บทที่ 1078 ความรู้สึกของคนในครอบครัว!

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

เฉินหานที่เพิ่งฟื้น หลังจากงุนงงอยู่ครู่หนึ่งก็หันขวับมองหวังเป่าเล่ออย่างรวดเร็ว ในใจเตรียมตัวไว้อย่างดีแล้วว่าเจ้าโรคจิตนี่จะเข้ามาถามตนเองเหมือนกับก่อนหน้า

จากที่เขาเห็น เจ้าหวังเป่าเล่อคนนี้ชอบแอบสอดส่องเรื่องส่วนตัวของผู้อื่นเป็นที่สุด และการระลึกชาติของตนในครั้งนี้ นับว่าเป็นพรสวรรค์ระดับหนึ่งจากกลุ่มเดียวกัน เพียงแต่เขารออยู่สักพักก็ยังไม่เห็นหวังเป่าเล่อเอ่ยถาม นี่ทำให้เฉินหานรู้สึกไม่คุ้นชินเท่าไร

ดังนั้นจึงรอต่อไปอีกสักพัก แต่หวังเป่าเล่อก็ยังนิ่งเงียบ เฉินหานจึงลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยขึ้นเอง

“ท่านพ่อ!”

“มีอะไร!” หวังเป่าเล่อลืมตามองเฉินหาน

“ข้าตื่นแล้ว”

“อืม!” หวังเป่าเล่อรู้อยู่แล้วว่าเฉินหานฟื้น เพียงแต่หลังจากที่ตอนนี้จิตใจแน่วแน่ เขาจึงไม่ได้สนใจเรื่องราวต่อจากนี้ของโลกกระดาษสีขาวแล้ว แต่กำลังจดจ่ออยู่กับกฎจันทร์ข้างแรมที่ก้าวหน้าขึ้นของตนเอง

ทว่า การนิ่งเงียบไม่ไต่ถามของเขา กลับทำให้เฉินหานรู้สึกยุบยิบในใจ หลังจากอดทนได้ครู่หนึ่ง เฉินหานก็กระแอมทีหนึ่งก่อนเอ่ยขึ้น

“ท่านพ่อ การระลึกชาติครั้งนี้ของข้ามันพิเศษมาก ท่านต้องคิดไม่ถึงแน่นอนว่ามันเป็นโลกแบบไหน แม้แต่ตัวข้าเองก็เพิ่งรู้ในตอนนี้ว่าที่แท้…มันเป็นโลกที่สร้างขึ้น และตัวข้าที่อยู่ตรงนั้นก็พิเศษไม่เหมือนใคร!”

หวังเป่าเล่อไม่สนใจเฉินหาน เขาหลับตาจดจ่ออยู่กับจันทร์ข้างแรมของตนต่อไป

เมื่อเห็นว่าคำพูดของตนดึงดูดความสนใจจากหวังเป่าเล่อไม่ได้ เฉินหานก็กะพริบตาไปมาก่อนกล่าวขึ้นอีกครั้ง

“ข้าลืมไปว่าท่านพ่อก็อยู่ที่นั่นด้วย ไม่แปลกใจก็ไม่แปลก แต่ท่านต้องไม่รู้แน่ๆ ว่าในมือของผู้สร้างข้ามีพรสวรรค์มากแค่ไหน ไม่มีใครเหมือน พวกพ้องประเภทข้าทั้งหมด ทุกครั้งที่เห็นข้าก็แสดงท่าทางตกอกตกใจถึงขั้นหวาดกลัวก็มี”

“น่าเสียดายที่ข้าในตอนนั้น สติปัญญายังไม่ทำงานดี ถ้าหากเป็นข้าในตอนนี้จะต้องใช้พรสวรรค์อันโดดเด่นไม่เหมือนใคร เป็นผู้นำสั่งการใต้หล้า ให้…”

“ขาข้างหนึ่งยาว ข้างหนึ่งสั้นหรือ” หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าเฉินหานพูดมากเกินไปแล้ว และกำลังรบกวนการฝึกของตน ดังนั้นจึงเอ่ยกลับไปด้วยความรำคาญเล็กน้อย

ประโยคนี้ของเขาพูดออกมาอย่างปกติ แต่เมื่อลอยเข้าหูเฉินหานกลับยิ่งกว่าสายฟ้าฟาด ทำให้พริบตานั้นในหัวเขาพลันเกิดเสียงดังสนั่น นัยน์ตาเผยแววตระหนกและยากจะเชื่อออกมาอย่างไม่เคยเป็น

‘เป็นไปไม่ได้ นี่ไม่มีทางเป็นไปได้!’

