ตอนที่ 673 เข้าร่วมพิธี

หมอดูยอดอัจฉริยะ

ตอนที่ 673 เข้าร่วมพิธี Ink Stone_Fantasy

ไม่อาจอธิบายเรื่องราวที่ตนเองได้พบเจอต่อเพื่อนที่คบหากันมาหลายปี ในใจของหนานไหวจิ่นออกจะละอายอยู่บ้าง

หลังจากพักผ่อนครู่หนึ่ง โทรศัพท์เสร็จแล้ว หนานไหวจิ่นก็หุนหันออกไป พวกพ้องในแผ่นดินใหญ่และเกาะฮ่องกงของเขามีมากมาย จึงมีคนจัดการเรื่องพวกนี้ให้เขา

หลังจากที่หนานไหวจิ่นออกไปแล้ว โก่วซินเจียก็มองไปยังเยี่ยเทียน กล่าวว่า “ศิษย์น้องเล็ก อาการบาดเจ็บของเธอสาหัสมาก อย่ารีบร้อนให้มากเกินไปเลย”

ผู้ฝึกวิชาอย่างพวกเขา ถึงแม้จะมีคุณสมบัติเหนือกว่าคนทั่วไป แต่ถึงอย่างไรก็ยังเป็นเลือดเนื้อมนุษย์ ไม่สามารถฝ่าฝืนกฎแห่งฟ้าดินได้ เมื่อได้รับบาดแผลก็ต้องรู้สึกเจ็บ และหากถูกยิงที่จุดสำคัญก็อาจตายได้

“ศิษย์พี่ใหญ่ ผมรู้แล้วครับ วางใจเถอะ”

เยี่ยเทียนพยักหน้า เขาเองก็เข้าใจว่ารีบร้อนไปก็เปล่าประโยชน์ ช่วงนี้ที่เวลากลางวันยังฝึกวิชาไม่ได้ เขาเองก็ไม่รู้ว่าจะฝึกอย่างไร จึงได้แต่ใช้พลังจิตดั้งเดิมฟื้นฟูบาดแผลอย่างสงบ

ทว่าพลังจิตดั้งเดิมมีประสิทธิภาพดีต่อการรักษาอวัยวะภายในเท่านั้น อาการบาดเจ็บที่กระดูกกลับฟื้นฟูได้อย่างเชื่องช้า เยี่ยเทียนคาดคะเนว่า ด้วยความเร็วเท่านี้ เกรงว่าหากไม่พักสักสองสามเดือน ตนเองคงไม่ต้องคิดจะกลับไปเป็นปกติเหมือนที่เคยเป็น

ช่วงเดียวกันนี้ยังเกิดเรื่องอีกมากมาย  นอกจากหน่วยงานสิ่งแวดล้อมของเกาะฮ่องกงจะมายังภูเขาเพื่อตรวจสอบด้านการอนุรักษ์แล้ว โทรศัพท์ของจั่วเจียจวิ้นยังดังไม่หยุด ล้วนเป็นพวกมหาเศรษฐีเหล่านั้นโทรมา สอบถามเรื่องการเปลี่ยนแปลงภายในภูเขา

แต่ว่าจากการฟื้นฟูของค่ายกลรวมปราณ ทำให้ในภูเขามีพลังปราณฟ้าดินกระจัดกระจายอยู่เต็มไปหมด ผลการตรวจสอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงแสดงออกมาว่ามีสภาพอากาศดีเยี่ยม เรื่องนี้จึงได้แต่ปล่อยเอาไว้ตามเดิม

พอถึงเวลาเที่ยงคืน เยี่ยเทียนให้พวกคุณแม่ไปพักผ่อนกันหมดแล้ว เขาก็คิดจะทดสอบดูอีกครั้ง ว่าจะสามารถเข้าสู่สภาวะสงบนิ่งล้ำลึกไร้ทุกข์ไร้สุขอย่างเมื่อวานได้หรือเปล่า

 สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้ว หัวคิ้วของเยี่ยเทียนก็ปรากฏแสงสว่างวาบ จิตดั้งเดิมถอดออกมานอกร่าง ล่องลอยอยู่เหนือร่างกายเขา

เมื่อเทียบกับการถอดจิตดั้งเดิมของเยี่ยเทียนเมื่อวานแล้ว จิตตั้งเดิมของเยี่ยเทียนนั้นเข้มข้นกว่าเดิมมาก

เยี่ยเทียนมีความรู้สึกว่า ถ้าหากจิตวิญญาณนี้ของตนพัฒนาไปอีกขั้น อาจมีระดับใกล้เคียงกับจิตแห่งหยางที่กล่าวไว้ในตำรา มีแขนมีขา เปลี่ยนร่างเป็นรูปคนได้จริงๆ

“หืม? ทำไมไม่ได้ล่ะ?”

