ในตอนที่หวังเป่าเล่อหันหน้าไป สิ่งที่เห็นไม่ใช่ห้องก่อนหน้านั้น แต่เป็น…โลงศพขนาดใหญ่ยักษ์โลงหนึ่ง!
โลงศพนี้ไม่ใช่เนื้อไม้ หากแต่สร้างขึ้นจากผลึกใส มันดูกระจ่างใสแต่ก็ส่องแสงระยิบระยับออกมาด้วยในเวลาเดียวกัน แม้ในความว่างเปล่าที่มืดมิดนี้ก็ยังส่องแสงพร่างพราวดุจดวงดารา
บางทีอาจเป็นเพราะแสงแวววาวของมัน ดังนั้นจึงทำให้หวังเป่าเล่อที่หันไป มองเห็นร่างที่นอนอยู่ในโลงไม่ชัดเจน มั่นใจเพียงว่า…ในนั้นมีร่างคนนอนอยู่จริงๆ!
มองไม่ชัดว่าเป็นชายหรือหญิง รูปร่างเป็นอย่างไร แต่ในยามที่มองเห็นโลงศพนี้ ในใจหวังเป่าเล่อที่ยังคงตระหนกและสั่นสะท้านอย่างรุนแรงก็กลับกลายเป็นคลื่นลูกใหญ่ทะยานขึ้นฟ้า
ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงเลย เดิมคิดว่าหลังจากออกมาจากห้องจะได้เห็นโลกที่แท้จริง สุดท้ายสิ่งที่เห็นกลับเป็นซากปรักหักพัง และเดิมที่คิดว่าหลังออกมาจากโลกกระดาษสีขาวแล้ว สิ่งที่เห็นจะเป็นห้องของหวังอีอี แต่ในความเป็นจริง…สิ่งที่เห็นกลับเป็นโลงศพโลงหนึ่ง!
ทุกสิ่งทุกอย่างที่นี่ส่งผลต่อหวังเป่าเล่อมากจริงๆ ทำให้ดวงจิตเทพของเขาที่กำลังสั่นไหวอย่างรุนแรงนี้เริ่มเกิดอาการใกล้แตกสลายลงอย่างไม่คาดคิด ราวกับความคิดมากมายถาโถมเข้ามาในชั่วพริบตาจนเขารับไม่ไหว
แต่ทุกสิ่งที่เขาเห็นกลับไม่ยั่งยืน ทั้งยังเกิดการเปลี่ยนแปลงตลอด อย่างความว่างเปล่าด้านหลังโลงศพ เวลานี้พลันเกิดระลอกคลื่นแผ่ขยายออกมา ในระลอกคลื่นนั้นมีตะขาบสีแดงฉานขนาดประมาณร้อยจั้งโผล่ออกมาอย่างไร้สุ้มเสียง กระโจนทีหนึ่งก็พุ่งไปบนฝาโลงศพ
ลำตัวครึ่งบนของมันยืดสูง เมื่อขาอันน่าสะพรึงจำนวนนับไม่ถ้วนและหนวดบนหัวที่กวัดแกว่งไปมา ดวงตาสีเหลืองขุ่นของตะขาบสีแดงฉานตัวยักษ์นี้ก็หันมองมาทางหวังเป่าเล่อ
แทบจะเป็นเวลาเดียวกับที่สายตาหวังเป่าเล่อสบเข้ากับตะขาบสีแดงฉานตัวนี้ เมื่อเสียงดังก้องขึ้นในหัวของมัน ร่างของตะขาบก็พลันล้มลงในทันทีและกลายเป็นตะขาบตัวเล็กจำนวนนับไม่ถ้วนปิดโลงศพจนมิด จากนั้นตะขาบจำนวนมหาศาลนี้ก็ผนึกรวมกันอีกครั้ง เกิดเป็นก้อนนูนขึ้นอย่างรวดเร็วและสุดท้ายก่อตัวเป็นใบหน้าคน!
