บทที่ 3067 (1) ปัจฉิมบท 32
ฝูงชนมีสีหน้างงงัน คนที่รู้จักประตูเริงรมย์แทบจะมีอยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้น ผู้คนในที่แห่งนี้นอกเหนือจากตี้ฝูอีแล้ว ก็มีเพียงจักรพรรดิเซียนที่พอจะเคยได้ยินมาบ้าง
เขาจำได้รางๆ ว่ามีบันทึกอยู่ในตำราโบราณเล่มหนึ่ง บอกว่าประตูเริงรมย์เป็นประตูแห่งการชำระล้าง เป็นมหาเมตตาแห่งเทพผู้สร้างโลก ได้สรรค์สร้างมิติชำระล้างขึ้น
แน่นอนเขาก็จดจำได้เพียงน้อยนิดเลือนรางเท่านั้น ไม่ทราบรายละเอียดส่วนใหญ่
เขาเอ่ยโพล่งออกมา “ดูเหมือนว่าประตูเริงรมย์นี้จะมีเพียงท่านที่สามารถเปิดได้กระมัง?”
ฟั่นเชียนซื่อตอบอย่างเรียบเฉย “ตอนนี้เปิ่นจุนไม่มีคุณสมบัติพอจะเปิดมันได้”
ฝูงชนตะลึงงัน…
“เราได้ยินมาว่าประตูเริงรมย์นี้เทพผู้สร้างโลกเป็นผู้สรรค์สร้างขึ้นด้วยตัวเอง และมีเพียงเทพผู้สร้างโลกเท่านั้นที่สามารถเปิดได้ ในเมื่อท่านผู้สูงศักดิ์กล่าวว่าตนเป็นเทพผู้สร้างโลก แล้วเหตุใดจึงเปิดมันไม่ได้เล่า?” จักรพรรดิเซียนเอ่ยถาม
ฟั่นเชียนซื่อเม้มริมฝีปากบางนิดๆ หลุบตามองสองมือของตน จู่ๆ ก็ยิ้มแวบหนึ่ง “ประตูเริงรมย์คือประตูแห่งมหาเมตตา เทพผู้มีมลทินไม่อาจเปิดได้ เปิ่นจุนก่อกรรมทำเข็ญมามากมาย สองมือนี้ไม่รู้ว่าแปดเปื้อนโลหิตของผู้บริสุทธิ์ไปมากน้อยเพียงใดแล้ว ไม่สามารถเปิดประตูได้แล้วมีอันใดแปลกเล่า?”
ฝูงชนเงียบงัน
เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นเทพองค์หนึ่งกล่าวถ้อยคำเช่นนี้ออกมาอย่างเต็มปากเต็มคำแบบนี้ เทพผู้สร้างโลกคนนี้พอพ่ายแพ้จึงไม่คิดจะปกปิดอันใดอีกแล้วงั้นหรือ?
จักรพรรดิเซียนเอ่ยเสียงขรึม “ในอดีตท่านกับนางมารชุดขาวตนนั้นร่วมมือกันสร้างทะเลทรายชั่วร้ายแห่งนี้ขึ้น ซึ่งต่อมาตัวท่านเองได้ยอมรับแล้วว่าทำไปเพื่อให้ได้รับความรู้สึกอันดีจากหกภพภูมิ คิดจะผนึกแก้ไขทะเลทรายชั่วร้ายแห่งนี้ ตอนนี้ท่านกลับมาบอกว่าวิญญาณอาฆาตในทะเลทรายแห่งนี้ไม่อาจชำระล้างได้ หากใช้ประตูเริงรมย์ ทว่าตัวท่านไม่อาจเปิดประตูเริงรมย์นี้ได้ เช่นนั้นก่อนหน้านี้ท่านคิดจะแก้ไขอย่างไร?”
ฟั่นเชียนซื่อเอ่ยอย่างเฉยเมย “แผนการไม่อาจสู้ความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้ ไยต้องถามถึงแผนการเดิมอีกเล่า?”
