บทที่ 504.1 ไม่ฟังเหตุผลย่อมดีที่สุด

กระบี่จงมา! Sword of Coming

เลียบคูน้ำจ่าวซีขนาดใหญ่ที่เป็นสีเขียวมรกตนั้นไป พืชน้ำขึ้นหนาแน่นกระเพื่อมไปตามริ้วน้ำ เหมือนผีพรายที่กำลังกวักมือเรียก

นิทานพื้นบ้านและผลงานการประพันธ์ส่วนตัวในหมู่ชาวบ้านส่วนใหญ่ และยังมีคำกล่าวที่บอกว่าผีพรายต้องการหาตัวตายตัวแทน โดยรวมแล้วล้วนมาในแนวของการแก้แค้นทั้งสิ้น

เพียงแต่ว่าหากมีโลกมืดและโลกสว่างขวางกั้น คนเป็นคนตายมีความแตกต่าง ผีที่จมน้ำตายทั่วไป ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ผู้ฝึกตนที่เชี่ยวชาญคาถานับพันนับหมื่น ไหนเลยจะมีวิธีหลุดพ้นที่ง่ายดายเพียงนี้ ผีในโลกมืดทำร้ายคนในโลกสว่างเป็นเรื่องจริง แต่ที่บอกว่าเป็นการเอาตัวรอดอย่างหนึ่งนั้นกลับเป็นคำลวง นี่ก็เป็นแค่การเล่าลือกันไปปากต่อปากของพวกบัณฑิตก็เท่านั้น

ออกมาจากจวนเทพวารี เฉินผิงอันกระชากฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำที่ยังคงสลบไสลไม่ได้สติผู้นั้นทะยานไปทางทะเลสาบชางอวิ๋น ตู้อวี๋ที่ตอนนี้บนร่างยังคงสวมเสื้อเกราะเทพรับน้ำค้างยังทะยานลมติดตามเขามาดังเดิม ตู้อวี๋แข็งใจมุ่งหน้าไปยังทิศทางของทะเลสาบชางอวิ๋นเหมือนกัน คงเป็นเพราะอยู่กับผู้อาวุโสตรงหน้านี้นานวันเข้าจึงได้รับอิทธิพลจากอีกฝ่ายมาไม่น้อย ตู้อวี๋ถึงได้ถามประโยคหนึ่งว่าจำเป็นต้องถอดเสื้อเกราะน้ำค้างหวานที่ค่อนข้างสะดุดตานี้ออกหรือไม่ หลีกเลี่ยงไม่ให้ผู้อาวุโสต้องสูญเสียโอกาสในการช่วงชิงความได้เปรียบ

เฉินผิงอันบอกว่าไม่ต้อง

ตู้อวี๋จึงพอจะสงบใจลงได้

เพียงแต่ว่าประโยคถัดมาของอีกฝ่ายกลับทำให้หัวใจของตู้อวี๋แล่นมาจุกอยู่ในลำคอ ได้ยินเพียงว่าผู้อาวุโสเอ่ยเนิบช้า “ไปถึงริมทะเลสาบชางอวิ๋นจะต้องเปิดศึกใหญ่ ถึงเวลานั้นเจ้าไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น ถือเสียว่าเสี่ยงชีวิตเดิมพันอีกครั้ง แค่ยืนหูหนวกตาบอดอยู่ฝั่งหนึ่งก็พอ ถึงอย่างไรสำหรับเจ้าแล้ว ต่อให้สถานการณ์จะเลวร้ายแค่ไหนก็ไม่เลวร้ายไปกว่านี้อีกแล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะพอได้ทุนเก่ากลับคืนมาบ้าง”

ตู้อวี๋ยิ้มกล่าว “วางใจเถิด บางทีอาจจะช่วยอะไรผู้อาวุโสไม่ได้ แต่ตู้อวี๋รับรองว่าจะไม่เพิ่มปัญหาให้อย่างแน่นอน”