‘สวรรค์ ทำไมเจ้าโรคจิตนี่ถึงได้รู้ไปซะทุกอย่าง!’

ครั้งเดียวก็แล้วไปเถอะ สองครัังก็ยังพอทำเนา แต่ครั้งที่สามนี่ยังจะพูดตรงเผงในรอบเดียวอีก นี่ทำให้หนังศีรษะเฉินหานชาหนึบในทันที ราวกับเจอผีอย่างไรอย่างนั้น เขามองหวังเป่าเล่ออย่างอึ้งๆ ไร้คำพูดไปขณะหนึ่ง

ถึงแม้เวลาจะผ่านไปหนึ่งก้านธูป และเฉินหานจะพ่นลมหายใจออกมา แต่ในหัวยังคงหมุนตลบอย่างรุนแรง เขาไม่เข้าใจเลยสักนิด ทำไมเจ้าหวังเป่าเล่อตรงหน้านี่ถึงได้รู้ความลับในใจเขา ถึงขั้นดูเหมือนว่าเห็นอดีตชาติของตนด้วยตาเขาเอง

นี่ทำให้หวังเป่าเล่อในสายตาเขายิ่งดูลึกลับกว่าเดิม ความลึกลับนี้ถึงขั้นสูงสุดจนกลายเป็นความหวาดกลัว

‘มีบางอย่างผิดปกติ!’ ถึงอย่างไรเฉินหานก็เป็นมหาศิษย์แห่งเต๋า ทั้งยังเกิดใหม่หลายต่อหลายครั้ง ดังนั้นเขาก็รู้สึกได้โดยเร็วว่าในนั้นมีสิ่งแปลกประหลาด เพียงแต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่าหวังเป่าเล่อสามารถเชื่อมโยงจิตวิญญาณเข้ากับตน เข้ามายังการระลึกชาติของตนได้ ดังนั้นจากความคิดของเขาแล้ว ในอดีตชาติพวกนั้น หวังเป่าเล่อจะต้องมีสถานะที่แตกต่างไปจากผู้อื่นอย่างแน่นอน

“ข้ารู้แล้ว!”

“ท่านพ่อ ในโลกที่ข้าเป็นผีเสื้อท่านเป็นต้นไม้ใหญ่ต้นนั้นใช่หรือไม่!” ประโยคนี้ของเฉินหาน แทบจะเป็นการพูดออกมาแบบไม่ยั้งคิด หลังจากโพล่งออกมาเขาก็เห็นท่าทางของหวังเป่าเล่อที่เปลี่ยนไปทันที ยิ่งทำให้เขาเชื่อมั่นในความคิดของตนเอง จากนั้นก็พลันคิดถึงเรื่องน่าหวาดกลัวเรื่องหนึ่ง ดวงตาเบิกกว้าง น้ำเสียงขาดห้วง

“ยังมีโลกเห็ดนั่น ท่าน…ท่านเป็นแม่มดสาวบนฟ้านั่น!  สวรรค์ นี่ท่านเป็นแม่มดสาวหรือ!!!” เฉินหานสั่นสะท้านไปทั้งศีรษะ ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกถูกต้อง ส่วนสีหน้าของหวังเป่าเล่อกลับอึมครึมลง นั่นยิ่งทำให้เขารู้สึกว่าตนเองได้พูดความลับในใจของอีกฝ่ายออกมา

นี่ทำให้เฉินหานรู้สึกคลื่นไส้ทันที กลับกันเขายิ่งรู้สึกเศร้า เมื่อคิดว่าตนยังต้องไปรับเจ้าสาวแม่มด เพื่อก้าวสู่ชีวิตเห็ดอันรุ่งโรจน์ มิน่าล่ะหลังจากที่ฟื้นขึ้นมาครั้งก่อน เจ้าโรคจิตนี่ถึงได้สั่งสอนตน เพราะแบบนี้นี่เอง…

“ยังมีโลกที่สร้างขึ้นอีก ข้าเข้าใจแล้ว ท่าน…ท่านต้องเป็นพู่กันจีนเล่มนั้นแน่ๆ!”

