“ท่านพ่อ ดวงตาท่าน!!” แทบจะเป็นเวลาเดียวกับที่หวังเป่าเล่อมองมายังเขา นัยน์ตาเฉินหานพลันหดลง เส้นผมราวกับจะตั้งขึ้น ร้องเรียกด้วยความตกใจ

“หืม?” หวังเป่าเล่อท่าทางอ่อนล้า แม้ระยะเวลาในการระลึกชาติก่อนหน้าจะไม่นาน แต่กลับใช้พลังงานไปเยอะมาก เวลานี้เมื่อเห็นท่าทางของเฉินหาน หวังเป่าเล่อก็ชะงักไปเช่นกัน ก่อนยกมือขวาขึ้นโบกคราหนึ่ง ปรากฏภาพผิวน้ำขึ้นตรงหน้า สะท้อนใบหน้าตัวเองออกมา

ใบหน้าที่สะท้อนออกมานี้ ในพริบตาหวังเป่าเล่อก็เห็นดวงตาทั้งสองข้างของตัวเอง เวลานี้มีเงาร่างตะขาบสีแดงฉานลอยเด่นอย่างชัดเจน!

“นี่…” ภาพพวกนี้ทำให้หวังเป่าเล่อปิดตาทั้งสองข้างลงอย่างรวดเร็ว ผ่านไปครู่หนึ่งจึงลืมตาขึ้นอีกครั้ง ตะขาบในดวงตาของเขาค่อยๆ เลือนหายไปแล้ว

เฉินหานยังคงหวาดหวั่น เมื่อครู่ที่เขาเห็นตะขาบสีแดงฉานในดวงตาหวังเป่าเล่อก็เกิดความสั่นกลัว รู้สึกคล้ายในส่วนลึกของจิตวิญญาณได้เจอกับศัตรูตามธรรมชาติ ราวกับพริบตานั้นทุกส่วนของตนกำลังจะพังทลาย

ในเวลานี้แม้จะเห็นหวังเป่าเล่อกลับเป็นปกติแล้ว แต่ความรู้สึกเมื่อครู่ยังคงหลงเหลืออยู่ในใจ ดังนั้นผ่านไปอึดใจหนึ่งเฉินหานถึงทำใจเอ่ยออกมาได้ ก่อนจะลองเปลี่ยนหัวข้อสนทนา

“ท่านพ่อ แสงนำทางของข้ามากพอ แต่ก็ยังระลึกชาติไม่สำเร็จอยู่ดี” คำพูดของเฉินหายลอยมา แต่หวังเป่าเล่อในเวลานี้ไม่มีอารมณ์จะพูดคุย ในหัวยังคงมีภาพผิดปกติของดวงตาที่เห็นเมื่อครู่อยู่ รวมทั้งภาพระลึกชาติเหล่านั้น ดังนั้นจึงทำเพียงผงกศีรษะให้เฉินหาน ไม่พูดอะไร ก่อนปิดตาลงอีกครั้ง

เมื่อเห็นเช่นนี้เฉินหานจึงไม่กล้ารบกวนต่อพลางถอยหลังไปเล็กน้อย ขณะที่มองไปยังหวังเป่าเล่อด้วยความอกสั่นขวัญแขวน เขามีความรู้สึกว่าหวังเป่าเล่อคล้ายจะแปลกไป

ทางด้านหวังเป่าเล่อ หลังจากหลับตาลง เขากำลังพยายามสงบสติ ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงทำได้สำเร็จ จึงเริ่มหวนคิดขึ้นอีกครั้ง จากการระลึกชาติในครั้งก่อน ชิ้นส่วนความทรงจำที่ล่องลอยเหล่านั้น ถึงแม้จะมีภาพที่ชัดเจนเพียงแปดส่วนแต่กลับให้ความรู้สึกสั่นสะท้านแก่หวังเป่าเล่อที่ในตอนนี้มีสติแจ่มชัด ไม่เพียงเพราะภาพเหล่านั้นมีตะขาบสีแดงฉาน ทว่ามันยังมี…สาเหตุอื่นด้วย!

