บทที่ 667 ปลาเน่า

ครั้นโจวลิ่วนีไปแล้ว หลี่อ้ายกั๋วถึงคุยกับโจวซานนี “ทำไมถึงไล่หล่อนไปล่ะครับ?”

“ต้องไล่สิคะ คุณไม่รู้หรอกว่านิสัยหล่อนเป็นยังไง ถ้าโดนเกาะติดเข้าให้คงไม่จบไม่สิ้นแน่” โจวซานนีบอก

ชีวิตสุขสบายในตอนนี้ได้มาไม่ง่าย โจวซานนีไม่อยากให้มีอะไรมากระทบเลยสักนิด

กับน้องสาวคนนี้ ถ้าเป็นคนดี ผิดแล้วรู้จักแก้จริง ๆ หล่อนที่มีชีวิตดีขึ้นแล้วก็สามารถช่วยเหลือสนับสนุนได้โดยไม่ถือสาเรื่องแต่ก่อน

อย่างไรเสียอีกฝ่ายก็หย่าไปแล้ว ชีวิตของผู้หญิงที่หย่านั้นช่างลำบากนัก

แต่ดูสายตาหล่อนตอนที่เข้ามาเมื่อกี้สิ สายตาอะไรล่ะนั่น? แค่สายตานั้นก็ไม่เชื่อว่าหล่อนนิสัยดีขึ้นแล้ว

ที่สวี่เชิ่งเฉียงเปลี่ยนนิสัยได้ก็เพราะติดคุกมา แล้วยังโดนจางเหมยเหลียนหักหลังอีก ถึงได้รู้เรื่องขึ้นมาว่าใครกันแน่ที่ดีกับเขา จึงถือว่ายังมีหวังอยู่

แต่คนอย่างโจวลิ่วนีนั้นไม่ต้องลังเลเลย

“คุณเองก็ไม่ต้องไปสนใจหล่อนเข้าใจไหมคะ ถ้าหล่อนอยู่ต่ออีกหน่อยคงได้เป็นสวี่เชิ่งเหม่ยคนที่สองแน่” โจวซานนีเอ่ย

สวี่เชิ่งเหม่ยหย่าแล้วไม่เอาลูกเอาแต่เงิน แถมยังยอมหย่าตอนที่หาที่ลงได้แล้วด้วย เรื่องนี้โจวเอ้อร์นีแอบกระซิบบอกหล่อนมา

ตอนนี้สวี่เชิ่งเหม่ยแต่งงานใหม่แล้ว ได้ข่าวว่าชีวิตดีใช้ได้ หล่อนได้เปิดร้านเสื้อผ้าใหม่และไปเอาของจากโรงงานเสื้อผ้า

เพียงแต่ไม่รู้ว่าใครกันที่อยากเล่นงานหล่อน ที่ร้านจึงมีนักเลงไปบุกไม่เว้นวัน แทบจะเปิดต่อไม่ได้แล้ว

หลี่อ้ายกั๋วไม่พูดอะไรอีก

โจวลิ่วนีนั่งรถเก๋งของโจวเอ้อร์นีกลับร้านขายชา แสดงอาการอิจฉามาตลอดทาง

ตอนนี้โจวเอ้อร์นีถึงขั้นขับรถเก๋งได้แล้ว แถมยังเป็นรถที่สามีหล่อนซื้อให้ด้วย

หล่อนโชคดีขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย ต่างกับโจวเอ้อร์นีเมื่อชาติที่แล้วที่โดนแม่สามีทารุณราวฟ้ากับเหว หล่อนในตอนนี้โดนสามีตามใจขนาดนี้เลย

โจวเอ้อร์นีไม่สบายใจมาก เพราะโจวลิ่วนีเอ่ยชมก็จริง แต่กลิ่นริษยาเหม็นเปรี้ยวนั่นที่แฝงไว้ในน้ำเสียงช่างเหม็นชะมัด

หล่อนจะมาริษยาอะไรล่ะ ถ้าไม่ใช่เพราะมีนิสัยแบบนี้ตั้งแต่เด็ก ไม่ยอมเปลี่ยนเลยสักนิด ไม่อย่างนั้นทำไมอาสะใภ้สี่ถึงช่วยยกฐานะให้หลานสาวมากมายขนาดนี้เว้นหล่อนคนเดียวล่ะ

ที่ตอนนี้มาถึงขั้นนี้จะโทษใครได้

ตลอดทางที่มาร้านขายชา โจวลิ่วนีบอกว่าอยากไปเยี่ยมปู่ย่า

โจวเอ้อร์นีเอ่ยทันที “เธออย่าไปเลย ไปแล้วปู่ย่าต้องด่าเธอแน่”