ท่องคาถาฝึกพลังปราณชีวิตแท้ แล้วเยี่ยเทียนกลับพบว่า เขาไม่สามารถเข้าไปสู่สภาวะสงบนิ่ง สติสัมปชัญญะกลับล่องลอยวนไปมาอยู่ภายในจิตดั้งเดิม อีกทั้งความเร็วในการดูดซึมปราณของจิตดั้งเดิม ยังว่องไวกว่าปราณชีวิตแท้เล็กน้อย

“นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”

เยี่ยเทียนเกาหัวแกรก เดิมทีเขานึกว่าตนเองสามารถหาวิธีฝึกฝนจิตดั้งเดิมได้แล้ว แต่เหตุการณ์กลับไม่ราบรื่นอย่างที่ตนเองคิดเอาไว้

“บ้าเอ๊ย ขืนเป็นอย่างนี้อีกร้อยปี ก็ไม่สำเร็จจิตแห่งหยางน่ะสิ?”

สัมผัสถึงพลังปราณที่หลั่งไหลเข้าไปภายในจิตดั้งเดิม ราวกับหินจมลงไปในมหาสมุทร แม้หยาดน้ำกระเซ็นยังไม่มีแม้แต่น้อย กระทั่งจิตดั้งเดิมของตนเองยังไม่มีปฏิกิริยาแม้แต่นิดเดียว

เวลานี้เยี่ยเทียนสัมผัสได้ถึงความแตกต่างของการฝึกพลังปราณชีวิตแท้และจิตดั้งเดิม พลังปราณฟ้าดินที่เดิมสามารถเผาผลาญร่างกายของเขา เมื่อเทียบกับจิตดั้งเดิมแล้ว กระทั่งตัวช่วยฟื้นบำรุงยังเป็นไม่ได้

“ทำไมเมื่อวานถึงสามารถดูดซับพลังดั้งเดิมได้มากขนาดนั้นนะ?”

หลังจากเยี่ยเทียนขบคิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก บังคับใช้พลังวิชาสำนักเต๋าที่เขารู้ทั้งหมดไปแล้ว แต่กลับได้ผลเพียงเล็กน้อย ความเร็วในการดูดพลังปราณของจิตดั้งเดิมไม่เร็วขึ้นแม้แต่นิดเดียว

 “หรือต้องมีทักษะวิชาที่สอดคล้องกัน จึงจะหลอมรวมจิตดั้งเดิมได้?” เยี่ยเทียนกระจ่างขึ้นมาในใจ

เขาคิดไม่ผิด การฝึกฝนสติสัมปชัญญะล้ำลึกกว่าฝึกฝนร่างกายร้อยเท่า คนที่สามารถฝึกฝนจนถึงระดับนี้ ล้วนสืบทอดพลังอันยิ่งใหญ่มานับแต่โบราณ เป็นอัจฉริยะที่ฝึกฝนตามลำดับขั้นตอน

ทว่าเยี่ยเทียนที่บังเอิญพบโอกาส ทะลุทะลวงข้ามผ่านระดับนั้นเข้าไปได้หลายต่อหลายครั้ง แม้ไม่อาจพูดได้ว่าไม่เคยมีในอดีตกาล แต่ก็หาได้ยากยิ่ง

ต่อให้เมื่อวานจิตดั้งเดิมของเยี่ยเทียนดูดซับพลังปราณได้โดยอัตโนมัติ นั่นก็เป็นจิตดั้งเดิมของเขาเองที่ยังไม่เป็นรูปร่าง ซึ่งมีความเสี่ยงว่าจิตดั้งเดิมจะแตกสลายได้ในระดับนี้