เฉินผิงอันยิ้มรับ

ตู้อวี๋ชำเลืองตามองฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำแวบหนึ่งก็รู้สึกเหมือนอยู่คนละโลก สะทกสะท้อนใจไม่หยุด ท่านพ่อท่านแม่มักจะบอกว่ามรรคกถาของผู้ฝึกตนใหญ่คนนั้นลึกล้ำ เจ้านครหวงเยว่ก็ดี บรรพจารย์ดินแดนเซียนเป่าต้งก็ช่าง ขอแค่มีรากฐานมีภูเขา เวลาวางตัวเข้าสังคมหรือลงมือทำอะไร มักจะต้องมีร่องรอยให้สืบเสาะได้เสมอ ทุกเรื่องก็ล้วนพูดคุยกันได้ง่าย ดังนั้นไม่จำเป็นต้องกลัว หากจะกลัวก็จงกลัวสี่คำบนกระดาษที่บอกว่า ‘โลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน’ เพราะเป็นคำที่ง่ายๆ และเบาบางล่องลอย จึงทำให้คนคว้าจับไม่ได้

ก่อนหน้านี้ตู้อวี๋ไม่ชอบฟังเรื่องพวกนี้ เขามักจะเห็นหลักการเหตุผลยิ่งใหญ่พวกนี้เป็นสายลมที่ผ่านข้างหูไปเท่านั้น

ดังนั้นการเดินทางมาเยือนอาณาเขตของทะเลสาบชางอวิ๋นในคืนนี้จึงทำให้เขารู้สึกว่าต่อให้เอาหลายๆ ครั้งที่ท่องเที่ยวในยุทธภพมารวมกัน คืนนี้ก็ยังอกสั่นขวัญผวายิ่งกว่า และตอนนี้ตู้อวี๋ก็คร้านจะคิดอะไรให้มากความ จึงไม่ถามอะไรอีก ผู้อาวุโสท่านนี้พูดอะไรก็ว่าตามกัน แผนการของคนบนยอดเขาไม่ใช่สิ่งที่เขาจะทำความเข้าใจได้เลย แทนที่จะหลอกตัวเอง ก็ไม่สู้ปล่อยให้เป็นไปตามชะตาฟ้าลิขิต

ผู้อาวุโสจากต่างถิ่นที่ทำอะไรเหมือนมีเมฆหมอกล้อมวนตลอดเวลาผู้นี้ มีดีอยู่อย่างหนึ่ง จริง

ดังนั้นตลอดทางที่เดินทางด้วยกันมา เขาจึงตอบทุกคำถามของอีกฝ่าย คิดเสียว่าไหนๆ ไหแตกแล้วก็ทุบให้มันแหลกเสียเลย คิดอะไรก็พูดมันไปอย่างที่ใจนึก แทนที่จะแสร้งโง่อวดฉลาดต่อหน้าอีกฝ่าย ก็ไม่สู้พูดจาหรือทำตัวให้จริงใจสักหน่อย ถึงอย่างไรสันดานของตนเป็นแบบไหน ผู้อาวุโสท่านนี้ก็คงมองออกอย่างทะลุปรุโปร่งมานานแล้ว

เฉินผิงอันเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้จึงโยนฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำไว้บนพื้น แล้วพลันหยุดฝีเท้า แต่กลับไม่ได้ปลุกให้นางตื่น

ตู้อวี๋กำลังใจลอยไปไกล ไม่ทันระวังจึงเลยผ่านบุรุษสวมชุดสีเขียวผู้นั้นไปหลายสิบลี้ เขารีบทะยานลมย้อนกลับมา กวาดตามองรอบด้าน เอามือกดด้ามดาบ ถามว่า “ผู้อาวุโส มีคนซุ่มอยู่หรือ? จะให้ข้าไปตรวจสอบดูก่อนหรือไม่ว่าจริงหรือเท็จ?”

“เจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นและบรรพจารย์ดินแดนเซียนเป่าต้งมีตบะเลิศล้ำค้ำฟ้าขนาดนั้น ไหนเลยจะยังต้องมาซุ่มโจมตีเจ้ากับข้า แค่จัดขบวนรบรอที่ริมทะเลสาบ เจ้าตู้อวี๋เห็นปราดเดียวก็หวาดผวาแล้ว”

เฉินผิงอันส่ายหน้า ถามคำถามหนึ่งกับตู้อวี๋ “หลายสิบแคว้นน้อยใหญ่ซึ่งรวมถึงแคว้นอิ๋นผิง มีจำนวนผู้ฝึกตนไม่น้อย แต่กลับไม่มีใครคิดจะไปดูสถานที่ที่ห่างไกลด้านนอกสักหน่อยหรือ? ยกตัวอย่างเช่นชายหาดโครงกระดูกทางทิศใต้ หรือราชวงศ์ต้าหยวนในภาคกลาง”

ตู้อวี๋ส่ายหน้า “ผู้ฝึกตนของสำนักอื่นบอกได้ยาก พูดถึงแค่ตำหนักขวานผีของพวกเรา นับตั้งแต่วันแรกที่เหยียบลงบนเส้นทางของการฝึกตนก็มีคำสั่งสอนข้อหนึ่งของสำนักสืบทอดกันมา ความหมายคร่าวๆ ก็คือบอกให้ลูกศิษย์รุ่นหลังอย่าได้ออกเดินทางไกลง่ายๆ จงตั้งใจฝึกตนอยู่บ้านให้ดี พ่อแม่ของข้าก็มักจะพูดกับลูกศิษย์ของตัวเองว่า สถานที่แห่งนี้ของพวกเรามีปราณวิญญาณเปี่ยมล้นมากที่สุด คือดินแดนสุขาวดีนอกโลกที่หาได้ยาก หากมีผู้ฝึกตนยากจนของภายนอกเกิดความโลภอยากครอบครอง นั่นก็คือหายนะ ข้าไม่ค่อยเชื่อเรื่องนี้เท่าไหร่ เป็นเหตุให้หลายปีมานี้คอยท่องอยู่ในยุทธภพเป็นประจำ อันที่จริง…”

พูดมาถึงตรงนี้ ตู้อวี๋ก็รู้สึกลังเลเล็กน้อย เขาจึงหยุดพูดไป

เฉินผิงอันกล่าวว่า “คำถามของข้า เจ้าได้ตอบมาตามความจริงแล้ว เรื่องที่เหลือ จะพูดหรือไม่พูดก็ได้ เรื่องเละเทะทั้งหลายที่เจ้าตู้อวี๋ทำในยุทธภพ ข้าไม่ค่อยสนใจสักเท่าไร”

ตู้อวี๋เข้าใจได้ทันที เขาขยับเท้าสองสามก้าวเข้าไปใกล้ผู้อาวุโส กดเสียงลงพูดเบาๆ ว่า “นี่เป็นเรื่องประหลาดเรื่องหนึ่ง พ่อแม่ของข้าก็ถือว่ารักและเอ็นดูข้ามาก แต่ทุกครั้งที่ข้าพูดถึงเรื่องนี้ พวกเขาก็ยังคงหลบเลี่ยงเก็บงำเอาไว้ บอกแค่ว่าเรื่องบางเรื่องที่ไม่ควรรู้ เมื่อไม่รู้ก็ถือเป็นความโชคดีอย่างหนึ่ง แน่นอนว่าข้าไม่กล้าต่อต้าน จึงคิดหาวิธีที่พบกันครึ่งทาง อาศัยโอกาสที่มาเที่ยวเล่นในยุทธภพลองเดินออกไปให้ไกลสักหน่อย ทุกครั้งจะหยุดเมื่อพอสมควร เดินทางเที่ยวไปทั่วสี่ด้านแปดทิศจนครบรอบหนึ่ง สุดท้ายข้าก็พอจะใคร่ครวญลิ้มรสอะไรบางอย่างออกมาได้จริงๆ”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เจ้าที่อยู่ในยุทธภพได้ลิ้มรสอะไรไม่น้อยเลยจริงๆ”