ใบหน้านี้ประหลาดพิลึก มองไม่ออกว่าเป็นชายหรือหญิงทั้งยังทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกแปลกตา แต่ก็ราวกับในเบื้องลึกของจิตวิญญาณมีความคุ้นเคยประหลาด มัน…ส่งยิ้มแฝงความหมายมาทางหวังเป่าเล่อ
“นี่…นี่..” หวังเป่าเล่อจิตใจสั่นสะท้าน สมองแทบจะระเบิด ดวงจิตราวกับจะแตกสลาย และในชั่วขณะ เสียงทอดถอนใจเบาๆ ก็ดังก้องขึ้นในหัวเขา
“เป่าเล่อ สิ่งที่เจ้าเห็น…อาจไม่ใช่เรื่องจริง…” เสียงนี้ไม่ได้มาจากบิดาของหวังอีอี และก็ไม่ได้มาจากสตรีผู้อ่อนโยนก่อนหน้านั้น ยิ่งไม่ได้มาจากใบหน้าพิลึกที่เกิดจากตะขาบตรงหน้านี้ด้วย แต่กลับเป็นแม่นางน้อยในแผ่นชิ้นส่วนหน้ากากของหวังเป่าเล่อ
หรือก็คือ…หวังอีอีในตอนโต!
เสียงที่ล่องลอยมานี้เปรียบเสมือนโอสถชั้นดีที่เลิศที่สุดในปฐพี ในพริบตานั้นจิตใจของหวังเป่าเล่อสงบลงมาก ทำให้สติเริ่มกลับคืนมาเล็กน้อย ทว่ายังไม่ทันที่เขาจะเอ่ยปากถาม เหตุเพราะกฎและกฎเกณฑ์ของโลกภายนอกกับโลกกระดาษสีขาวไม่เหมือนกัน ก่อนหน้านั้นหวังเป่าเล่อได้ฝืนพยายามควบคุม ทว่าตอนนี้ดำเนินมาจนถึงขีดสุดแล้ว ไม่ต้องให้ใครลงมือ แรงดูดมหาศาลขุมหนึ่งก็แผ่ออกมาจากโลงศพ พริบตาก็ฉุดดึงดวงจิตของหวังเป่าเล่อ
แรงดูดนี้รุนแรงมาก หวังเป่าเล่อไร้แรงขัดขืน พริบตานั้นก็ถูกลากไปทางโลงศพ โชคดีที่เมื่อเขากำลังเข้าไปใกล้ โลงศพรวมทั้งใบหน้าคนของตะขาบที่นูนออกมาได้เปลี่ยนไปอีกครั้งต่อหน้าเขา มันก็กลับมาเป็นห้องที่เปิดประตูของหวังอีอีอีกครั้ง แค่เพียงพริบตาสติสัมปชัญญะของเขาก็กลับเข้าไปในห้อง กลับไปยังหน้ากระดาษสีขาวเล่มนั้นที่เปิดกางอยู่บนพื้น
ในขณะที่หลอมรวมเข้าไปในกระดาษ สติสัมปชัญญะของหวังเป่าเล่อราวกับสูญเสียพลังไปจำนวนมาก ยืนหยัดต่อไม่ไหว ค่อยๆ สลายหายไปอย่างช้าๆ
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร เมื่อหวังเป่าเล่อเรี่ยวแรงฟื้นคืนกลับมาและลืมตาขึ้น เขาก็ไม่ได้อยู่ในโลกกระดาษสีขาวแล้ว แต่กลับมายังที่ฝึกตนในไอหมอกบนดาวชะตา
ไอหมอกที่คุ้นตาตรงหน้าทำให้ความสับสนในแววตาค่อยๆ จางหายไป เฉินหานที่ลอยอยู่เบื้องหน้าก็มีประโยชน์ในทำนองเดียวกัน ทำให้สภาพหวังเป่าเล่อก่อนหน้านี้ค่อยๆ ฟื้นคืนกลับมาทีละน้อย
หลังจากฟื้นตัวแล้ว ภาพเหตุการณ์ต่างๆ ในโลกกระดาษสีขาวก็ผุดขึ้นในความทรงจำของหวังเป่าเล่อ ร่างกายเขาค่อยๆ สั่นเทิ้ม ในเวลานี้เขามืดแปดด้านจริงๆ