ภาพแรกคือจักรวาลอันกว้างใหญ่ ภายในจักรวาลเต็มไปด้วยดวงดาวและสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วน สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ประกอบด้วยเผ่าหลายเผ่า และเผ่าที่ครอบครองตำแหน่งการควบคุมจัดการต่างๆ ก็คือเผ่าที่มีอำนาจที่เรียกว่าเผ่าเทพ!

เผ่าเทพครอบครองวิญญาณเทพจำนวนมหาศาล สิ่งที่ฉายอยู่ในนั้นคือภาพการไล่ฆ่าอย่างบ้าระห่ำของคนเผ่าเทพที่เรียกกันว่าเผ่าเทพอัคคี!

ในภาพยังมีตะขาบสีแดงฉานที่มองเผ่าเทพอัคคีอยู่ไกลๆ จากบนดาวดวงหนึ่ง

ฉากนี้ทำให้จิตใจหวังเป่าเล่อสั่นไหวรุนแรง จากนั้นฉากที่สองก็ทำให้เขาตกตะลึงเช่นกัน เป็นโลกที่มีผีดิบเป็นผู้นำ ในนั้นหวังเป่าเล่อเห็นผีดิบตนหนึ่งที่ชอบมองท้องฟ้า และยังมีสตรีคนหนึ่งที่นั่งเป็นเพื่อนผีดิบอยู่เงียบๆ

เดิมทีนี่ควรจะเป็นภาพความทรงจำที่อบอุ่นจากชาติก่อนของเขา แต่ตอนนี้…ในแผ่นชิ้นส่วนความทรงจำที่สอง บนท้องฟ้า…กลับมีตะขาบสีแดงฉานตัวยักษ์ที่ก้มมองมายังพวกเขาด้วยความดุร้าย!

“นี่…นี่…” ขณะที่หน้าอกหวังเป่าเล่อสะท้อนขึ้นลงมองชิ้นส่วนความทรงจำที่สาม ภาพที่ปรากฏอยู่คืออดีตชาติดาบปีศาจ เขาที่เป็นดาบปีศาจคอยเข่นฆ่าเจ้าของ จวบจนได้เจอกับเด็กสาวผู้หนึ่ง และสิ่งที่ฉายอยู่ในภาพก็คือดาบปีศาจกำลังฟันเด็กสาวผู้นั้น!

หวังเป่าเล่าเห็นภาพขณะที่ดาบปีศาจแทงทะลุร่างเด็กสาวอย่างชัดเจน รอบกายพวกเขาพลันเต็มไปด้วยสีแดงสดและอยู่ภายใต้ร่างของตะขาบยักษ์สีแดงฉาน

ภาพที่สี่ก็เช่นเดียวกัน ในความเศร้าโศกและบ้าคลั่งไม่รู้จบ เฉินหยางผู้เป็นมหาศิษย์แห่งเต๋าของตระกูล ท่ามกลางความรู้สึกที่เกลียดชังโลกเกลียดชังทุกสิ่ง ในโลกใบนั้นก็มีตะขาบสีแดงฉานกำลังเฝ้าดูเหตุการณ์อยู่ด้วย!

จากนั้นก็เป็นชิ้นส่วนความทรงจำที่ห้า สิ่งปรากฏในนั้นทั้งหมดคืออดีตชาติที่ห้าของหวังเป่าเล่อ ในนั้นเขาเป็นกวางขาวตัวน้อยที่กำลังแบกเด็กหญิงตัวน้อยเดินอยู่ท่ามกลางหมู่ดาว และตะขาบสีแดงฉานก็ยังคงอยู่ตรงสุดขอบฟ้าดังเดิม ขณะที่เฝ้ามองมา ราวกับกำลังอดทนข่มกลั้น…

เมื่อหวังเป่าเล่อดูถึงตรงนี้ก็พอเข้าใจแล้วว่า เหตุใดตะขาบสีแดงฉานถึงต้องควบคุมตนเอง นั่นเป็นเพราะ…บิดาของเด็กหญิงตัวน้อยก็อยู่ข้างๆ!