“ต่อให้ด่าฉันก็ต้องไปอยู่ดี มาตั้งไกลจะไม่ไปพบหน้าปู่ย่าเลยเหรอคะ ชีวิตความเป็นอยู่ของปู่ย่าเป็นยังไงบ้างฉันก็ไม่รู้ ต้องไปดูหน่อย” โจวลิ่วนีกล่าว

มันเป็นแค่คำพูดสวยหรูเท่านั้น ตอนที่หลินชิงเหอโจวชิงไป๋ยกสำมะโนครัวมาปักกิ่ง ปีนั้นหล่อนไปกินข้าวกับปู่ย่าเพราะกับข้าวบ้านปู่ย่าอร่อยกว่าดีกว่าอยู่บ่อย ๆ กินเสร็จก็เช็ดปากแล้วผละจากไป ไม่เคยช่วยเก็บถ้วยเก็บตะเกียบสักครั้งเดียว

โจวเอ้อร์นีรู้ดีอยู่แก่ใจ แม่หล่อนยังตักเตือนพวกหล่อนว่าอย่าเอาอย่างโจวลิ่วนี

แต่ที่อีกฝ่ายพูดมาก็ถูก อย่างไรเสียก็เป็นหลาน มานี่แล้วไม่ให้ไปพบปู่ย่าก็ไม่ดี

เพียงแต่ตอนที่ท่านแม่โจวได้เจอหลานสาวโจวลิ่วหนี นางแทบจำหล่อนไม่ได้เมื่อได้มองผ่าน ๆ

“เธอคือลิ่วนีรึ” ท่านแม่โจวพอดูออกจากเค้าโครงจาง ๆ นั้น ถึงอย่างไรก็มาปักกิ่งหลายปีแล้ว ไม่ได้เจอหลานสาวคนนี้ตั้งนาน นางโพล่งออกมาแทบในทันที “ทำไมเธอแก่ลงขนาดนี้ล่ะ”

หล่อนดูแก่จริง ๆ โจวลิ่วนีอายุอ่อนกว่าโจวซานนีพี่สาวแท้ ๆ​ 2 ปี แต่ดูอย่างไรก็แก่กว่าพี่สาวตัวเองมากกว่า 5-6 ปี

และเนื่องจากอยู่ที่ชนบท ต้องตรากตรำตากแดด ผิวจึงคล้ำ คนทั้งคนจึงดูแก่กว่าที่ควรจะเป็น

เทียบกับบรรดาพี่ ๆ​ ที่ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ไม่ได้

โจวลิ่วนีอัดอั้นตันใจสุด ๆ คุณย่าหล่อนช่างไม่รู้จักพูดจาเอาเสียเลย ผิวหล่อนไม่ดีก็จริง แต่ถ้ามีเงินค่อยบำรุงก็ยังทัน

“ว่าแต่ทำไมเธอถึงมานี่ได้ล่ะ เธออยู่ที่บ้านไม่ใช่เหรอ? ไม่ต้องคอยดูแลาสามีกับลูกหรือไง?” ท่านแม่โจวพูดขึ้นอีก

สวี่เชิ่งเฉียงกับสวี่เชิ่งเหม่ยอยู่ปักกิ่งกันทั้งคู่ ปิดบังไม่อยู่จึงต้องบอกความจริงกับนาง

แต่เรื่องที่โจวลิ่วนีหย่ามาพักใหญ่แล้วนั้นตอนนี้ท่านแม่โจวยังไม่รู้ รู้แค่เจ้าหล่อนแต่งงานแล้ว

โจวลิ่วนีมองโจวเอ้อร์นี โจวเอ้อร์นีมีสีหน้าเรียบเฉย รู้ว่าตอนนี้ย่าหล่อนเปิดกว้างขึ้นมากจึงเอ่ยขึ้น “ลิ่วนีหย่าไปก่อนหน้านี้แล้วค่ะ ไม่ได้เอาลูกไว้ ให้ลูกอยู่กับฝ่ายชาย”

ท่านแม่โจวผงะ ก่อนจะหันไปมองโจวลิ่วนี “ที่แท้ก็หย่าแล้วนี่เอง ในเมื่อหย่าแล้วทำไมเธอไม่ให้แม่เธอช่วยหาคนใหม่หน่อยล่ะ? มาที่นี่ทำไม?”