ก่อนหน้านั้นตอนที่เขากับจิตมารร่วมมือกันวางแผนการนี้ เขาไม่ได้คิดจะเอาชีวิตของจิตมาร เพื่อให้ได้รับความไว้วางใจจากจิตมาร จึงติดตั้งเคล็ดอาคมพิเศษอย่างหนึ่งเอาไว้ในทะเลทรายชั่วร้ายนี้
หากว่าจิตมารไม่สิ้นชีพ ดวงวิญญาณของผู้บริสุทธิ์ที่ถูกกลืนกินเข้าไปเหล่านี้ก็จะเป็นเพียงวิญญาณอาฆาตธรรมดา ไม่มีทางปนเปื้อนไอมารบรรพกาล วันหน้าเขาใช้อาคมชำระล้างธรรมดาก็สามารถชำระล้างพวกมันไปอย่างช้าๆ ได้แล้ว อย่างน้อยก็ไม่มีทางปล่อยให้พวกมันกลายเป็นภัยพิบัติใหญ่หลวงได้
แต่เมื่อจิตมารสูญสลายไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว ไอมารบรรพกาลในทะเลทรายจะเปิดใช้งานด้วยตัวเอง ไอมารบรรพกาลเหล่านี้จะปนเปื้อนร่างของวิญญาณอาฆาตทั้งหมด ทำให้ไม่อาจชำระล้างพวกมันได้อีก เว้นแต่จะเปิดประตูเริงรมย์ขึ้น ซึ่งนั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ส่วนฟั่นเชียนซื่อก่อกรรมทำเข็ญมามากเกินไป ไม่มีทางเปิดประตูเริงรมย์ได้ นี่ก็เท่ากับเป็นการมอบคำมั่นให้แก่จิตมารอย่างกลายๆ
ตอนนี้จิตมารสิ้นชีพแล้ว ไอมารบรรพกาลนั้นแพร่กระจายไปทั่วทะเลทรายแล้ว วิญญาณร้ายเหล่านั้นหากไม่ใช้ประตูเริงรมย์ไม่มีทางชำระล้างได้…
ถ้อยคำของเขาปิดช่องทางผู้อื่นยิ่ง และกวนบาทานัก ฝูงชนเห็นว่าเขาก่อเรื่องใหญ่แล้วยังทำตัวนิ่งเฉยยั่วโทสะผู้อื่นอีกก็โมโหอย่างยิ่ง!
หากมิใช่เพราะอำนาจบนกายเขายังคงแกร่งกล้ายิ่งใหญ่ มองแวบเดียวก็รู้ว่ายุแหย่ไม่ได้ เกรงว่าผู้คนบางส่วนคงเวียนเทียนกันเข้าไปซ้อมเขาแล้ว!
แน่นอน ถึงแม้ทุกคนจะไม่กล้าลงมือ แต่ยังคงมีคนที่นิสัยหุนหันพลันแล่นบางส่วนถือดีว่ามีตี้ฝูอีอยู่ที่นี่ด้วย ซักถามฟั่นเชียนซื่ออย่างกระแทกแดกดัน อยากร้องด่าออกมาตรงๆ ใจแทบขาดแล้ว
ต่อให้ไม่ถามอย่างกระแทกแดกดัน ก็จะเว้นระยะห่างกับเขา ไม่ยินดีจะยืนอยู่ที่เดียวกับเขา
เขายืนอยู่บนศิลาก้อนหนึ่งเพียงลำพัง รอบกายไม่มีผู้ใดเลยสักคน ดูค่อนข้างโดดเดี่ยวอ้างว้างยิ่ง
เรื่องหนึ่งที่พวกเขาฉงนสนเท่ห์เป็นที่สุด และหัวข้อที่ซักไซ้ไต่ถามกันก็เป็นเรื่องนี้ด้วย ก็คือ
เทพผู้สร้างโลกผู้สูงส่งอย่างเขาเหตุใดต้องก่อเรื่องชั่วช้าเช่นนี้ด้วย?!
บางคนถึงขั้นเอ่ยถามว่าเขาสำนึกเสียใจบ้างหรือไม่?