 ตู้อวี๋หัวเราะหึหึ “การเล่นสนุกเหมือนเด็กเช่นนี้ของข้า เทียบกับผู้อาวุโสที่ทะยานลมข้ามทวีป มหามรรคามีแต่อิสระเสรี เดินทางผ่านภูเขาแม่น้ำมาไกลนับหมื่นลี้ไม่ได้หรอก”

ตู้อวี๋เอ่ยต่อ “ถึงท้ายที่สุดข้าก็ค้นพบว่าชายแดนของหลายสิบแคว้นคล้ายจะมีคูน้ำธรรมชาติที่มองไม่เห็นอย่างหนึ่งดำรงอยู่ บริเวณโดยรอบนั้นมีปราณวิญญาณเบาบางเป็นพิเศษ เหมือนว่าถูกเซียนบนยอดเขาที่มีชีวิตอยู่ท่ามกลางทะเลเมฆเก้าชั้นฟ้าวาดวงกลมวงหนึ่งไว้บนอาณาเขตของโลกมนุษย์ ทั้งสามารถปกป้องพวกเราเอง แล้วก็ยังป้องกันไม่ให้ผู้ฝึกตนต่างถิ่นบุกเข้ามากระทำการชั่วร้ายด้านใน ทำให้คนไม่กล้าล้ำเส้นไปแม้แต่น้อย”

เฉินผิงอันเอ่ยเบาๆ “วิธีการคล้ายกับชุยตงซานที่ใช้กระบี่บินวาดบ่อสายฟ้า? นี่เพื่ออะไร?”

เฉินผิงอันครุ่นคิดแล้วก็ยังหาคำตอบไม่ได้ จึงวางความคิดนี้ไว้ก่อนชั่วคราว

แต่หากเกี่ยวข้องกับสมบัติประหลาดที่จะเผยกายในเมืองสุยเจี้ยจริงๆ ถือเป็นเส้นสายของเบาะแสที่ถูกทิ้งไว้ ยาวไกลเป็นพันลี้ ถ้าอย่างนั้นตนก็ควรต้องระวังตัวให้มากแล้ว

ดังนั้นการเดินทางไปเยือนทะเลสาบชางอวิ๋นต่อจากนี้ หากคุยกันไม่รู้เรื่องแล้วเกิดสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดอย่างที่คาดการณ์ไว้จริงๆ ก็จะเอาแต่ลงมือให้สาแก่ใจ ยอมทุ่มทรัพย์สมบัติที่มีเพียงแค่เพื่อความสะใจอย่างเดียวไม่ได้

เจี้ยนเซียนที่สะพายไว้ข้างหลังต้องเก็บเอาไว้เป็นสมบัติก้นกรุ

กระบี่บินสืออู่ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่เคยปรากฏตัวข้างกายเขาที่ศาลสุ่ยเซียน สาวใช้จะต้องบอกว่าตนเป็น ‘เซียนกระบี่’ คนหนึ่งอย่างแน่นอน ดังนั้นสามารถเอาออกมาใช้โดยว่ากันไปตามสถานการณ์ได้ แต่จำเป็นต้องกำชับสืออู่ว่าหากต้องเข่นฆ่ากันขึ้นมาจริงๆ ความเร็วในการบินออกไปจากน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ครั้งแรกสุด ทางที่ดีที่สุดคือต้องช้ากว่าเดิมสักหน่อย

ส่วนสร้อยประคำแกนลูกท้อที่สวมไว้บนข้อมือ รวมถึงยันต์สามแผ่นของตำหนักนภากาศราชวงศ์ต้าหยวน หากเป็นช่วงเวลาคับขันที่มองดูคล้าย ‘วิกฤตอันตราย’ ก็สามารถเลือกออกมาตาก…แสงจันทร์ของค่ำคืนนี้ดูได้

