ซูจิ่นซีมองด้านหลังของถังเสวี่ยที่เดินจากไป ทันใดนั้น นางก็รู้สึกหดหู่เล็กน้อย
ถังเสวี่ยบริสุทธิ์ไร้เดียงสาเช่นนี้ ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ล้วนแสดงออกบนใบหน้า ชอบหรือไม่ชอบก็ไม่อาจเก็บไว้ในใจ
บางครั้ง นางก็รู้สึกว่าถังเสวี่ยและอู๋จุนเข้ากันได้ดีจริงๆ เป็นคนตรงไปตรงมาทั้งคู่
ทว่าเรื่องของโชคชะตานั้น หากยังไม่ถึงเวลาที่เหมาะสม ไม่มีผู้ใดรู้ว่าระหว่างทางยังต้องประสบความทุกข์ยากมากมายเพียงใด
เป็นจริงดั่งคาด ตอนที่ทุกคนกำลังจะออกเดินทางในเช้าวันถัดมา ตงหลิงหวงมาหาพวกเขา
ทุกคนมาถึงประตูวังและกำลังจะขึ้นรถม้า ทันใดนั้น ด้านหลังก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้น ทุกคนต่างหยุดชะงักและหันไปยังทิศทางของเสียง
พวกเขาเห็นตงหลิงหวงเดินมาท่ามกลางกลุ่มคน ด้านหลังมีอู๋ซวง นางกำนัลข้างกายที่ในมือถือห่อสัมภาระ
นางเดินเข้ามาใกล้และพูดกับเยี่ยโยวเหยาที่ยืนอยู่ข้างรถม้าว่า “โยวอ๋อง เงื่อนไขที่ท่านเสนอเมื่อวาน ข้าตกลง! ”
เสียงของตงหลิงหวงนั้นเด็ดขาด คนที่อยู่ด้านหลังฟังไม่เข้าใจว่าคำพูดของนางหมายถึงอันใด อู๋จุนและถังเสวี่ยที่อยู่ด้านหลังของซูจิ่นซี มีสีหน้าแปลกใจ
การแสดงออกของเยี่ยโยวเหยายังคงเคร่งขรึม
“เจ้าคิดดีแล้วหรือ? ”
“ข้าคิดอย่างรอบคอบแล้ว! ”
เยี่ยโยวเหยาไม่รอช้า “ตกลง ออกเดินทางเถิด! ” หลังจากนั้น เขาก็เปิดม่านรถม้าและขึ้นไปบนรถม้าทันที
ดูเหมือนว่าซูจิ่นซีจะคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้ว นางจึงไม่รู้สึกประหลาดใจ จากนั้นจึงเดินตามเยี่ยโยวเหยาเข้าไปในรถม้า
ตงหลิงหวงให้คนเตรียมรถม้าให้ตนเองเรียบร้อยแล้ว เมื่อคนในวังขับรถม้ามาถึง ตงหลิงหวงจึงรับสัมภาระมาจากมือของอู๋ซวง
อู๋ซวงมีท่าทีไม่เต็มใจ “รัชทายาท ให้หม่อมฉันไปกับพระองค์เถิด! ไปแคว้นเป่ยอี้หนทางยาวไกล ยังไม่รู้ว่าระหว่างทางต้องพบเจอเรื่องอันใด หากมีอู๋ซวงข้างกายจะได้ดูแลพระองค์ได้เพคะ! ”
“คนมากมายเช่นนี้จะมีเรื่องยุ่งยากอันใดที่แก้ไขไม่ได้หรือ? อีกอย่าง หากเจ้าตามไปด้วย ตอนเกิดเรื่องข้าคงทำอันใดไม่สะดวกเสียมากกว่า”
อู๋ซวงถูกรังเกียจ จึงแสดงสีหน้าขุ่นเคือง
ตงหลิงหวงตบไหล่ของนาง “พอแล้ว กลับไปเถิด! ช่วงเวลาสั้นๆ ที่ข้าไม่อยู่ เจ้าต้องปรนนิบัติจวิ้นเอ๋อร์และเสด็จพ่อที่พระวรกายยังไม่ฟื้นฟูเต็มที่ เขาเพิ่งเข้าราชสำนัก มีหลายเรื่องที่ทำคนเดียวไม่ได้ เจ้าต้องดูแลปรนนิบัติให้ดี ”
“เพคะ! องค์รัชทายาทเดินทางปลอดภัย หากต้องการหม่อมฉัน พระองค์สามารถส่งนกพิราบสื่อสารมาบอกหม่อมฉันได้ทุกเมื่อ หม่อมฉันจะรีบพาคนไปโดยเร็วแน่นอนเพคะ! ”