“หุบปาก เจ้าสิเป็นพู่กัน!” หวังเป่าเล่อถลึงตาใส่เฉินหานอย่างเหลืออด และคิดว่าก่อนที่จะถูกเขาจับได้อีกฝ่ายก็ดูปกติดี แล้วทำไมหลังจากถูกตนจับได้แล้วถึงได้กลายเป็นแบบนี้

“หรือว่าระเบิดตัวเองเยอะไป ก็เลยโง่เง่าไปแล้ว?” หวังเป่าเล่อมองเฉินหาน ขณะกำลังไตร่ตรองว่าจะให้อีกฝ่ายฟื้นฟูร่างกายดีหรือไม่ ทางด้านเฉินหานกลับสูดหายใจลึก เข้าใจว่าความรำคาญของหวังเป่าเล่อคือการอับอายจนพาลโกรธ ดังนั้นขณะที่พล่ามบ่นอยู่ในใจก็ยิ่งมั่นใจกับคำตอบของตนเอง

‘เป็นโรคจิตจริงๆ เสียด้วย มิน่าถึงเป็นกวางขาวที่พุ่งชนจักรวาลจนแตกได้ เจ้านี่…อยู่คนละระดับกับข้าเลย ข้า ข้า ข้า…ข้าเป็นคนที่เขาสร้างขึ้นมาหรือนี่ สวรรค์ ในที่สุดข้าก็รู้เสียทีว่าทำไมเจ้านี่ชอบให้ข้าเรียกเขาว่าท่านพ่อนัก!’  เฉินหานยิ่งคิดก็ยิ่งตระหนก โดยเฉพาะคำเรียกขานว่าท่านพ่อเรื่องสุดท้ายนั่น ทำให้เขาราวกับเข้าใจอย่างถ่องแท้ในพริบตา

คิดได้ดังนั้นความยำเกรงก็เพิ่มมากขึ้น รวมทั้ง…ก็ดูเหมือนจะมีเหตุผลอยู่ที่เรียกหวังเป่าเล่อว่าท่านพ่อ  เพียงแต่เมื่อคิดได้ว่าตนเกิดมาจากคนตรงหน้าที่เรียกว่าท่านพ่อ นัยน์ตาของเฉินหานก็แฝงแววประหลาดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

สายตานี้ก็ชวนให้หวังเป่าเล่อมีความรู้สึกพิลึกที่ยากจะบอกขึ้นมา ยิ่งสุดท้ายแล้วที่เฉินหานดูเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่าง สายตานั้นไม่ได้ดูพิลึกพิลั่นอีก แต่ระหว่างที่ทอดถอนใจกลับเกิดความรู้สึกเคารพยำเกรง จนเขารู้สึกตะหงิดๆ

จนต้องถลึงตาใส่เฉินหานอย่างดุๆ ตัดสินใจว่ายังไม่ให้โอกาสอีกฝ่ายฟื้นคืนร่างจะดีกว่า เขากังวลว่าหากฟื้นคืนสภาพกลับมา ทั้งยังติดนิสัยระเบิดตัวเองเช่นนี้ สุดท้ายจะระเบิดตัวเองจนกลายเป็นคนปัญญาอ่อนเข้าจริงๆ

ทว่า การดำรงอยู่ของเฉินหาน ทำให้หวังเป่าเล่อค่อยๆ เดินออกจากจิตใจที่สั่นสะท้านนั่นได้อย่างไม่รู้ตัว อารมณ์ก็ผ่อนคลายลงไม่น้อย ดังนั้นถึงจะคิดว่าเฉินหานดูโง่งมอยู่บ้าง แต่ดูเหมือนมีเจ้าซื่อบื้อนี่อยู่ด้วยก็ดีเหมือนกัน หลังจากคิดได้ดังนี้หวังเป่าเล่อจึงเอ่ยขึ้น

“อีกสองวัน การทดสอบพลังฝึกปรือก็จะจบลงแล้ว หลังจากคารวะอวยพรฉลองอายุ เจ้าจะทำอะไรต่อ?”

“ท่านพ่อไปไหน ข้าก็จะติดตามท่านไป นับจากนี้ไป เฉินหานจะไม่แยกจากท่านพ่ออีก!” เฉินหานกล่าวอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังพูดอย่างมั่นอกมั่นใจว่าควรเป็นเช่นนี้

“แต่ว่าท่านพ่อ ข้าคิดว่า…ก่อนที่เราจะจากไป ต้องจับพี่น้องทั้งหลายเหล่านั้นให้หมด ให้พวกเขาได้รับรู้ถึงความสำคัญของความสัมพันธ์ในครอบครัวบ้าง ถึงอย่างไรท่านพ่อก็เป็นคนให้กำเนิดพวกเขา ตอนนี้ก็ควรให้พวกเขาแสดงความกตัญญูได้แล้ว!” เฉินหานพูดเสริม

