ตอนพิเศษ (2) ตอนที่ 44 ตอนจบ (กลาง)

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

ฮูหยินหวังเห็นสภาพน่าอนาถของหลานชายทั้งสองคนแล้วก็ร้องไห้ปานน้ำตาจะกลายเป็นสายเลือด นางที่ไม่เคยมีโทสะใส่เศรษฐีหวังมานานหลายปี ก็ร้องไห้ไปต่อว่าเศรษฐีหวังไปครั้งแล้วครั้งเล่า ใบหน้าของเศรษฐีหวังก็เต็มไปด้วยความรู้สึกเสียใจในสิ่งที่ได้ตัดสินใจลงไป เป็นเขาที่ได้รับการสรรเสริญเยินยอจากผู้คนในชนบทมานานเกินไป ลืมไปว่าตัวเองก็เป็นเพียงแค่ชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่ง ถึงขั้นหาญกล้าวางอุบายเล่นงานซื่อจื่อและพระชายาซื่อจื่อ ตอนนี้เป็นเช่นไรเล่า ขโมยไก่ก็ไม่ได้ ยังต้องเสียข้าวสารอีกหนึ่งกำมือ[1] สูญเสียทั้งฮูหยินและทหารไพร่พล[2] 

 

 

บุตรชายและลูกสะใภ้ของเศรษฐีหวังที่ยืนตัวสั่นงันงกอยู่อีกด้านหนึ่ง มองบิดาตัวเองที่ปล่อยให้มารดาต่อว่า และไม่ได้มีท่าทางกระฟัดกระเฟียดเหมือนกับแต่ก่อน ในใจก็เกิดความรู้สึกกลัวมากขึ้นกว่าเดิม 

 

 

เสียงร้องไห้โวยวายดังออกมาจากจวนตระกูลหวังอยู่นานค่อนคืน 

 

 

โจวอันนำข่าวนี้ไปกราบทูลหวงฝู่อี้เซวียน 

 

 

เขากำชับเพียงแค่ประโยคเดียวว่า “เฝ้าพวกเขาเอาไว้ให้ดี ถ้าหากว่าพวกเขารู้ตัวเองดี ก็จะไปจากเมืองหลวง และถอนมือออกไป ถ้าหากพวกเขายังดื้อดึงไม่เปลี่ยน มีความคิดเลอะเทอะอันใดอีก ก็ไม่ต้องเกรงใจอีกแล้ว คนไม่กี่คนที่ไม่สำคัญหายตัวไปในเมืองหลวง คงไม่มีใครให้ความสนใจ” 

 

 

โจวอันรับคำสั่ง ถอยออกไป และสั่งให้คนไปจับตามองอย่างใกล้ชิด 

 

 

เศรษฐีหวังที่ได้ยินเสียงร้องโอดโอยของหลานชายทั้งสองคนก็นอนไม่หลับตลอดทั้งคืน เช้าวันรุ่งขึ้นก็เรียกพ่อบ้านเข้ามา ไปหาพ่อค้าคนกลาง ขายจวนที่ตัวเองเพิ่งจะซื้อมาออกไปในราคาที่ต่ำสุด หลังจากนั้นก็พาคนทั้งตระกูลไปจากเมืองหลวง 

 

 

นับตั้งแต่ได้ยินเมิ่งชิงเอ่ยว่าหลานชายทั้งสองคนของเศรษฐีหวังได้ออกจากค่ายทหารแล้ว หลี่ชุ่ยฮวาก็อารมณ์ดีจนปิดบังรอยยิ้มบนใบหน้าไม่มิด “ชิงเอ๋อร์เอ๋ย แม่รู้ว่าเจ้ารักแม่ เจ้าวางใจเถอะ นี่เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว และจะเป็นเพียงครั้งเดียวเช่นนี้ หลังจากนี้แม่จะไม่ทำเรื่องที่ทำให้เจ้าไม่สบอารมณ์อีกแล้ว” 

 

 

เมิ่งชิงได้ยินแล้วก็ยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย ช่วงหลายวันมานี้ เขาใช้ชีวิตอย่างเลื่อนลอย กระทั่งค่ายทหารที่ชื่นชอบมาโดยตลอดก็ยังรู้สึกว่าน่าเบื่อหน่ายเป็นอย่างมาก เขาไม่รู้ว่าตนเองเป็นอันใดไป สติเลอะเลือนราวกับว่าป่วยหนักอย่างไรอย่างนั้น 