แต่เวลานี้ เยี่ยเทียนมาอยู่ในค่ายกลรวมปราณซึ่งเต็มไปด้วยพลังปราณชีวิตดั้งเดิม จิตตั้งเดิมของเขานั้นราวกับคนที่หิวโหยเห็นอาหารกองอยู่ตรงหน้า ดูดซับเข้าไปโดยอัตโนมัติ จึงได้เห็นภาพอย่างเมื่อวาน

แต่หลังจากเยี่ยเทียนงมหาวิธีข้ามผ่านประตูฝึกจิตวิญญาณ กลับสู่ความว่างอันสำคัญที่สุด พอไม่มีทักษะการฝึกฝนต่อจากนั้น เขากลับไม่สามารถดูดซับพลังปราณชีวิตดั้งเดิมแบบปลาวาฬดูดน้ำได้เหมือนเมื่อวาน

พยายามซ้ำไปซ้ำมาอยู่ทั้งคืน สุดท้ายเยี่ยเทียนก็ล้มเลิกความคิดจะฝึกจิตดั้งเดิม หลังจากที่คราวก่อนได้รับบาดเจ็บหนัก เยี่ยเทียนก็ตระหนักว่าการกระทำเรื่องเหนือมนุษย์ยังต้องมีขอบเขต ไม่เช่นนั้นจะนำพาหายนะอันยิ่งใหญ่มาถึงตนเอง

“ศิษย์น้องเล็ก เมื่อวานเธอไม่ได้ฝึกวิชาหรือ?”

เช้าวันต่อมา พวกโก่วซินเจียก็มารวมกันภายในห้องของเยี่ยเทียน เมื่อคืนพวกเขาเองก็เป็นกังวลทั้งคืน กลัวว่าตอนที่ตัวเองดูดซับพลังปราณชีวิตดั้งเดิม เยี่ยเทียนจะเป็นอะไรขึ้นมาอีก

“ผมก็อยากฝึก แต่ไม่มีทักษะวิชาจะฝึกครับ!”

เยี่ยเทียนแค่นหัวเราะ เล่าเรื่องการนำจิตดั้งเดิมดูดซับพลังปราณชีวิตดั้งเดิม แต่คนที่อยู่ตรงนั้นต่างไม่รู้เรื่องสภาวะการฝึกจิตจนเข้าสู่ความว่าง จึงไม่มีใครให้คำแนะนำอะไรได้

“ลองดูว่าน้องไหยจิ่นจะสามารถตามหาผู้เชี่ยวชาญคนนั้นได้หรือเปล่า?”

โก่วซินเจียถอนหายใจ เยี่ยเทียนสามารถก้าวข้ามขั้นหลอมรวมจิตกลับสู่ความว่าง ทำให้เขาและจั่วเจียจวิ้นอีกทั้งพวกหนานไหวจิ่นเริ่มเห็นความหวังเลือนราง

แม้โก่วซินเจียจะมีอายุถึงเก้าสิบ แต่เลือดลมยังแข็งแรงสมบูรณ์ เขายังสามารถมีชีวิตอยู่ได้อีกถึงสามสิบปี แต่เวลานานขนาดนี้ ยังไม่แน่ว่าจะก้าวข้ามขั้นหลอมรวมจิตกลับสู่ความว่างได้

เมื่อไม่มีทักษะวิชาฝึกฝนต่อ ก็ทำให้พวกเขาคาดเดาภายในใจ ว่าเส้นทางการฝึกฝนจะต้องพิสดารเกินคาดเดา อันอาจนำไปสู่ความตายได้โดยง่าย

ขณะที่ศิษย์พี่ศิษย์น้องกำลังพูดคุยกันอยู่นั้นเอง โจวเซี่ยวเทียนก็เดินเข้ามาในห้อง เอ่ยปากว่า “อาจารย์ครับ ท่านผู้เฒ่าถังมาแล้ว ให้เขาเข้ามาเลยไหม?”

“ถังเหวินหย่วนเหรอ? ให้เขาเข้ามาสิ!”

ศาสนาพุทธกล่าวถึงเหตุผล ลัทธิเต๋าว่าด้วยโชคชะตา ถ้าหากไม่ได้รู้จักถังเหวินหย่วน ค่ายกลรวมปราณนี้คงไม่มีปรากฏแล้ว ดังนั้นหากว่ากันตั้งแต่ต้น เยี่ยเทียนยังคงติดค้างความช่วยเหลือจากถังเหวินหย่วน

“เยี่ยเทียน ทำ…ทำไมเธอถึงบาดเจ็บหนักอย่างนี้?”