ในเรื่องของขอบเขตวิถีวรยุทธและระดับความแข็งแกร่งทนทานของร่างกาย ก็เลือกกดไว้ที่ขอบเขตห้าขั้นสูงสุดก่อนแล้วกัน

ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในศาลเทพวารีเจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซี การออกหมัดที่มีต่อเจ้าแห่งคูน้ำและเหอลู่ก็คือเวทอำพรางตาที่จงใจเอาออกมาใช้อย่างหนึ่ง ถือว่าเป็นการเปิดเผยรากฐานที่มองดูเหมือน ‘ลงมือเต็มกำลัง ไม่ออมมือไว้ไมตรีกันแม้แต่น้อย’

เรื่องบางอย่างต่อให้ตนเก็บซ่อนได้ดีแค่ไหน ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะมีประโยชน์ นิสียดีๆ ที่ชอบตั้งสมมติฐานถึงสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดเอาไว้ก่อน ในใต้หล้านี้จะมีเขาเฉินผิงอันเพียงคนเดียวได้อย่างไร? ดังนั้นจึงไม่สู้ให้ศัตรู ‘เห็นกับตาตัวเอง’ ไปเลย

เลียบเคียงอนุมานอย่างระมัดระวังแล้วระมัดระวังอีก ทุกเรื่องล้วนคิดให้มากและคิดให้ซับซ้อน

เดินทางผ่านยุทธภพสามทวีประยะทางเป็นพันเป็นหมื่นลี้เพียงลำพัง

เฉินผิงอันก็ใช้วิธีการเดินเช่นนี้มาโดยตลอด

เว้นเสียแต่ว่าวันนี้เขาฝึกหมัดได้มากขึ้น สมบัติติดกายก็มีมากชิ้นขึ้น

แล้วก็เปลี่ยนจากเด็กหนุ่มรองเท้าสานขาเปื้อนโคลนมาเป็นเด็กหนุ่มสวมชุดขาวปักปิ่นหยก แล้วจึงเปลี่ยนมาเป็นสวมชุดเขียวสวมงอบ ถือไม้เท้าเดินป่าอย่างในทุกวันนี้

กระบี่บินวาดบ่อสายฟ้าอะไรนั่น

ตู้อวี๋แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน แล้วเขาก็ไม่เข้าใจด้วย

ก็เหมือนกับก่อนหน้านี้ที่อยู่ดีๆ กาเหล้าที่ผู้อาวุโสดื่มหมดแล้วกานั้นหายวับไปกลางอากาศ มีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าจะถูกเก็บเข้าไปในเนินฟางชุ่นที่พ่อแม่ของเขามักจะพูดถึงเป็นประจำด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความปรารถนา

ตู้อวี๋ก็แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นเหมือนกัน

เฉินผิงอันใช้ไม้เท้าเดินป่าในมือเคาะไปที่หน้าผากของฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำที่อยู่บนพื้น ปลุกอีกฝ่ายให้คืนสติ

 เจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซีผู้นี้มีอุบายลึกล้ำยิ่งกว่าเจ้าแม่แห่งศาลสุ่ยเซียนผู้นั้นจริงๆ นางนอนตัวอ่อนยวบอยู่บนพื้น ไม่มีท่าทีว่าจะลุกขึ้นมา เพียงพูดเสียงอ่อนโยนว่า “ล่วงเกินเซียนซือใหญ่ บ่าวมีโทษสมควรตาย พระคุณที่เซียนซือใหญ่ไว้ชีวิต บ่าวจะไม่มีทางลืมเลือน”

เฉินผิงอันพูดเข้าประเด็นโดยตรง “ข้าจะฆ่าเจ้าแห่งทะเลสาบของเจ้าแล้วทุบรังในวังมังกรของเขาให้เละ เจ้านำทางข้าไป”

ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำที่สวมชุดหรูหรางดงาม ประทินโฉมอย่างประณีตหน้าไม่เปลี่ยนสี “เซียนซือใหญ่มีความแค้นกับนายท่านเจ้าแห่งทะเลสาบหรือ? มีอะไรเข้าใจผิดกันหรือไม่?”