“ตะขาบสีแดงฉาน สื่อถึงอะไรกันแน่…” หวังเป่าเล่อลมหายใจถี่กระชั้น มองดูชิ้นส่วนความทรงจำที่หกอย่างรวดเร็ว เขาจำได้ชัดเจนว่าระลึกชาติที่หกไม่สำเร็จ มีเพียงความหนาวเหน็บและมืดมิด

ด้วยเหตุนี้เขาจึงอยากรู้อย่างมากว่าในแผ่นชิ้นส่วนความทรงจำที่หก สิ่งที่ปรากฏ…จะเป็นโลกผีเสื้อหรือไม่…

ทว่า…จิตใจของหวังเป่าเล่อกลับเกิดเสียงดังขึ้นอีกครั้งในเวลาอันสั้น เพราะภาพที่เขาเห็นในแผ่นชิ้นส่วนความทรงจำที่หก สิ่งที่ปรากฏไม่ใช่โลกผีเสื้อแต่เป็นจักรวาล!

ในจักรวาลมีดวงดาวพิเศษดวงหนึ่ง มันพิเศษเพราะดาวดวงนี้ไม่ได้มีสภาพคงตัว ทว่ามันกลับหดตัวและขยายออกอยู่ตลอดเวลาราวกับหัวใจดวงหนึ่ง

ตะขาบยักษ์ตัวหนึ่งนอนอยู่บนนั้น กำลังกลืนกินดาวดวงนี้อย่างไม่หยุดหย่อนพร้อมเสียงฟ่อๆ และเมื่อเสียงนี้ลอยเข้ากระทบจิตใจของหวังเป่าเล่อ นั่นทำให้เขารู้สึกว่าหัวใจของตนราวกับส่งผ่านความเจ็บปวดออกมา

ความเจ็บปวดนี้ทำให้หวังเป่าเล่อร่างกายชักเกร็ง ไม่รู้จะทำอย่างไร ในขณะที่ไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็นเช่นนี้ เขาก็กัดฟันดูภาพความทรงจำชิ้นที่เจ็ดต่อไป

ในภาพเป็นมหาสมุทรผืนหนึ่ง ทะเลสีครามมองแล้วให้ความรู้สึกใสสะอาด ทว่าในเวลาอันสั้น…ก็ปรากฏสีโลหิตกระจายออกไปในพริบตา ก่อนแผ่ขยายปกคลุมไปทั่วทั้งมหาสมุทรทันที จากนั้นก็ค่อยๆ ลดลง กระทั่งมหาสมุทรแห้งขอดจนปรากฏส่วนลึกของก้นมหาสมุทรพร้อมตะขาบสีแดงฉานที่ดุร้ายตัวหนึ่ง!

“ทำไมถึงเป็นภาพแบบนี้…” หวังเป่าเล่อจิตใจสั่นไหว หันดูชิ้นส่วนความทรงจำที่เจ็ดในทันที สิ่งที่ปรากฏ…ในแผ่นชิ้นส่วนความทรงจำกลับเป็นภาพที่ตนเห็นหลังจากพุ่งออกจากห้องในตอนนั้น!

ก่อนที่เขาจะพุ่งออกมาจากห้อง เขาเห็นตะขาบสีแดงฉาน แต่ภาพในตอนนี้…คล้ายกับมุมมองได้เปลี่ยนไปแล้ว เพราะเขายืนอยู่บนโลงศพ และมองเห็น…ตนเอง!

ภาพเรื่องราวตัดจบลงตรงนี้ ขณะที่หวังเป่าเล่อพลันลืมตาตื่น ภายในร่างทุรนทุราย กระอักเลือดออกมาคำโต ร่างกายเอนเอียง สีหน้าซีดขาว นัยน์ตาฉายแววไม่คาดคิด

“ทำไม…ภาพชิ้นส่วนสุดท้าย เป็นข้าที่ยืนอยู่บนโลงศพ…มองดูตนเอง ต้องเป็นตะขาบสีแดงฉานตัวนั้นสิถึงจะถูก ไม่ใช่แบบนี้!”