————————————————————————————-
บทที่ 3067 (2) ปัจฉิมบท 32
ฟั่นเชียนซื่อทำราวกับไม่ยลยินคำถามกระแทกแดกดันเหล่านี้ เขาเงยหน้ามองฟ้ายิ้มแวบหนึ่ง ไม่ยอมบอกเหตุผลกับคนอื่น ส่วนเรื่องสำนึกเสียใจ…
ต่อให้สำนึกเสียใจสักเพียงใดก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งได้อีกแล้ว
สายตาเขาหันเหไปที่ร่างกู้ซีจิ่ว ยิ้มน้อยๆ แวบหนึ่ง เอ่ยขึ้น “อาจารย์ ความจริงแล้วยามนี้ข้าสำนึกเสียใจอยู่เพียงเรื่องเดียวเท่านั้น…”
ต่อให้กู้ซีจิ่วไม่มีความทรงจำ แต่ก็ทราบแล้วว่าเขาเป็นลูกศิษย์ของตนในชาติก่อน จึงขมวดคิ้วนิดๆ แล้วถามไป “เรื่องใด?”
“ท่านเคยห่วงใยข้ายิ่งนัก…” เขาชะงักไปแวบหนึ่ง เสียงแหบเครืออยู่บ้าง แย้มยิ้มอีกครั้ง “เพียงน่าเสียดายที่ข้าจะไม่ได้เห็นตัวท่านในสภาพที่มีความทรงจำยามถนอมห่วงใยข้าแล้ว…”
หัวใจกู้ซีจิ่วเสมือนมีใครใช้เข็มเล่มเล็กๆ ทิ่มแทง “อะไรนะ?”
ฟั่นเชียนซื่อเงยหน้าหัวเราะเสียงดังคราหนึ่ง “อาจารย์ ความจริงแล้วข้าคะนึงหาตัวท่านในช่วงเวลานั้นมาโดยตลอด…ภัยพิบัตินี้ในเมื่อศิษย์เป็นผู้ก่อขึ้น ตามธรรมชาติแล้วสมควรเป็นศิษย์ที่ต้องสะสาง แต่ศิษย์ไม่อาจทำเรื่องนี้ให้สำเร็จด้วยตัวเองได้ ดังนั้นมีแต่ต้องวอนขอให้อาจารย์ช่วยรับช่วงสะสางแทนศิษย์ด้วย…”
กู้ซีจิ่วใจหายวาบ “เจ้า…”
ฟั่นเชียนซื่อพลันดีดกาย พุ่งทะยานเข้าไปในทะเลทรายชั่วร้ายทันที
ฝูงชนตกตะลึง
กู้ซีจิ่วสังหรณ์ใจไม่ดียิ่งนัก “ฟั่นเชียนซื่อ เจ้าจะทำอะไร?”
ฟั่นเชียนซื่อไม่ตอบ เหินทะยานอาภรณ์ปลิวไสว ไม่รู้ว่าเขาใช้เคล็ดอาคมใด จุดที่ย่างกรายผ่าน ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดบงกชชาดงามเย้ายวนผลิบานขึ้นตามลำดับ และทันทีที่บงกชชาดนั้นแย้มบานก็ลอยละล่องขึ้นไป หมุนเป็นวงอยู่ในอากาศ กลายเป็นกลีบบุปผาสีโลหิต เริงรำอยู่รอบกายเขา
วิญญาณอาฆาตเหล่านั้นราวกับได้กินอาหารเลิศรสชั้นยอด ไม่น่าเชื่อว่ากรูกันเข้ามาหาเขา พริบตาเดียวก็รุมล้อมอยู่รอบตัวเขาแล้ว…
ฮวาเหยียนหน้าเปลี่ยนสีแล้ว!
บัดนี้เขตแดนด้านนอกทะเลทรายโปร่งใส นางจึงมองเห็นสถานการณ์ของฟั่นเชียนซื่อที่อยู่ในทะเลทรายชั่วร้ายอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง บงกชชาดเหล่านั้นกลั่นมาจากโลหิตของเขา! วิญญาณอาฆาตเหล่านั้นถูกโลหิตของเขาดึงดูด ไล่ตามกัดกินเขา ฉีกทึ้งกัดกินเลือดเนื้อบนร่างเขา…
ส่วนเขาก็ไม่หลบไม่หลีก ปล่อยให้วิญญาณอาฆาตเหล่านั้นรุมล้อมร่างกาย คลื่นแสงสีแดงระลอกแล้วระลอกเล่าเปล่งออกมาจากร่างเขา…
เขากำลังใฝ่หาความตาย!