เฉินผิงอันขมวดคิ้ว “เลิกพูดจาไร้สาระเสียที ลุกขึ้นมานำทางข้า”

สตรีสวมชุดชาววังกลับคืนมามีบุคลิกเรียบร้อยสง่างามเหมือนตอนอยู่ในศาลเทพวารีก่อนหน้านี้อีกครั้ง นางลุกขึ้นยืนอย่างเนิบนาบ ก่อนจะยอบตัวคารวะอย่างแช่มช้อยเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์

คิดไม่ถึงว่าจะถูกบุรุษชุดเขียวสวมงอบผู้นั้นเตะกระเด็นออกไป

นางกัดฟันไม่เอ่ยอะไรสักคำ เพียงแค่ลุกขึ้นยืนเงียบๆ

ในใจของฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำเคียดแค้นผู้ฝึกตนอิสระพันธ์ผสมผู้นี้นัก แม้แต่ผู้ฝึกตนสำนักการทหารตำหนักขวานผีที่เป็นตัวซวยผู้นั้นก็โดนนางเกลียดไปด้วย

เพียงแต่หากนางไม่มีความสามารถในการสังเกตสีหน้าคำพูดคำจา คอยรอดูการเปลี่ยนแปลงเพื่อประเมินสถานการณ์ ก็ไม่มีทางเดินมาสู่ตำแหน่งเทพอย่างในทุกวันนี้ได้

ผีพรายที่จมน้ำตายเพราะถูกจับขังในเล้าหมูแล้วเอามาถ่วงน้ำคนหนึ่ง สามารถเดินทีละก้าวมาจนถึงทุกวันนี้ อีกทั้งยังบีบให้เจ้าแห่งคูน้ำเสาซีได้แต่ปล่อยศาลทิ้งร่าง ย้ายร่างทองลงทะเลสาบ ยิ่งไปกว่านั้นยังเรียกเทพลำคลองใต้บังคับบัญชาของเจ้าแห่งทะเลสาบสามท่านเป็นพี่เป็นน้อง นางไม่ได้อาศัยตบะร่างทอง หรืออาศัยควันธูปในโลกมนุษย์ใดๆ ทั้งสิ้น

นางแสร้งถามเสียงสั่นด้วยความหวาดกลัว “ไม่ทราบว่าเซียนซือใหญ่อยากจะลงน้ำแล้วว่ายน้ำไป หรือจะทะยานลมอยู่บนชายฝั่ง?”

เฉินผิงอันกล่าว “แค่เดินไปบนชายฝั่งก็พอ”

แม้ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำจะตกตะลึงอยู่มาก แต่กลับไม่กล้าทักท้วงคนประหลาดที่นิสัยดุร้ายผู้นี้ ได้แต่ฝืนใจเดินไปเบื้องหน้าช้าๆ

ผู้ฝึกตนอิสระบนโลกล้วนเป็นเศษสวะพันธ์ผสมจริงๆ

เมื่อไปถึงจุดเชื่อมต่อระหว่างคูน้ำจ่าวซีกับทะเลสาบชางอวิ๋น ก็คือสถานที่ที่คนผู้นี้ต้องคุกเข่าโขกหัววิงวอนและพาตัวไปตายอยู่ในถิ่นของพวกนางแล้ว

แต่นางก็ยังอดสงสัยไม่ได้ว่า เทพธิดาเยี่ยนชิงที่มีมรรคกถาลึกล้ำกับเหอลู่ลูกรักแห่งสวรรค์ของนครหวงเยว่ เหตุใดกุมารทองกุมารีหยกคู่นี้ล้วนหายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว?