เพราะเขาพบว่า การสัมผัสรับรู้ในแต่ละครั้งรวมทั้งการใช้มุมมองของเฉินหานในการมองอดีตชาติ ทุกครั้งที่ตัวเองคิดว่าทุกอย่างเริ่มชัดเจนขึ้นมากแล้วและเริ่มจะได้คำตอบ ในพริบตาก็จะเกิดปริศนาลึกลับเพิ่มขึ้นมา สั่นคลอนคำตอบที่เขาเคยได้
เป็นอย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เดิมคิดว่าโลกนี้เป็นของจริง แต่เบาะแสทั้งหมดต่างชี้ไปยังสมุดเล่มหนึ่ง
เดิมที่คิดว่าบางทีตัวเองอาจจะมีชีวิตอยู่ในสมุดจริงๆ แต่ในเวลาอันสั้นก็พบว่า ตำแหน่งที่สมุดเล่มนี้อยู่ก็คือห้องของเด็กน้อยคนหนึ่ง
เดิมที่คิดว่าเมื่อถึงห้องแล้วก็คือโลกที่แท้จริง แต่กลับพบว่ามีกฎข้อห้ามในห้องนั้นที่แยกทุกสิ่งทุกอย่างออกจากกัน
และเดิมทีที่คิดว่าออกมาจากห้องด้วยความยากลำบากได้แล้วก็จะมีความสามารถเห็นความจริง แต่สิ่งที่เห็นกลับเป็นความว่างเปล่า
เดิมที่คิดว่าว่างเปล่าก็ช่างประไร แต่เมื่อมองย้อนกลับไปกลับพบว่าโลกของตนเองดันเป็นโลงศพ
เดิมที่คิดว่าโลงศพก็คือคำตอบ ทว่ากลับมีตะขาบสีแดงฉานโผล่ออกมา ซ้ำยังก่อตัวขึ้นเป็นใบหน้าแปลกประหลาด
ทุกสิ่งทุกอย่างนี้ได้ทำลายความเข้าใจของเขาครั้งแล้วครั้งเล่า และในตอนสุดท้าย คำพูดของแม่นางน้อยก็ราวกับชี้บอกว่าทุกสิ่งที่ตนเห็น…ไม่ใช่ความจริง
“แท้จริงแล้ว…แท้จริงแล้ว…มันเกิดอะไรขึ้น!”
“อีกอย่าง…เมื่อครู่ที่บินออกมา…ราวกับ…ราบรื่นเกินไป ราบรื่นเสียจนไม่น่าเชื่อ ราวกับจงใจปล่อยออกมาเพื่อให้ข้าเห็นเรื่องราวเหล่านั้น!”
“แล้วก็…สิ่งสุดท้ายที่ข้าเห็นก็ดูเหมือนไม่ใช่ความจริงทั้งหมด ราวกับเป็นการ…บอกเป็นนัย!”
“ซากปรักหักพังหมายถึงอะไร โลงศพหมายถึงอะไร ตะขาบสีแดงฉานหมายถึงอะไร และใบหน้าแปลกประหลาดที่เกิดจากตะขาบในตอนท้ายคืออะไรกัน…” หวังเป่าเล่อนิ่งเงียบ ผ่านไปครูหนึ่งก็มองไปรอบๆ นัยน์ตาปรากฏความเคลือบแคลงขึ้นทีละน้อย
เขาเกิดความสงสัยต่อสิ่งที่เรียกว่าการรับรู้อดีตชาติ ดังนั้นจึงหยิบแผ่นชิ้นส่วนหน้ากากออกมาก้มมอง นันย์ตาฉายแววซับซ้อน
“แม่นางน้อย เจ้าควรจะให้คำตอบข้าได้แล้ว!”
คราวนี้ แม่นางน้อยไม่ได้เงียบงันเหมือนก่อน ผ่านไปอึดใจหนึ่งก็มีเสียงถอนหายใจเบาๆ ถ่ายทอดคำพูดออกมา
“ความทรงจำของข้าหายไปเยอะมาก แต่ข้ามั่นใจว่าอีก 68 ปีเจ้าจะมีโอกาสได้รู้ความจริงบางส่วน!”