 

 

หลี่ชุ่ยฮวานึกว่าเขายังมีโทสะอยู่ เอ่ยพูดเอาใจไปหลายประโยคแล้ว ก็เห็นว่าเขายังมีสีหน้าไม่ดีอยู่ หลังจากกำชับให้เขาพักผ่อนดีๆ แล้ว ก็กลับไปที่เรือนของตัวเอง 

 

 

วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมิ่งชิงล้วนออกจากจวนแต่เช้าตรู่ และกลับจวนในเวลามืดค่ำ เก็บตัวอยู่ในค่ายทหารทั้งวัน หลี่ชุ่ยฮวาที่ไม่ได้พบเขาแม้แต่เงา ก็มีความสุขและสบายใจเป็นอย่างมาก ยามว่างก็อยู่ในจวนให้สาวใช้ปรนนิบัติ บางครั้งก็ออกไปเดินเล่นข้างนอก ซื้อเครื่องประทินโฉมบ้าง ซื้อเครื่องแต่งกายที่งดงามมาหลายชุดบ้าง ใช้ชีวิตผ่านไปในแต่ละวันอย่างสบายอกสบายใจ 

 

 

รองขุนพลหวังและคนอื่นๆ รู้สึกได้ถึงความผิดปกติของเมิ่งชิงอย่างชัดเจน มีหลายครั้งที่คิดจะเข้าไปโน้มน้าวก็ไม่รู้ว่าจะเอ่ยปากเช่นไร ในวันนี้ หลังจากหลายคนปรึกษาหารือกันแล้ว ก็รวบรวมเงินได้เล็กน้อย รอจนเมิ่งชิงฝึกทหารในยามบ่ายเสร็จเรียบร้อย ขี่ม้าจะกลับจวน ก็ขวางเขาไว้ที่หน้าประตูค่าย “ท่านรองแม่ทัพ หลายวันแล้วที่ท่านไม่ได้ไปร่ำสุรากับพวกข้าน้อย ไม่สู้วันนี้พวกเราไปร่ำสุรากันสักหน่อยเป็นเช่นไร” 

 

 

เมิ่งชิงมองพวกเขาด้วยสายตาเย็นชา มองจนกระทั่งคนเหล่านั้นขลาดเขลาอยู่บ้าง ถึงได้ผงกศีรษะอย่างเชื่องช้า 

 

 

คนทั้งหมดยินดีปรีดา โบกมือเรียกม้าที่เตรียมเอาไว้แต่เนิ่นๆ แล้วมา พลิกตัวขึ้นไป และตามเมิ่งชิงไปยังเหลาสุรากลางเมืองแห่งหนึ่ง 

 

 

เมื่อก่อนพวกเขามักจะมาที่เหลาสุราแห่งนี้ จั่งกุ้ยจำพวกเขาได้ จึงค้อมศีรษะทักทายนำพวกเขาขึ้นไปยังห้องส่วนตัว 

 

 

ห้องส่วนตัวห้องนี้ต้องใช้เงินไม่น้อย รองขุนพลหวังและคนอื่นๆ ตัวสั่นเล็กน้อย แต่ก็คิดได้ว่าห้องโถงใหญ่ไม่ใช่สถานที่ที่จะพูดคุยกัน จึงกัดฟันไม่เอ่ยพูดอันใด 

 

 

เมิ่งชิงไม่ได้สังเกตเห็นสีหน้าของพวกเขา เดินตรงเข้าไปนั่งในห้องส่วนตัว รองขุนพลและคนอื่นๆ สบตากันแวบหนึ่งแล้วจึงตามเข้าไป 

 

 

หลังจากสุราและอาหารถูกนำขึ้นโต๊ะเหมือนกับแต่ก่อนเรียบร้อยแล้ว เมิ่งชิงก็รินสุราให้ตัวเองเต็มจอก ยกจอกสุราขึ้นไปทางทุกคน และเงยศีรษะดื่มเข้าไปรวดเดียว ไม่รู้ว่าดื่มเร็วเกินไป หรือว่าสุราค่อนข้างเผ็ดร้อน หลังจากดื่มเสร็จแล้ว เมิ่งชิงก็ไอออกมาอย่างรุนแรง 

 

 

“ท่านรองแม่ทัพ!” 