เทพเซียนที่เก็บตัวอย่างสันโดษ ใช้ชีวิตอยู่บนชั้นฟ้าเหล่านี้ แต่ละคนดีแต่แสร้งวางท่าภูมิฐานกันทั้งนั้น แท้จริงแล้วจิตใจแข็งกระด้างราวกับก้อนหิน ไม่ใช่คนดีอะไรเลย

ตู้อวี๋รู้สึกว่าน่าสนใจอย่างยิ่ง

ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในศาลเทพวารี ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำผู้นี้หมดสติไปจึงพลาดงิ้วดีๆ ฉากนั้น

หากได้เห็นภาพเหตุการณ์นั้น แม่ย่าลำคลองเล็กๆ อย่างนาง เวลานี้ในหัวคงไม่มีความคิดชั่วร้ายเหลืออยู่เลยกระมัง

เฉินผิงอันนึกถึงสาวใช้คนหนึ่งที่อยู่ข้างกายเจ้าแห่งคูน้ำเสาซีขึ้นมาได้ แล้วพอมองเจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซีตรงหน้านี้อีกครั้ง ก็หันไปยิ้มเอ่ยกับตู้อวี๋ว่า “พี่น้องตู้อวี๋ สมกับคำที่บอกว่ายามชีวิตแขวนอยู่บนเส้นดาย สันดานธาตุแท้ก็เผยให้เห็นจริงๆ”

ตู้อวี๋รีบแข็งใจเรียกอีกฝ่ายว่าพี่น้องเฉินไปคำหนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยว่า “ก็แค่คำพูดเหลวไหลที่เอ่ยไปส่งเดชเท่านั้น”

เฉินผิงอันจึงไม่เอ่ยอะไรอีก

ตู้อวี๋เงียบเสียงตามไปด้วย เพียงแค่เร่งเดินทางกันไปเงียบๆ

ส่วนเรื่องที่ผู้อาวุโสบอกว่าจะฆ่าเจ้าแห่งทะเลสาบทำลายวังมังกร ตู้อวี๋ไม่เชื่อ ใช่ว่าเขาไม่เชื่อว่าผู้อาวุโสจะมีวิชาอภินิหารไร้เทียมทานนี้ แต่เป็นเพราะ…นี่ไม่สอดคล้องกับคัมภีร์การทำการค้าของผู้อาวุโส

ในศาลเทพวารี ผู้อาวุโสใช้สันมือสับคอเหอลู่ทีเดียว อีกฝ่ายก็ไม่เหลือเรี่ยวแรงให้เอาคืน ร่างปลิวกระแทกทะลุหลังคาไปโดยตรง

นี่แสดงให้เห็นว่าการที่เทพธิดาเยี่ยนชิงสามารถยืนอยู่ได้จนถึงท้ายที่สุด ไม่ได้ล้มไปกองกับพื้นเหมือนเหอลู่ แล้วก็ไม่ได้หัวจมอยู่ในดินอย่างเจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซี เป็นเพราะผู้อาวุโสรักหยกถนอมบุปผาอย่างนั้นหรือ? แน่นอนว่าไม่ใช่ ส่วนสาเหตุที่แท้จริงนั้น ตู้อวี๋ก็เดาไม่ออก ตู้อวี๋แค่ไม่รู้ว่าทำไม ตนมักจะรู้สึกว่าหากเป็นสตรีที่รูปโฉมงดงาม ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ถ้าผู้อาวุโสที่มีวิชาเลิศล้ำตรงหน้านี้คิดจะลงมือขึ้นมาก็สามารถใจดำอำมหิตได้จริงๆ

เฉินผิงอันถามชวนคุย “ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในศาล เยี่ยนชิงจับกระบี่แต่ไม่ออกกระบี่ กลับกันยังจงใจถอยหนี น่าจะเพราะรู้ว่าสู้ไม่ได้ จึงคิดจะไปขอความช่วยเหลือจากทะเลสาบชางอวิ๋น ตู้อวี๋ไหนเจ้าลองบอกมาสิว่า ส่วนที่ลึกที่สุดในความคิดของนาง คือทำไปเพื่ออะไร? เพื่อให้ตัวเองหลุดพ้นไปจากอันตราย รักษาตัวรอด หรือเพื่อช่วยเหลือเหอลู่กันแน่?”