หลังจากเข้ามาในห้องของเยี่ยเทียนแล้ว ถังเหวินหย่วนก็เบิ่งตาโตทันที ถึงแม้ว่าเขาจะรู้ว่าเยี่ยเทียนบาดเจ็บหนักจากทางโทรศัพท์ แต่ก็ไม่นึกว่าจะถึงขั้นนอนซมบนเตียงลุกขึ้นไม่ไหว

“เหล่าถัง ผมบาดเจ็บที่กระดูกสันหลัง จึงไม่สะดวกลุกมาต้อนรับคุณได้ นั่งตามสบายเลยนะ!”

เยี่ยเทียนผงกหัวเล็กน้อย หลังจากหางตามองเห็นใบหน้าของถังเหวินหย่วนแล้ว ก็ตกตะลึงไปชั่วขณะ เอ่ยปากว่า “เหล่าถัง คุณมายืนตรงนี้ ยืนข้างหน้าผมนี่!”

“ทำไมหรือ? ก่อนนี้ไม่นานพวกเราก็เพิ่งเจอกันไม่ใช่หรือ?”

ถังเหวินหย่วนมายืนตรงหัวเตียงของเยี่ยเทียนอย่างงงๆ มองดูสีหน้าของเขา พูดว่า “เยี่ยเทียน คงไม่ใช่การแข่งมวยใต้ดินพวกนั้นส่งผลกระทบต่อเธอหรอกกระมัง?”

เดิมทีถังเหวินหย่วน เป็นหัวหน้าใหญ่ส่วนทำพิธีหงเหมิน มีความสัมพันธ์อันดีกับต่งเซิงไห่  เรื่องที่เกิดบนเรือหลวงลำนั้น จึงแพร่กระจายเข้าสู่หูเขานานแล้ว

เพียงแต่ว่าหลังจากการประชุมใหญ่ของสำนักหงเหมินจบลง ถังเหวินหย่วนก็กลับสู่ฮ่องกงทันที ตอนที่เหตุการณ์ 9/11เกิดขึ้น เขาจึงไม่ได้อยู่ที่อเมริกา

“เหล่าถัง อย่าเพิ่งพูดถึงผมเลย ช่วงนี้คุณมีเรื่องกวนใจอะไรอยู่หรือเปล่า?”

เยี่ยเทียนส่ายหน้า ตัดบทถังเหวินหย่วนกลางคัน เอ่ยปากถามตรงๆ ว่า “ผมเห็นสีหน้าคุณไม่ค่อยดี สีสันระหว่างหัวตาหม่นมืด เหล่าถัง ใบหน้าดูไม่ดีเลย!”

คำพูดนี้ของเยี่ยเทียนหากคนทั่วไปได้ยิน คงจะนึกว่าเขาเป็นเพียงสิบแปดมงกุฎทั่วไป พูดจาละเมอเพ้อพก แต่เมื่อถึงหูถังเหวินหย่วน กลับเหมือนถูกสายฟ้าฟาด สะเทือนใจจนแทบล้มลงบนตัวเยี่ยเทียน

“เยี่ยเทียน ฉัน…ฉันเพิ่งจะไปเยี่ยมสำนักหงเหมินมา นอกจากนั้นก็อยู่ที่ฮ่องกงตลอด!”

แม้จะอายุกว่าแปดสิบปีแล้ว แต่คนพวกนี้ยิ่งอายุมากกลับยิ่งเสียดายชีวิต โดยเฉพาะคนที่มีอำนาจชื่อเสียงประสบความสำเร็จอย่างถังเหวินหย่วน จะยิ่งอยากอยู่ต่อไปอีกหลายๆ ปี

ไม่อย่างนั้นต่อให้เยี่ยเทียนมีความอาวุโสสูงในสำนักหงเหมิน ด้วยสถานภาพของถังเหวินหย่วน ก็ไม่จำเป็นต้องคุกเข่าสานความสัมพันธ์ต่อเยี่ยเทียน

“ศิษย์พี่จั่ว ช่วยดูเขาหน่อยสิครับ”

เยี่ยเทียนไม่ตอบถังเหวินหย่วน หันหน้าไปทางจั่วเจียจวิ้น เมื่อเผชิญหน้ากันแล้ว ในกลุ่มศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งสามคน ความรอบรู้ของจั่วเจียจวิ้นล้ำลึกที่สุด ตอนที่เยี่ยเทียนถ่ายทอดวิชาให้กับเขา ยังเน้นหนักในเรื่องนี้

“ได้ พี่ถัง คุณหันมาสิ!”