 

 

รองขุนพลหวังรีบลุกขึ้นมาทุบหลังให้เขา 

 

 

เมิ่งชิงยื่นมือออกมาหยุดเขาเอาไว้ “ข้าไม่เป็นอะไร พวกเจ้าทุกคนก็ดื่มเถอะ” 

 

 

รองขุนพลหวังกลับไปนั่งที่เดิม มองเมิ่งชิงที่รินสุราเต็มจอก และแหงนศีรษะดื่มอีกครั้ง ก็อดที่จะเอ่ยไม่ได้ว่า “ท่านรองแม่ทัพ ท่านเป็นคนหนุ่มที่มีสติปัญญาเป็นเลิศ คนก็เป็นผู้มีคุณธรรม พวกเราพี่น้องทุกคนชื่นชมท่านเป็นอย่างมากมาโดยตลอด แต่ช่วงหลายวันมานี้ เห็นได้ชัดว่าท่านไม่เหมือนแต่ก่อน โปรดอภัยให้พวกเราพี่น้องหลายคนที่พูดมาก ไม่ทราบว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือขอรับ สามารถเอ่ยออกมาให้พวกข้าฟังได้นะขอรับ พวกข้าจะได้ช่วยท่านเสนอความคิดที่ดีได้” 

 

 

เมิ่งชิงวางจอกสุรา กวาดสายตามองผ่านใบหน้าพวกเขาทีละคน ทีละคน ยิ้มเจื่อนๆ “เรื่องของข้า พวกเจ้า ใครก็ช่วยไม่ได้” 

 

 

“คำโบราณกล่าวเอาไว้ได้ดี คนเขลาสามคน เทียบเท่าหนึ่งขงเบ้ง[3] พวกเราพี่น้องแม้ว่าจะเป็นชาวบ้านไร้การศึกษา แต่ก็มีอายุมากกว่าท่านนะ พบผ่านเรื่องราวมามากกว่าท่านเช่นกัน ท่านพูดออกมา ไม่แน่ว่าพวกข้าจะเสนอความคิดดีๆ ให้ท่านได้นะขอรับ” 

 

 

เมิ่งชิงโบกมือ และรินสุราให้ตัวเองอีกจอกหนึ่ง ยื่นมือออกไปตำแหน่งกลางโต๊ะ “ถ้าหากว่าพวกเจ้าเป็นเพื่อนที่ดีของข้า ก็อย่าถามอันใดเลย ร่ำสุราเป็นเพื่อนข้า พวกเรามาเมากันเถอะ” 

 

 

เมื่อเห็นว่า ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่ยอมเอ่ยปาก ทุกคนจึงหมดหนทาง แต่ละคนก็รินสุราให้ตนเองเต็มจอก ยกจอกสุราขึ้นมาดื่มกับเขา ข้ายกท่านดื่มสลับกันไปมาอยู่หลายครา เมิ่งชิงก็ยังไม่เป็นอันใด แต่คนที่เหลือกลับเมาหัวราน้ำจนไม่รู้เหนือใต้ออกตกแล้ว 

 

 

เมื่อเหลือบตามองสีท้องฟ้าด้านนอก ก็เกือบจะถึงช่วงเวลาที่ห้ามออกนอกเคหะสถานแล้ว บวกกับหลายคนที่ร่ำสุราจนเมา ให้พวกเขากลับไปค่ายทหารในตอนนี้ก็ไม่ปลอดภัย เมิ่งชิงเรียกจั่งกุ้ยมาจดบัญชีเอาไว้ ให้จั่งกุ้ยนำรถม้าคันหนึ่งมาส่งพวกเขาทั้งหมดไปที่จวนของตัวเอง เพียงแต่ว่าม้าทั้งหมดนั้นจะต้องทิ้งเอาไว้ให้เหลาสุราดูแลไปก่อน พรุ่งนี้เช้า พวกเขาทั้งหมดจะมารับคืนไป 

 

 

จั่งกุ้ยรับคำ และจัดเตรียมรถม้าอย่างรวดเร็ว ให้เสี่ยวเอ้อร์หลายคนช่วยประคองรองขุนพลและคนอื่นๆ ขึ้นไปนั่งบนรถม้าอย่างทุละทุกเลเรียบร้อย 

 

 

เมิ่งชิงก็ขี่ม้าตามอยู่ด้านหลังด้วยสภาพโซเซมาตลอดทางจนถึงหน้าจวน 

 

