หลังจากพินิจมองร่างของภูติดินที่มีความสามารถดั่ง ‘เทพพยากรณ์’ อยู่พักใหญ่ หลิงตู้ฉิง ก็ได้คำตอบแล้วว่าทำไมภูติดินตนนี้ถึงรู้ว่าเขาจะมาที่นี่ตั้งแต่เมื่อหลายแสนปีก่อน
ที่แท้ภูติดินผู้นี้ก็บ่มเพาะเต๋าแห่งกาลเวลาซึ่งมันทำให้เขาสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆล่วงหน้าได้ แต่เต๋าที่กาลเวลาที่ภูติดินตนนี้นั้นไม่เหมือนกับเต๋ากาลเวลาที่ มี่ไล บ่มเพาะ
เต๋าของวิชาเทวะสี่ฤดูแปรเปลี่ยนที่ มี่ไล บ่มเพาะนั้นคือการที่นางควบคุมเวลาโดยที่ไม่ได้นำตัวเองเข้าไปอยู่ในผลลัพธ์ของกาลเวลาที่แปรเปลี่ยน แต่สำหรับเต๋าของกาลเวลาที่ภูติดินตนนี้บ่มเพาะนั้นคือการที่เขาเอาตัวเข้าไปอยู่ในกาลเวลา ดังนั้นเขาจึงสามารถมองเห็นเหตุการณ์ต่างๆในอนาคต ณ บริเวณจุดที่เขาอยู่ได้
นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมภูติดินตนนี้ถึงสามารถวาดภาพเหตุการณ์ต่างๆที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เพื่อเตือนให้กับลูกหลานของเขาได้เตรียมตัวระวังภัยเอาไว้ล่วงหน้าได้
และนี่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ หลิงตู้ฉิง อยากได้ร่างของภูติดินตนนี้
ถึงแม้ว่าภูติดินตนนี้จะตายไปแล้ว แต่เนื่องจากประสบการณ์ที่ภูติดินตนนี้เคยผ่านการเดินทางข้ามกาลเวลาจนนับครั้งไม่ถ้วน มันจึงทำให้ร่างของเขายังคงมีร่องรอยของเต๋าแห่งกาลเวลาสถิตอยู่จำนวนมาก
ด้วยความสามารถของ หลิงตู้ฉิง เขาสามารถที่จะนำร่องรอยของเต๋าแห่งกาลเวลาที่ยังคงสถิตอยู่ในภูติดินที่ตายไปแล้วตนนี้มาใช้ประโยชน์ได้หลายอย่างหรือถ้าให้พูดง่ายๆก็คือร่างภูติดินตนนี้ในสายตาของหลิงตู้ฉิงมันไม่ต่างอะไรกับสมบัติล้ำค่า
ดังนั้นเพื่อให้ได้มาซึ่งร่างนี้ หลิงตู้ฉิง จึงยอมที่จะช่วยเผ่าภูติดินให้อยู่รอดต่อไปเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน
อันที่จริงสิ่งที่ หลิงตู้ฉิง ไม่รู้ก็คือภูติดินตนนี้ได้รับเต๋าแห่งกาลเวลามาโดยบังเอิญ จากนั้นเมื่อภูติดินตนนี้บ่มเพาะไปได้ถึงระดับหนึ่งเขาก็ลองทดสอบทักษะกาลเวลาของเขาดูและภาพที่เขาเห็นภาพแรกก็คือในอนาคตต่อไปไม่นานเผ่าของจะเผชิญกับหายนะใหญ่
หลังจากนั้นเพื่อช่วยเผ่าของตัวเอง เขาจึงตั้งใจบ่มเพาะไปเรื่อยๆพร้อมกับคอยทำนายหายนะล่วงหน้าให้กับเผ่าของเขาเพื่อให้เผ่าของเขาหาวิธีรับมือกับหายนะต่างๆ