ตู้อวี๋ยิ้มกล่าว “เยี่ยนชิงทำเรื่องที่ถูกต้องที่สุด นั่นคือทั้งรักษาตัวรอดและช่วยเหลือคนอื่น ข้าเชื่อว่าต่อให้เหอลู่ได้เห็นก็ไม่มีทางรู้สึกยอกแสลงใจ หากอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน เหอลู่ก็น่าจะเลือกทำแบบเดียวกันนี้ กลับกลายเป็นในยุทธภพเสียอีก หากเป็นสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกันนี้ วีรุบุรุษส่วนใหญ่ที่ต่อให้จะรู้ทั้งรู้ว่าเป็นหลุมพรางของศัตรู แต่ก็ยังจะทะเล่อทะล่าเอาตัวไปตาย น่าหัวเราะเยาะก็จริงอยู่ แต่ส่วนที่น่าเคารพ…ก็พอจะมีอยู่บ้าง”

เฉินผิงอันครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็คล้ายจะกระจ่างแจ้ง จึงพยักหน้ารับ “ไม่ใช่คนบ้านเดียวกันไม่เข้าประตูบานเดียวกัน คนอย่างเหอลู่และเยี่ยนชิงก็ถือว่ามีชีวิตได้อย่างเหมาะสมกับมหามรรคา มีจิตที่เชื่อมโยงสื่อถึงกันได้มากกว่า”

เจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซีที่อยู่ด้านหน้าซึ่งคอยเงี่ยหูแอบฟังคนทั้งสองตลอดเวลาหัวเราะเสียงหยันอยู่ในใจ

คิดจะหลอกข้า?

 ผู้ฝึกตนอิสระพันธ์ผสมที่เรียกพี่เรียกน้องกับตู้อวี๋อย่างเจ้า กล้าพูดจาเหมือนผายลมว่าตัวเองทำให้เทพธิดาเยี่ยนชิงรู้สึกว่าสู้ไม่ได้ด้วยหรือ?

แต่กระนั้นฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำก็อดหวาดผวานิดๆ ไม่ได้ ถ้าหาก ถ้าหากเป็นความจริงล่ะ?

เพราะถึงอย่างไรเมื่อตนอยู่ต่อหน้าผู้ฝึกตนอิสระคนนี้ ก็อ่อนแอบอบบางไม่ต่างจากไก่จากหมาตัวหนึ่ง นี่คือเรื่องจริงที่จริงแท้แน่นอน

ไม่สนแล้ว ค่อยๆ ดูกันไปทีละก้าวแล้วกัน ขอแค่ไปถึงทะเลสาบชางอวิ๋น ทุกอย่างก็จะปรากฏกระจ่างชัดเอง ต่อให้ฟ้าถล่มลงมาก็ยังมีเจ้าแห่งทะเลสาบและบรรพจารย์ดินแดนเซียนเป่าต้งคอยแบกรับให้อยู่

นางไม่เชื่อจริงๆ ว่าจะมีใครสามารถต้านทานการโจมตีที่เกิดจากการร่วมมือกันของเทพเซียนทั้งสองท่านนั้นได้ พวกเขาจะต้องลอกเนื้อถลกหนังดึงวิญญาณของคนผู้นี้เอามาทำเป็นตะเกียงน้ำ ถึงเวลานั้นตนจะต้องขอดวงวิญญาณกลุ่มหนึ่งของเขามาจากนายท่านเจ้าแห่งทะเลสาบ แล้วจะเอาไปวางไว้ในศาลเทพวารีของตน!

—–