จริง ๆ​ แล้วท่านแม่โจวไม่ใช่คนให้ความสำคัญกับผู้ชายมากกว่าผู้หญิง ถึงแม้เมื่อก่อนจะตามใจพวกโจวข่ายที่สุด แต่ก็ไม่ได้ปฏิบัติกับหลานสาวคนอื่นแย่เกินไปนัก เทียบกับบ้านอื่นที่หลานสาวกินไม่อิ่มแล้วยังต้องทำงานประหนึ่งเป็นวัวเป็นควายนั้น นางก็นับได้ว่าเป็นย่ายายที่มีคุณธรรมมาก ๆ​ แล้ว

ไม่อย่างนั้นทำไมตอนนี้พวกโจวเอ้อร์นีโจวซานนีถึงกตัญญูต่อนางนัก ปีใหม่ทีไรต้องให้อั่งเปาซองใหญ่กับนางเพื่อให้นางดีใจทุกครั้ง

โจวเอ้อร์นีที่ความเป็นอยู่ดีให้เงินนางไม่น้อย ถือว่าดูแลนางแทนพ่อตัวเองที่เป็นลูกชายคนโต

ถึงแม้แต่ละเดือนจะมีค่าเลี้ยงดูที่หลินชิงเหอต้องให้อยู่แล้ว แต่เงินที่หลานชายหลานสาวคนอื่นให้พอเอามารวมกันแล้วก็นับว่าไม่น้อย จนแม่เฒ่าคนนี้ถือได้ว่าเป็นคนรวยคนหนึ่ง

ช่วงนี้นางถึงกับหัดเล่นไพ่นกกระจอกกับแม่เฒ่าคนอื่น ๆ แล้ว

แต่เรื่องพวกนี้ยังไม่ต้องพูดถึง เพราะตอนนี้ท่านแม่โจวเริ่มไม่ชอบใจหลานสาวที่เป็นตัวถ่วงคนนี้แล้ว

ที่นางไม่รู้ว่าหล่อนหย่าเรียบร้อยนั้นต้องเป็นเพราะทุกคนตั้งใจปิดไว้ ตอนนี้ท่านแม่โจวเปิดกว้างขึ้น ถึงจะไม่โกรธมากเพราะได้ยินเรื่องหย่ามาเยอะมากจนชินก็ตาม

แต่ก็ยังไม่น่าดูอยู่ดี

ทำไมบ้านโจวถึงมีปลาเน่าตัวนี้ด้วยนะ

โจวลิ่วนีที่ไม่รู้สถานะตัวเองในใจของย่ายังคิดจะตีหน้าน่าสงสารให้เห็นใจอยู่ “คุณย่า หนูทนอยู่ที่หมู่บ้านต่อไปไม่ไหวแล้ว หลังจากหย่าแล้วโดนคนอื่นชี้นิ้วนินทาทุกวัน ชีวิตแบบนี้เมื่อไหร่ถึงจะถึงจุดสิ้นสุดคะ”

“ก็เธออยากหย่าเองนี่ เธอไม่หย่าคนอื่นจะบีบบังคับให้หย่าหรือไง นอกเสียจากว่าเธอจะทำอะไรที่บ้านสามีไม่เอาเธอไว้” ท่านแม่โจวกล่าว

โจวเอ้อร์นีชำเลืองโจวลิ่วนี เรื่องที่โจวลิ่วนีสร้างไว้นั้นหล่อนรู้อย่างแจ่มแจ้ง

โจวลิ่วนีไม่กล้าพูดอะไรต่อ ถ้ากล้าพูดเรื่องหย่าออกมาก็อย่าหวังเลยว่าย่าจะพูดเข้าข้างหล่อนแม้แต่ประโยคเดียว

“คุณย่า ตอนนี้หนูอยากอยู่ที่นี่ หนูขออยู่ที่ปักกิ่งได้ไหมคะ? ขนาดสวี่เชิ่งเฉียงยังอยู่ได้เลย​ หนูเห็นที่ร้านจ้างป้าคนหนึ่งมาล้างจานด้วย หนูไม่ร้องขอทำอะไรที่คำนึงถึงศักดิ์ศรีแล้วค่ะ แค่เลิกจ้างป้าคนนั้นแล้วให้หนูไปล้างจานที่ร้านก็พอ” โจวลิ่วนีทำเป็นวางตัวต้อยต่ำ

รอให้หล่อนได้อยู่ที่นี่ก่อน ถึงตอนนั้นค่อยวางแผนเอาอย่างอื่น แต่ก่อนอื่นต้องให้ได้อยู่ที่นี่ก่อน

“เธอมาพูดเรื่องนี้กับฉันทำไม ฉันกับปู่ไม่ยุ่งเรื่องพวกนี้แล้ว เธออยากอยู่ล้างจานก็ไปคุยกับอาสี่อาสะใภ้สี่เธอนู่น แต่นิสัยแค่ขวดซีอิ๊วล้มยังไม่รู้จักตั้งขึ้นอย่างเธอ ฉันไม่คาดหวังให้เธอล้างจานหรอก” ท่านแม่โจวกล่าว

………………………………………………………………………………………………………………………….