แต่แน่นอนว่าการทำเช่นนี้ย่อมมีผลเสียเพราะมันทำให้เหตุการณ์ของอนาคตถัดไปกลายเป็นไม่แน่นอน เพราะทุกครั้งที่เขานำเรื่องหายนะต่างๆมาบอกคนในเผ่าและช่วยให้เผ่าของเขาหลุดพ้นจากหายนะมาได้ อนาคตเผ่าของเขาก็จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ
ดังนั้นเขาจึงจำเป็นต้องท่องกาลเวลาแทบจะตลอดเวลาเพื่อที่เขาต้องคอยดูว่าอนาคตของเผ่าเขาจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง
แต่แล้วเมื่อเขายิ่งดูอนาคตของเผ่าเขาเองไปเรื่อยๆ เขาก็ยิ่งเริ่มงุนงงและสับสนและสิ้นหวัง
ที่เขางุนงงและสับสนก็เพราะเส้นทางในอนาคตของเผ่าเขาที่เขาเห็นมันกลายเป็นมีความเป็นไปได้มากมายและไม่แน่นอนเพราะตัวของเขาเองเป็นสาเหตุ
ด้วยความสามารถของเขาที่เห็นอนาคตและสามารถแก้ไขหายนะให้กับเผ่าของเขาได้มันจึงทำให้ชะตากรรมเผ่าของเขากลายเป็นไม่แน่นอนแต่ในท้ายที่สุดสิ่งที่ทำให้เขาสิ้นหวังก็คือทุกความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นกับเผ่าของเขา ทุกรูปแบบมันจะบรรจบกันอยู่ที่จุดเดียวกันก็คือจำนวนประชากรเผ่าของเขาจะลดลงเหลืออยู่เพียงหลักร้อย
จากนั้นเมื่อเขามองเห็นจุดบรรจบนี้ เขาจึงไม่เสียเวลากับการดูเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นระหว่างทางก่อนจุดบรรจบ เขาเลือกที่จะเพ่งความสนใจและท่องเวลาไปให้ไกลขึ้นเพื่อดูว่าผลลัพธ์สุดท้ายของเผ่าเขาจะเป็นอย่างไร
แน่นอนว่ายิ่งเขาท่องกาลเวลาไปเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกสิ้นหวังมากขึ้นเท่านั้นเพราะทุกๆเส้นทางในอนาคตของเผ่าของเขามันมีจุดจบแบบเดียวกันหมดคือเผ่าของเขาจะต้องล่มสลาย
แต่แล้วก่อนที่เขาจะถอดใจเขากลับเห็นความเป็นไปได้ของอนาคตสายหนึ่งที่มีภาพของ หลิงตู้ฉิง มาปรากฏกายขึ้นที่เผ่าของเขา
ในตอนแรกที่เขาเห็น หลิงตู้ฉิง เขาก็ยังสิ้นหวังเหมือนเดิมเพราะการกระทำของ หลิงตู้ฉิง ที่เขาเห็นคือ หลิงตู้ฉิง ลงมือสังหารคนเผ่าของเขาด้วยวิธีการพิสดารจนไม่เหลือแม้แต่ตนเดียว
แต่หลังจากที่ หลิงตู้ฉิง สังหารเผ่าของเขาเสร็จ ภาพที่ทำให้เขาประหลาดใจก็คือ หลิงตู้ฉิง ไม่แตะสมบัติใดๆของเผ่าเขาเลย หลิงตู้ฉิง ทำเพียงแค่เดินเข้ามาที่วิหารแห่งนี้เพื่อทำการบ่มเพาะร่างกายเท่านั้นแล้วก็จากไป
..