 

โคมไฟหน้าประตูยังคงสว่างไสว คนที่เฝ้าประตูเห็นเมิ่งชิงกลับมาแล้ว ก็รีบก้าวขึ้นมาต้อนรับ “คุณชาย ในที่สุดท่านก็กลับมา ฮูหยินเฝ้ารอท่านอยู่ที่หน้าประตูตลอด รอไปหลายชั่วยาม เพิ่งจะกลับเข้าไปในเรือนขอรับ” 

 

 

“ภายในจวนเกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ” 

 

 

เมิ่งชิงลงจากม้า 

 

 

“ไม่มีเรื่องอันใดขอรับ เพียงแต่ว่ามีแขกมาเยี่ยมจวน ฮูหยินกลัวว่าท่านจะอารมณ์ไม่ดี ถึงได้รอท่านจนถึงยามนี้” 

 

 

แขกหรือ เมิ่งชิงขมวดคิ้ว จนปัญญาที่ดื่มมากเกินไป ความคิดในสมองจึงสับสนปนเปกันไปหมด อะไรก็นึกไม่ออก จึงสะบัดหัวไปมาแล้วก็สั่งว่า “เจ้าไปเรียกคนออกมาหลายคนหน่อย ประคองคนที่อยู่บนรถม้าไปยังเรือนรับรองแขก และปรนนิบัติให้เรียบร้อยด้วย” 

 

 

บ่าวรับใช้ที่เฝ้าประตูรับคำสั่ง วิ่งเข้าไปในเรือน และเรียกบ่าวรับใช้ออกมาอีกหลายคนอย่างรวดเร็ว กลุ่มคนช่วยกันประคองรองขุนพลหวังและอีกหลายคนคนละไม้คนละมือลงมาจากรถม้า และพาไปส่งยังเรือนรับรองแขก 

 

 

เมิ่งชิงก็คิดจะตามไป แต่เดินไปได้ครึ่งทาง ก็นึกถึงคำพูดที่บ่าวรับใช้เฝ้าประตูเอ่ย จึงเปลี่ยนทิศทาง เดินไปยังเรือนของหลี่ชุ่ยฮวา แต่ยังไม่ทันจะเดินเข้าไปในประตูเรือน ก็ได้ยินจ๊อกแจ๊กจอแจเสียก่อน 

 

 

สาวใช้ที่เฝ้าอยู่หน้าประตูเขามาแล้ว ก็รีบคุกเข่าทำความเคารพ “คุณชาย ท่านกลับมาแล้ว ฮูหยินกำลังรอท่านอยู่เจ้าค่ะ” 

 

 

เมิ่งชิงยังไม่ทันเอ่ยอันใด หลี่ชุ่ยฮวาที่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวก็ก้าวออกมาจากด้านในอย่างรวดเร็ว ในน้ำเสียงนั้นมีความตื่นเต้นที่อำพรางไม่มิด “ชิงเอ๋อร์ เจ้ารีบเข้ามาดูเร็วเข้าว่าใครมา” 

 

 

 

 

 

 

 

 

[1] ขโมยไก่ก็ไม่ได้ ยังต้องเสียข้าวสารอีกหนึ่งกำมือ หมายถึงเดิมทีคิดเอาเปรียบผู้อื่น แต่ในตอนท้ายกลับกลายเป็นผู้เสียเปรียบเสียเอง 

 

 

[2] สูญเสียทั้งฮูหยินและทหารไพร่พล หมายถึงสูญเสียของที่มีมูลค่ามากเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ แต่นอกจากจะไม่สำเร็จแล้ว ยังต้องเสียสิ่งที่เหลืออยู่อีก  

 

 

[3] คนเขลาสามคน เทียบเท่าหนึ่งขงเบ้ง หมายถึง แม้ว่าจะเป็นคนเขลา แต่หากมีความร่วมแรงร่วมใจกัน เปิดกว้างรับความคิดเห็นของกันและกัน ก็จะสามารถคิดวิธีดีๆ ออกได้เช่นเดียวกับผู้มีปัญญา เฉกเช่นขงเบ้งที่ใช้สติปัญญาของตนรังสรรค์เหตุการณ์ที่น่าตื่นตาตื่นใจเรื่องแล้วเรื่องเล่า ทิ้งไว้ในประวัติศาสตร์สมัยสามก๊กอันยิ่งใหญ่