“ตกลง! ”
เยี่ยโยวเหยา ซูจิ่นซี และคนอื่นๆ เตรียมพร้อมออกเดินทาง ตงหลิงหวงจึงไม่รีรอและรีบขึ้นรถม้าอย่างรวดเร็ว
ล้อรถม้าหมุนเคลื่อนมุ่งหน้าไปทางเหนือ เส้นทางแสนยาวไกล
แคว้นเป่ยอี้ไม่เหมือนกับอีกหกแคว้นที่เหลือในอาณาจักรเทียนเหอ เป็นแคว้นที่ลึกลับอย่างยิ่ง ไม่มีผู้ใดรู้ว่าทางเข้าอยู่ที่ใด นอกจากนั้น ทางเข้ายังเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แม้ท่ามกลางฝูงชนที่เดินทาง เยี่ยโยวเหยาและตงหลิงหวงจะเคยร่ำเรียนที่เขาคุนหลุนและเคยไปแคว้นเป่ยอี้ ทว่าพวกเขากลับไม่กล้าระบุตำแหน่งทางเข้าที่ชัดเจนของแคว้นเป่ยอี้
หลังจากเดินทางได้เจ็ดวัน ในที่สุดก็มาถึงเขตม่อเป่ย ทางเหนือสุดของอาณาจักรเทียนเหอ
ขณะที่เดินทางมา เยี่ยโยวเหยาและอู๋จุนได้สืบข่าวมาแล้ว ตามกฎการเปลี่ยนแปลงทางเข้าของแคว้นเป่ยอี้เวลานี้ เป็นไปได้มากว่าจะอยู่ท่ามกลางทะเลทรายม่อเป่ย
ทว่าทะเลทรายนั้นอันตรายมาก คนธรรมดาเข้าไปแล้วออกมาไม่ได้ เกือบจะเอาชีวิตไม่รอด
ไม่รู้ว่าการเดินทางในครั้งนี้ พวกเขาจะหาทางเข้าแคว้นเป่ยอี้เจอหรือไม่? และสามารถไปถึงแคว้นเป่ยอี้ได้อย่างราบรื่นหรือไม่? ระหว่างทางจะพบเจอสิ่งใดหรือไม่?
หลังจากค้นหาอยู่เป็นเวลานาน ทุกคนก็พบโรงเตี๊ยมที่อยู่ในสภาพทรุดโทรม คนที่เหลือนอกจากเยี่ยโยวเหยา ไม่ใช่คนจุกจิกจู้จี้ จึงแบ่งห้องกันและพักอยู่ที่นั่น
ทว่าเยี่ยโยวเหยารังเกียจผ้าปูที่ไม่สะอาดของโรงเตี๊ยมจึงไม่ได้เข้าไป เขาพักอยู่ในรถม้า
รถม้าของเยี่ยโยวเหยาใช้ม้าสี่ตัวลาก ด้านในหรูหราและกว้างขวาง สะดวกสบายกว่าโรงเตี๊ยมมาก แน่นอนว่าซูจิ่นซีต้องตามใจเยี่ยโยวเหยาอยู่แล้ว นางจึงนอนในรถม้าด้วยอีกคน
เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากซูจิ่นซีตื่นนอน นางทำความคุ้นเคยรอบหนึ่ง ก่อนจะเห็นอวิ๋นจิ่นเดินออกมาจากโรงเตี๊ยม
เมื่อเห็นซูจิ่นซี อวิ๋นจิ่นจึงแย้มรอยยิ้มอบอุ่นและสดใสยิ่งกว่าแสงรุ่งอรุณบนขอบฟ้า
“พระชายา อรุณสวัสดิ์พ่ะย่ะค่ะ! ”
“หมอหลวงอวิ๋น อรุณสวัสดิ์! ”
ซูจิ่นซีนั่งลงบนโต๊ะหินด้านหน้าโรงเตี๊ยมเพื่อเตรียมชงชาให้เยี่ยโยวเหยา
อวิ๋นจิ่นเดินมาหาซูจิ่นซี “พระชายา กระหม่อมเห็นว่าช่วงไม่กี่วันมานี้ พระพักตร์ของพระชายาไม่สู้ดีนัก ไม่สบายที่ใดหรือไม่? ”
ซูจิ่นซีแตะแก้มของตนเองด้วยความสงสัยเล็กน้อย “ไม่ดีหรือ? ตัวข้าไม่รู้สึกเช่นนั้น ข้าหาได้ไม่รู้สึกไม่สบายที่ใด! ”
“มิสู้ให้กระหม่อมตรวจชีพจรของพระชายา? ”
“ตกลง! หมอหลวงอวิ๋น เชิญนั่ง! ”