แรงจูงใจเช่นนี้ของ หลิงตู้ฉิง เริ่มทำให้เขามีความหวังขึ้น จากนั้นเขาจึงย้อนไปดูความเป็นไปได้อื่นที่เขาอาจจะทำนายให้คนในเผ่าของเขาแสดงท่าทีต่อ หลิงตู้ฉิง อีกแบบ ซึ่งนั่นก็คือการต้อนรับ หลิงตู้ฉิง ซะ
แต่ด้วยเหตุผลที่เขาเดินทางข้ามกาลเวลาบ่อยเกินไปทั้งย้อนไปย้อนมาและท่องดูอนาคตล่วงไปถึงหลักแสนปีมันจึงทำให้พลังชีวิตของเขาหมดลงอย่างรวดเร็วจนท้ายที่สุดภาพที่เขาเห็นเป็นภาพสุดท้ายก็คือเมื่อเผ่าของเขายอมศิโรราบต่อหลิงตู้ฉิง หลิงตู้ฉิง ก็ยอมปล่อยเผ่าของเขาไปและตกลงที่จะช่วยเหลือเผ่าของเขา แต่หลังจากจากนั้นเขาก็ไม่เหลือพลังชีวิตพอที่จะดูอนาคตต่อไปอีกว่า หลิงตู้ฉิง นั้นช่วยเผ่าของเขาสำเร็จหรือไม่หรือสุดท้ายเผ่าของเขาก็ตายเหมือนเดิม
อย่างไรก็ตามภาพสุดท้ายที่เขาเห็นมันก็นับได้ว่าเป็นความหวังที่ดีที่สุดที่เผ่าของเขาจะมีได้ ดังนั้นเขาจึงใช้พลังชีวิตเฮือกสุดท้ายในการวาดคำทายนี้ไปบนฝาผนังเพื่อให้ลูกหลานของเขาได้ลองเสี่ยงดวง…
ในตอนนี้ เมื่อซวนหยวนตู่ ได้ยินว่า หลิงตู้ฉิง ต้องการร่างของบรรพบุรุษเขา เขาก็เงียบลงไม่รู้ว่าจะตอบยังไงดี
บรรพบุรุษของเขาผู้นี้เป็นถึงผู้พญากรณ์ในตำนานของเผ่าของเขา และเป็นผู้ที่ช่วยให้เผ่าของเขารอดพ้นจากหายนะมานับครั้งไม่ถ้วนดังนั้น แต่หลิงตู้ฉิงก็เป็นผู้ส่งสาสน์จากพระเจ้าที่บรรพบุรุษของเขาผู้นี้ทำนายไว้ คนสองคนนี้ต่างมีความสำคัญมากเหมือนกันแต่เป็นคนละแบบ ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ว่าจะตัดสินใจยังไงดี
หลิงตู้ฉิง ขมวดคิ้วและพูดว่า “ในเมื่อตอนนี้ข้าได้เห็นศพร่างนี้แล้ว ต่อให้เจ้าปฏิเสธข้าก็จะเอาไปอยู่ดี! แต่แน่นอนว่าเจ้าไม่ต้องห่วง ข้าจะจ่ายราคาที่ข้าเอาศพบรรพบุรุษของเจ้าไปอย่างเหมาะสมโดยการทำให้เผ่าของเจ้าสามารถมีชีวิตดำรงอยู่ต่อไปได้อีก”
ซากศพนี้คือร่างที่มีร่องรอยของเต๋าแห่งกาลเวลาสถิตอยู่ซึ่งต่อให้เขาจะไม่ถูกกระตุ้นความปรารถนาทั้ง6 เขาก็ยังต้องทำทุกวิถีทางให้ได้มันมาอยู่ดีดังนั้นไม่ว่าเผ่าภูติดินจะตอบว่ายังไงเขาก็จะเอามันไปจนได้ แต่ด้วยเหตุผลที่ซากศพนี้ล้ำค่าเกินไปเขาจึงจำเป็นจะต้องจ่ายราคาตอบแทนอะไรกลับไปไม่เช่นนั้นกรรมนี้จะตามเล่นงานเขาในอนาคต
หลังจากเงียบไปพักใหญ่ ซวนหยวนตู่ ก็เอ่ยขึ้นว่า “ท่านผู้ส่งสาสน์ ตอนนี้ไม่ใช่ท่านต้องการบ่มเพาะร่างกายของท่านมากที่สุดงั้นเหรอ? ทำไมท่านไม่บ่มเพาะร่างกายของท่านไปก่อนเพื่อให้เวลาข้าเอาเรื่องนี้ไปปรึกษากับภูติดินตนอื่นๆในเผ่า จากนั้นเมื่อท่านบ่มเพาะเสร็จพวกเราค่อยมาคุยเรื่องนี้กันใหม่ดีไหม?”
หลิงตู้ฉิง พยักหน้า “เอาแบบนั้นก็ได้ แต่มันจะดีที่สุดหากพวกเจ้าไม่เข้ามารบกวนข้าในระหว่างที่ข้ากำลังบ่มเพาะร่างกายอยู่ไม่เช่นนั้นพวกเจ้าก็อย่าหาว่าข้าโหดร้ายก็แล้วกัน!”