“และที่ประหลาดกว่านั้นคือ อดีตชาติที่เก้า ดูจากช่วงเวลาเห็นได้ชัดว่าเกิดในอดีตแสนไกล แต่ทำไมในชิ้นส่วนความทรงจำกลับเป็นภาพอดีตหลังจากนั้นของข้า!” เมื่อคิดถึงตรงนี้ หวังเป่าเล่อก็เงยหน้าขึ้น นัยน์ตาเป็นประกาย

“ข้าโดนก่อกวน!” นี่เป็นเหตุผลที่เขาคิดได้ และก็มีเพียงเหตุผลเดียวเท่านั้นที่จะสามารถอธิบายเรื่องเวลาได้ หากไล่เรียงไปถึงต้นตอ ทุกสิ่งทุกอย่างต้องเริ่มจากอดีตชาติที่แปดของเขาที่เห็นตะขาบสีแดงฉานตัวนั้น!

หวังเป่าเล่อหอบหายใจหนัก จากการขุดค้นหาอดีตชาติอย่างต่อเนื่อง ความลับและคำตอบของทุกอย่างเผยออกมาตรงหน้าเขาทีละเล็กทีละน้อย ดังนั้นเขาในเวลานี้ที่ดูแผ่นภาพชิ้นส่วนความทรงจำครบทั้งหมดแล้วจึงต้องไปดูชาติที่เก้าของผู้อื่นต่อ!

“น่าเสียดายที่เฉินหานรับรู้ชาติที่เก้าไม่ได้…แต่ไม่เป็นไร ในการทดสอบพลังฝึกปรือนี่จะต้องมีคนทำสำเร็จแน่นอน!” คิดได้ดังนี้ นัยน์ตาเขาก็ฉายความเยียบเย็นวาบผ่าน ลุกขึ้นในทันที ไม่ทันให้เฉินหานเอ่ยถาม หวังเป่าเล่อก็ไหวร่างก่อนเข้าสู่ไอหมอกในพริบตาอย่างรวดเร็ว

“ก่อนจะถึงวันที่สิบน่าจะเหลืออีกเจ็ดแปดชั่วยาม เรื่องเวลาน่าจะไม่มีปัญหา!”

หวังเป่าเล่อคิดเช่นนี้พลางเร่งความเร็ว เมื่อเสียงดังสนั่นดังขึ้น ดวงจิตแผ่กระจายในไอหมอกเริ่มต้นค้นหา แม้ที่แห่งนี้จะมีขีดจำกัดต่อดวงจิต ทว่าก็มีผลต่อดาวพระเคราะห์ทั่วๆ ไปเท่านั้น หวังเป่าเล่อในเวลานี้ แม้ปราณของเขาจะห่างจากจุดสูงสุดของดาวพระเคราะห์ชั้นมหาวัฏจักรอยู่เล็กน้อย ทว่าพลังต่อสู้ของเขานั้นนำหน้าไปนานแล้ว

โดยเฉพาะการระลึกชาติหลายชาติก่อน การเกื้อหนุนของกฎและกฎเกณฑ์ อีกทั้งอิทธิพลของกฎกาลเวลา ทำให้หวังเป่าเล่อสามารถต้านทานพลังยับยั้งของที่แห่งนี้ได้มาโดยตลอด

เพียงแต่ถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นสถานที่ทดสอบพลังฝึกปรือของดาวชะตา ดังนั้นพลังยับยั้งจึงคล้ายไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อหวังเป่าเล่อปลดปล่อยดวงจิต แม้เวลานั้นจะปลดปล่อยพลังออกไปมาก ทว่าในตอนนั้นเองไอหมอกก็เริ่มโจมตีกลับราวกับได้เพิ่มแรงขัดขวางขึ้น เพื่อจะควบคุมให้หวังเป่าเล่ออยู่ในระดับเดิม

เมื่อเห็นพลังยับยั้งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่เสียงดังสนั่นมาพร้อมกับแรงบีบคั้น ดวงจิตของหวังเป่าเล่อก็ได้รับแรงกดดันจนทำให้เขามุ่นคิ้วขึ้นน้อยๆ นัยน์ตาวาววับ จึงเอ่ยหลังครุ่นคิดว่า

“วานรเฒ่า ข้ากำลังรีบ!”

 ……………………