หวังเป่าเล่อนิ่งเงียบ

“อีกอย่าง ข้าคิดมาถี่ถ้วนแล้ว ครอบครัวของเราใหญ่มากเหลือเกิน ในโลกนี้ข้าควรจะพยายามทำให้พี่น้องทั้งหลายกลับมาอยู่เคียงข้างท่านพ่อ เฮ้อ…ตอนนี้คิดๆ ดู ที่แท้ทุกอย่างล้วนมีเหตุและผล พรหมลิขิตถูกกำหนดไว้แล้ว” เฉินหานยิ่งพูดก็ยิ่งทอดถอนใจ จนหวังเป่าเล่อที่ฟังอยู่อดขนลุกไม่ได้

ความจริงแล้วเขามองออกว่าคำพูดของเฉินหานเหล่านี้ถ่ายทอดออกมาจากใจจริง และในขณะที่หวังเป่าเล่อกระอักกระอ่วนอย่างยากที่จะได้เห็นนั้น น้ำเสียงเจนโลกก็ดังขึ้นในจิตใจของผู้ที่ยังอยู่ในสถานที่ทดสอบพลังฝึกปรือ

“วันที่เก้า ชาติที่เก้า!”

อึดใจหนึ่ง ไอหมอกรอบด้านหมุนวน สติสัมปชัญญะของหวังเป่าเล่อดำดิ่งอีกครั้งเหมือนกับครั้งก่อนๆ การดำดิ่งในครั้งนี้เขาสูญเสียสติสัมปชัญญะไปอย่างรวดเร็ว ความรู้สึกเจ็บปวดผุดขึ้นมาอย่างรุนแรงอีกทั้งยังหนักหน่วงกว่าครั้งไหนๆ

ราวกับบาดแผลในชาตินี้เพิ่งจะเกิดขึ้น ไม่เพียงแค่ความรู้สึกเจ็บปวดบนร่างกายเท่านั้น จิตวิญญาณก็ดูเหมือนถูกฉีกทึ้ง กระทั่งความทรงจำยังเริ่มสับสนไม่สามารถรวบรวมได้เลย จนกลายเป็นชิ้นส่วนจำนวนมากวาบวับขึ้นในหัวอย่างรวดเร็ว

เก้าในสิบส่วนของชิ้นส่วนล้วนขาดแหว่งเป็นอย่างมาก จนมองไม่ชัดว่าเป็นอะไร มีเพียงบางส่วนที่นับว่าสมบูรณ์แต่ราวกับถูกพลังบางอย่างปิดทับไว้ทำให้มองเห็นไม่ชัดเช่นเดียวกัน…

มีเพียง…เจ็ดแปดชิ้นส่วนท่ามกลางเศษชิ้นส่วนจำนวนมหาศาลนี้ที่ยังพอชัดเจนอยู่บ้าง หวังเป่าเล่อกวาดมองอย่างว่องไว ก็พบว่าในชิ้นส่วนเหล่านั้นต่างมี…เงาร่างของตะขาบสีแดงฉานขนาดยักษ์ตัวหนึ่ง!

หวังเป่าเล่อที่ลืมเลือนว่าตนเป็นใคร พริบตาที่กำลังมองเห็นตะขาบสีแดงฉานนั้นด้วยความงุนงง สติสัมปชัญญะของเขาพลันสั่นไหวเสียงดัง คล้ายขัดกับความทรงจำช่วงที่ชัดเจน ความขัดแย้งนี้รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และหลังจากเกิดเสียงดังสนั่นในหัว ในตอนที่หวังเป่าเล่อร่างกายสั่นเทา ลมหายใจหนักหน่วง ดวงตาของเขาก็พลันเบิกกว้าง!

ไอหมอกรอบด้านลอยเอื่อยเฉื่อย ที่นี่ไม่ใช่การระลึกชาติแล้วแต่เป็นดาวชะตา

“ภาพเมื่อครู่…” จิตใจของหวังเป่าเล่อยังคงร่ำร้อง แต่ยังไม่ทันจะหวนคิดอย่างลึกซึ้งก็มีเสียงสอบถามประหลาดลอยมาจากข้างกาย

“ท่านพ่อ เป็นอะไรไป? หรือว่าท่านก็ไม่มีอดีตชาติที่เก้าเหมือนกัน?”

เสียงที่ลอยมาทำให้หวังเป่าเล่อตะลึงงัน เมื่อแหงนหน้ามองก็เห็นเฉินหานลอยอยู่ตรงนั้น แสงนำทางบนร่างกระจายหายไปอย่างรวดเร็ว ท่าทางแฝงความจนใจ คิดไม่ถึงว่าการระลึกชาติของเขาจะล้มเหลว!

………………………