อวิ๋นจิ่นนั่งลงตรงข้ามซูจิ่นซี จากนั้นซูจิ่นซีจึงเหยียดแขนออก นิ้วเรียวยาวของอวิ๋นจิ่นวางลงบนชีพจรบนข้อมือของซูจิ่นซี
ซูจิ่นซีมองใบหน้าของอวิ๋นจิ่นโดยไม่กะพริบตา นางพยายามสังเกตอันใดบางอย่างบนใบหน้าของอวิ๋นจิ่น ทว่าน่าเสียดายที่อวิ๋นจิ่นคาดเดาได้ยากยิ่งกว่าเยี่ยโยวเหยา ใบหน้าของเขาสงบนิ่ง ไม่ปรากฏร่องรอยใดๆ
หลังผ่านไปครู่ใหญ่ อวิ๋นจิ่นจึงยกนิ้วขึ้นจากแขนของซูจิ่นซี
ซูจิ่นซีเอ่ยถาม “หมอหลวงอวิ๋น ร่างกายข้าเป็นอย่างไรบ้าง? ไม่มีอันใดร้ายแรงใช่หรือไม่? ”
หมอรักษาตนเองไม่ได้ แม้ซูจิ่นซีจะนับว่าเป็นหมอครึ่งหนึ่ง ทว่านางไม่ได้รู้สึกว่าร่างกายตนเองเจ็บป่วย! หรือมีอาการที่รู้สึกผิดปกติ นางจึงไม่แน่ใจ
อวิ๋นจิ่นยังคงมีสีหน้าสงบนิ่งและแย้มยิ้มอ่อนโยน
“พระชายาวางพระทัย พระวรกายของพระองค์ไม่มีอันใดร้ายแรง เพียงเลือดลมเสียสมดุลเล็กน้อย กระหม่อมดูแลพระองค์ระหว่างทางก็พอ และทานยาอีกเล็กน้อย สองสามวันก็หายพ่ะย่ะค่ะ! ”
“เช่นนั้นก็ดี! ”
แววตาของอวิ๋นจิ่นมีความลังเลเล็กน้อย ดูเหมือนเขากำลังไตร่ตรองคำพูดครู่หนึ่ง “พระชายา พระองค์ไม่รู้สึกถึงความผิดปกติอันใดเลยหรือ?”
“ไม่มี! ”
ซูจิ่นซีรู้สึกว่าอวิ๋นจิ่นมีเรื่องที่ต้องการพูด ทว่าเขาไม่ยอมพูดออกมา
อย่างไรก็ตาม นางเข้าใจดี ในเมื่ออวิ๋นจิ่นไม่ต้องการพูด ถามไปก็ไร้ประโยชน์ นางจึงไม่ถามอีก
อวิ๋นจิ่นหยิบขวดยาขนาดเล็กออกมาจากแขนเสื้อ ก่อนจะเทยาหนึ่งเม็ดส่งให้ซูจิ่นซี
“พระชายา นี่คือยาเสินอวี้ ช่วยในการฟื้นฟู พระองค์ทานก่อน ระหว่างเดินทางคงไม่สะดวกต้มยา ทานยาเม็ดจะสะดวกกว่า ประสิทธิภาพเหมือนกับยาต้มเช่นกัน ”
“อืม!”
ซูจิ่นซีรับยาเม็ดมาทาน
อวิ๋นจิ่นกำชับอีกครั้ง “พระชายา แม้พระวรกายจะไม่เป็นอันใดมาก ทว่าช่วงนี้ พระองค์ต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษ ไม่ควรโหมหนักเกินไป ไม่อาจทานของเย็นจัด งดของคาว ของเผ็ด และของกระตุ้น… ”
อวิ๋นจิ่นสาธยายยืดยาวภายในลมหายใจเดียว ซูจิ่นซีขมวดคิ้วเล็กน้อย
“หมอหลวงอวิ๋น เพียงเลือดลมไม่สมดุลต้องทำมากถึงเพียงนี้เชียวหรือ ยิ่งไปกว่านั้น ตัวข้าไม่รู้สึกว่ามีอาการผิดปกติอันใดแม้แต่น้อย เห็นเจ้ากังวล นู่นกินไม่ดี นี่กินไม่ได้ อย่างกับคนท้อง?”
ดวงตาของอวิ๋นจิ่นสงบนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง เขากำลังจะพูดอันใดบางอย่าง จู่ๆ เสียงของเยี่ยโยวเหยาก็ดังมาแต่ไกล “กำลังพูดอันใดอยู่หรือ?”
ซูจิ่นซีและอวิ๋นจิ่นหันไปมองยังทิศทางของเสียง เห็นเยี่ยโยวเหยาเดินลงมาจากรถม้า และเยื้องย่างมาทางนี้ทีละก้าวด้วยท่วงท่าสง่างาม