“แน่นอนว่าพวกเราจะไม่รบกวนท่านแน่นอน พวกเรารอท่านมานับแสนปีแล้วดังนั้นพวกเราไม่มีปัญหาเลยหากต้องรอท่านต่อไปอีกสักหน่อยโปรดท่านวางใจได้” ซวนหยวนตู่ ตอบกลับ “เอาล่ะตอนนี้ท่านผู้ส่งสาสน์โปรดตามข้ามาได้เลยข้าจะพาท่านไปยังใจกลางมหาวิถีเต๋าธาตุดินเพื่อให้ท่านได้บ่มเพาะร่างกายของท่าน”
หลังจากเดินตาม ซวนหยวนตู่ ไปได้สักพัก หลิงตู้ฉิง ก็เข้าไปด้านในห้องใต้ดินขนาดใหญ่ซึ่งภายในมีมหาวิถีเต๋าธาตุดินซึ่งมีรูปร่างเป็นก้อนดินสีน้ำตาลขนาดยักษ์ลอยอยู่กลางห้อง
หลิงตู้ฉิง มองไปที่มหาวิถีเต๋าธาตุดินด้วยสายตาพึงพอใจจากนั้นเขาให้ หมิงยู่ ออกไปจากร่างของเขาและให้นางถือง้าวเทวะพินาศคอยยืนคุ้มกันเขาเอาไว้
ส่วน ซวนหยวนตู่ เมื่อเห็นว่า หลิงตู้ฉิง ไม่มีอะไรจะสั่งเขาต่อแล้ว เขาจึงเดินออกไปจากห้องใต้ดินเพื่อออกไปเรียกประชุมทุกคนในเผ่าเกี่ยวกับเรื่องที่ หลิงตู้ฉิง จะเอาศพบรรพบุรุษของพวกเขาไป
หลังจากถกเถียงกันอยู่พักใหญ่ สุดท้ายพวกเขาก็ตัดสินใจได้แน่นอนว่าจะเอาอย่างไรจากนั้นพวกเขาก็ไปหาพวกของ หลงเฉิน เพื่อดูแลต้อนรับ
“พวกท่านทั้งหลายล้วนเป็นคนของท่านผู้ส่งสาสน์ ซึ่งถือได้ว่าพวกท่านก็คือแขกคนสำคัญของพวกเรา แต่เนื่องจากพวกเราไม่รู้มาก่อนว่าพวกท่านจะมาเยือนกันในเวลานี้ดังนั้นพวกเราจึงไม่ทันได้จัดเตรียมงานเลี้ยงต้อนรับให้กับพวกท่าน ดังนั้นเพื่อเป็นการขออภัยพวกเราจึงขอแบ่งปันสมบัติและอาวุธวิเศษต่างๆที่พวกเราได้มาจากการขับไล่เหล่าผู้บุกรุกในอดีตให้กับพวกท่าน โปรดพวกท่านรับน้ำใจของพวกเราไว้สักหน่อยและถ้าหากพวกท่านพึงพอใจในเหล่าสมบัติ พวกเราก็อยากจะวิงวอนขอให้พวกท่านช่วยพูดกับท่านผู้ส่งสาสน์แทนพวกเราให้เขาช่วยเหลือเผ่าพวกเราสักหน่อยเมื่อเขาออกมาจากวิหาร” ซวนหยวนตู่ เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม
เมื่อ หลงเฉิน ได้ยินเช่นนี้เขาก็รีบถามสวนกลับไปทันที “สมบัติอะไรที่พวกเจ้าจะมอบให้กับพวกเรา?”
ซวนหยวนตู่ หัวเราะ “มันก็เป็นพวกสมบัติที่พวกท่านชอบใช้กันนั่นแหละ แต่สำหรับพวกเราภูติดิน สมบัติเหล่านี้มันไม่ได้มีค่าอะไรเลย”
เมื่อพูดจบ ซวนหยวนตู่ ก็เทสมบัติและอาวุธวิเศษมากมายออกมาจากแหวนมิติเพื่อให้ หลงเฉิน และคนอื่นๆเลือก!