“68?” หวังเป่าเล่อตกตะลึง เพราะช่วงเวลาที่ว่านี้ก็คือวันที่หลี่หว่านเอ๋อร์บอกกับเขา เป็นวันที่เจ้าสำนักของนางนัดพบเขา
“แต่ว่า…”
“ไม่ต้องถามข้าอีกแล้ว เป่าเล่อ ขอร้องล่ะ อย่าถามข้าอีกเลย ข้าปวดหัวมาก…” หวังเป่าเล่อกำลังจะถามต่อ แต่น้ำเสียงที่เจือไว้ด้วยความเจ็บปวดของแม่นางน้อยทำให้หัวใจของเขาสั่นสะท้าน
เขานึกถึงเด็กหญิงตัวน้อยตอนตนเป็นกวางขาว นึกถึงเด็กสาวชุดขาวตอนที่ตนเป็นดาบปีศาจ นึกถึงสหายที่นั่งเป็นเพื่อนมองท้องฟ้าตอนตนเป็นผีดิบ…สุดท้ายหวังเป่าเล่อก็ถอนหายใจ ไม่ซักถามต่ออีก
แต่กลับนั่งเงียบๆ อยู่ตรงนั้น ปิดตาลง หวนคิดถึงวันเวลาเหล่านี้ สัมผัสรับรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง กระทั่งครู่ต่อมา…
เมื่อเขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง นัยน์ตาก็ปรากฏความแน่วแน่เด็ดเดี่ยว!
“จริงแล้วอย่างไร เท็จแล้วอย่างไร และความนัยที่ว่านั่นด้วย…จะเป็นเพราะรับรู้เรื่องราวเหล่านี้แล้วเป็นบ้าฆ่าตัวตายหรือไม่สนใจชีวิตจนตรอมใจตายหรือไง”
“ไม่ว่าอย่างไร เจตนารมณ์ของข้าก็ไม่เปลี่ยนแปลง”
“ปราณของข้าอ่อนแอ แขนของข้าเรียวเล็กเกินไป ความแข็งแกร่งของข้าไม่มากพอ ดังนั้น…เรี่องใหญ่หลวงเกี่ยวกับอาณาจักรเต๋าย่อมมีเหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์คอยกังวลอยู่แล้ว คนตัวเล็กๆ อย่างข้าไม่มีปัญญาทำขนาดนั้น และก็อย่าได้มาเรียกข้าไปสนใจความนัยอะไรนั่น…ข้าเปลี่ยนมันไม่ได้!”
“ดังนั้น ไม่ว่าสิ่งที่ข้าเห็นจะเป็นจริงก็ดีหรือจะเป็นของปลอมก็ช่าง จะเกี่ยวข้องกับข้าอย่างใกล้ชิดก็ดีหรือห่างไกลก็ช่าง ล้วนไม่ใช่สิ่งที่ข้าจะควบคุมได้”
“แทนที่จิตใจจะสั่นสะท้านอย่างบ้าระห่ำ มิสู้อยู่บนความเป็นจริงสร้างความแข็งแกร่งให้ตนเอง มีทางนี้ทางเดียว…ถึงจะยืนหยัดได้อย่างมั่นคง ก้าวเดินได้ไกลขึ้น ส่วนเรื่องในภายภาคหน้า…ใครเล่าจะรู้”
หวังเป่าเล่อนัยน์ตาฉายแววเด็ดเดี่ยว แม้การสัมผัสรับรู้ในครั้งนี้ไม่ได้เพิ่มพลังปราณแก่เขา แต่ความแน่วแน่บางอย่างในจิตวิญญาณยังคงทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าร่างกายตอนนี้ปลอดโปร่งขึ้นไม่น้อย
ในช่วงเวลาที่ปลอดโปร่ง เขารู้สึกได้ว่ากฎจันทร์ข้างแรมของตนดูเหมือนจะก้าวหน้าขึ้น ราวกับว่าการออกไปครั้งนี้ส่งผลดีต่อกฎแห่งกาลเวลาไม่น้อยเลย หลังจากได้ลองดู หวังเป่าเล่อก็มั่นใจในเรื่องนี้อย่างรวดเร็ว
ความรู้สึกของเขาถูกต้อง กฎจันทร์ข้างแรม ก้าวหน้าขึ้นจริงๆ จากที่ย้อนเวลากลับไปได้สิบลมหายใจได้เพิ่มเป็นยี่สิบลมหายใจ!
และในเวลานี้เอง เฉินหาน…ก็ฟื้นแล้ว…
………………………