นิ้วมือของกู้ซีจิ่วพลันกำแน่น เธอรังเกียจเดียดฉันท์คนผู้นี้อย่างสุดชีวิตมาโดยตลอด อยากให้เขาตายๆ ไปเสียใจแทบขาด ต่อให้ทราบว่าเขาอาจเป็นลูกศิษย์ในชาติก่อนของตน ความรู้สึกเดียดฉันท์นั้นก็ไม่ได้ลดทอนลงสักเท่าใด…
แต่บัดนี้พอเห็นเขาเป็นเช่นนี้ จู่ๆ ในหัวใจพลันมีความรู้สึกทนไม่ได้เอ่อท้นขึ้นมา เธอคิดจะไล่ตามไปด้วยสัญชาตญาณ ทว่าถูกตี้ฝูอีคว้ามือไว้ เธอผินหน้าไป ตี้ฝูอีส่ายหน้านิดๆ “อาคมที่เขาใช้คือวิชาบงกชชาดสลายกายา ศาสตร์วิชาแขนงนี้หากเริ่มต้นขึ้นแล้วไม่อาจหยุดยั้งลงกลางคันได้…”
“เช่นนั้น…เขาจะเป็นอย่างไร?”
“ทะเลทรายชั่วร้ายนี้เป็นสิ่งที่เขาสร้างขึ้น วิญญาณอาฆาตที่ไร้ความผิดด้านใน ชิงชังคั่งแค้นเขาเป็นที่สุด ส่วนเขาก็ใช้ร่างกายสังเวยวิญญาณอาฆาต เพื่อบรรเทาไอพยาบาทส่วนหนึ่งของพวกมันลง…”
“นายท่าน!” จู่ๆ ฮวาเหยียนก็ร้องตะโกนขึ้นมา พลันทะยานกาย โผตรงเข้าไปทันที!
หลงซือเย่ที่อยู่ข้างกายนางฉุดรั้งไว้ไม่ทัน ได้แต่เบิกตามองนางบุกเข้าไปในทะเลทรายชั่วร้าย!
หลังจากหลงซือเย่ทึ่มทื่ออยู่ครู่หนึ่งก็รีบโผเข้าไปทันทีเช่นกัน ทว่าถูกจักรพรรดิเซียนดึงแขนเอาไว้ “อย่าวู่วาม!”
และในช่วงเวลาที่เขาถูกถ่วงรั้งเอาไว้เช่นนี้ ความเร็วของฮวาเหยียนว่องไวปานสายฟ้าแลบ พริบตาเดียวก็ไล่ตามไปถึงตัวคนผู้นั้นที่ถูกกัดกินจนคล้ายโครงกระดูกแล้ว โอบกอดร่างเขาไว้อย่างไม่แยแสอันใดทั้งสิ้น “นายท่าน...”
วิญญาณอาฆาตเหล่านั้นไม่พอใจที่นางสอดเข้ามาขวาง หวีดร้องเสียงแหลมหมายจะกระชากนางออกไป
เห็นได้ชัดว่าฟั่นเชียนซื่อก็ยังมีสติอยู่ หลังจากเขาตัวแข็งทื่อไปแวบหนึ่ง ก็ซัดฝ่ามือผลักฮวาเหยียนออกไปจากร่างตนทันที “ไสหัวไป! ออกไปซะ!”
ฮวาเหยียนถูกเขาผลักกระเด็นออกไปถึงสิบจั้ง! กลิ้งหลุนๆ อยู่บนพื้น ขณะที่นางกำลังจะลุกขึ้นมา ฟั่นเชียนซื่อที่อยู่ท่ามกลางแสงสีแดงจู่ๆ ก็ระเบิดขึ้นมาเสียงดังตูม ลำแสงสีแดงนับไม่ถ้วนพวยพุ่งขึ้นสู่นภา กลายเป็นพิรุณโลหิตทันที พร่างพรมลงในทะเลทราย ตกต้องร่างวิญญาณอาฆาตทุกตัว
————————————————————————————-