวันจริงหรือพ่ะย่ะค่ะ ? ”

“รถไฟรุ่นแรกคาดว่าจะวิ่งได้ประมาณนี้ ทว่าหลังจากนี้มันจะวิ่งได้ไกลและเร็วกว่านี้”

“อีกอย่าง…ข้าคาดการณ์ว่าอีกห้าปีให้หลังจากนี้ ทุกคนก็มิจำเป็นต้องใช้เทียนหรือโคมไฟอีกต่อไป”

เยี่ยนเป่ยซีผงะ “แล้วจะใช้อันใดแทนเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“ไฟฟ้า… ไฟฟ้าคล้ายคลึงกับสายฟ้าที่แลบอยู่บนท้องนภา ไฟฟ้าเป็นสิ่งที่มิธรรมดา และคาดว่าในอนาคตต้าเซี่ยจำเป็นต้องมีไฟฟ้าอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ แต่ถ้าจะทำให้ไฟฟ้าแพร่หลายไปทั่วทั้งต้าเซี่ยก็เกรงว่าต้องใช้เวลากว่ายี่สิบปี เพราะการจ่ายกระแสไฟและการวางระบบสายไฟมิได้ทำกันง่าย ๆ ”

“เมื่อมีไฟฟ้า… สิ่งที่คอยให้แสงสว่างก็จะถูกเปลี่ยนเป็นหลอดไฟ มันมีลักษณะโปร่งแสง ดังนั้นพวกท่านจำเป็นต้องมีชีวิตอยู่ต่ออย่างน้อยอีกสิบปี ! ”

เมื่อเขาเอ่ยเสร็จชายชราทั้งสามต่างก็ตกตะลึง เพราะพวกเขามิมีความรู้อันใดเกี่ยวกับไฟฟ้าเลย ทั้งยังจินตนาการมิออกว่ามันเป็นแบบใดกันแน่

พวกเขารู้จักสายฟ้า แต่เมื่อสายฟ้าแลบออกมาก็จะหายไป จะเก็บรวบรวมไว้ได้เยี่ยงไร ? แล้วจะนำมาใช้ประโยชน์เยี่ยงไร ?

พวกเขาจนปัญญาที่จะคิดฝัน แต่หลายปีที่พวกเขารู้จักฟู่เสี่ยวกวนมา เหมือนว่าเขาจะมิเคยเอ่ยสิ่งที่เป็นไปมิได้มาก่อน ถ้าหากสิ่งนี้เกิดขึ้นจริง ๆ และหากได้เห็นมันกับตาของตนเองสักคราก็คงดีมิน้อย !

สิบปี…ร่างกายที่ร่วงโรยนี้จะมีชีวิตอยู่ต่ออีกสิบปีได้หรือไม่กัน ?

คณะท่องเที่ยวสนทนากันตลอดการเดินทาง

รัชสมัยต้าเซี่ยที่หนึ่ง วันที่สาม เดือนหก คณะท่องเที่ยวได้เดินทางมาถึงเมืองฉางอัน ทว่ากลับมิได้พำนักอยู่ที่เมืองฉางอันนานเท่าใดนัก นั่นเป็นเพราะฟู่เสี่ยวกวนได้รับรายงานมา 3 ฉบับด้วยกัน

องค์รัชทายาทราชวงศ์เหลียวได้เดินทางมาถึงด่านเม่าซานแล้ว หยูเวิ่นเทียนก็ได้เดินทางมาถึงด่านเม่าซานแล้วเช่นกัน ศึกคราแรกระหว่างสองกองทัพได้ปะทุขึ้นเมื่อสามวันก่อน

อัครมหาเสนาบดีแห่งราชวงศ์เหลียวเสียชีวิตอยู่ริมชายแดน ส่วนสาเหตุยังมิเป็นที่แน่ชัด

กองทัพอสนีบาตที่ประจำอยู่บนภูเขาต้าเซียนได้มีความเคลื่อนไหวเกิดขึ้น พวกเขามิได้ข้ามภูเขาต้าเซียนเปยไปทางทิศใต้ แต่พวกเขากลับไปทางเหนือแทน และนั่นก็คือตำแหน่งที่ตั้งของเมืองต้าติ้ง !

กองทัพของเฮ้อซานเตาได้ขึ้นฝั่งที่ล๋ายโจวและกำลังมุ่งหน้าไปยังเมืองต้าติ้งเช่นเดียวกัน !