จั่วเจียจวิ้นรับคำ หลังจากรอให้ถังเหวินหย่วนหันหน้ามา ก็มองไปยังระหว่างหัวตาทั้งสองข้างตามที่เยี่ยเทียนบอก แล้วหัวคิ้วของจั่วเจียจวิ้นก็ขมวดมุ่นขึ้นมาโดยอัตโนมัติ

“น้องจั่ว ทำไมหรือ? มีปัญหาอะไรหรือไง?”

ไม่ว่าจะเป็นเยี่ยเทียน จั่วเจียจวิ้น สำหรับถังเหวินหย่วน ต่างเป็นผู้วิเศษที่หาได้ยากยิ่ง เมื่อเห็นคิ้วขมวดของจั่วเจียจวิ้น ถังเหวินหย่วนก็เป็นกังวลขึ้นมา

“ศิษย์น้องเยี่ยกล่าวไม่ผิด พี่ถัง ในช่วงเวลาครึ่งปีนี้ คุณอย่าออกไปไหน ไม่อย่างนั้นจะเกิดภัยพิบัติถึงเลือดตกยางออก เกรงว่า…”

จั่วเจียจวิ้นส่ายหน้า แม้จะยังพูดไม่จบ แต่ใครได้ยินก็เข้าใจได้ ด้วยวัยของถังเหวินหย่วน คงไม่สามารถเอาตัวรอดจากสิ่งนั้นได้

“ได้ๆ ภายในครึ่งปีนี้ฉันจะไม่ไปไหนทั้งนั้น ขอบคุณน้องจั่ว ขอบคุณน้องจั่วจริงๆ!”

ถังเหวินหย่วนตกลงอย่างทันควัน แต่ว่าสีหน้ากลับลังเลเล็กน้อย เอ่ยปากว่า “น้องจั่ว ในช่วงครึ่งปีนี้แม้แต่ประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็ไปไม่ได้ใช่ไหม?”

ด้วยประเทศอเมริกาพุ่งเป้าไปที่กลุ่มอัลเคด้าในเหตุการณ์ 9/11 ดังนั้นช่วงนี้จึงเกิดภัยสงครามในทางใต้ของทวีปเอเชีย ดูเหมือนใครๆ ต่างก็รู้ว่า การแก้แค้นของอเมริกาจะเกิดขึ้นในไม่ช้า

“เหล่าถัง คุณต้องไปประเทศไทยสินะ?”

เยี่ยเทียนที่นอนอยู่บนเตียงเอ่ยถามขึ้นมาอย่างฉับพลัน ในเวลานั้นเอง สมองของเขาพลันเกิดภาพขึ้นมาภาพหนึ่ง เป็นภาพชายชราใบหน้าเลือนราง แต่ดูจากเสื้อผ้าแล้วน่าจะเป็นคนไทยอย่างไม่ต้องสงสัย

“ใช่แล้ว น้องต่งส่งคำเชิญมาให้ฉัน เขากับจู้เหวยเฟิงที่ร่วมมือกับชาวญี่ปุ่นทำตลาดมวยใต้ดินในเมืองหลวง จะจัดศึกมวยวันที่ 1 เดือนมกราคมที่ประเทศไทย จึงชวนฉันให้ไปร่วมพิธีด้วย!”

ถังเหวินหย่วนมีสีหน้าลำบากใจ ก่อนหน้านี้เขาตกปากรับคำกับต่งเซิงไห่ว่าจะไป แล้วยังเชิญชวนมหาเศรษฐีชาวฮ่องกงอีกไม่น้อย หากถึงเวลาแล้วไม่ไปละก็ ออกจะเป็นการไม่เคารพต่อเพื่อนฝูงทางเกาะฮ่องกง

……………………………………………