ตอนที่ 2128

War sovereign Soaring The Heavens

ตอนที่ 2,128 : 6 ทวารารวมตัว!

 

“บีบคั้นกันเกินไป?”

 

ได้ยินวาจาโมโหกลบเกลื่อนของตงกั๋วจื่อ ต้วนหลิงเทียนเพียงแปลกใจอยู่ครู่หนึ่งเท่านั้น สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะออกมา “เจ้าจะว่าข้าบีบคั้นหรือรังแกเจ้าเกินไปอะไรก็ช่าง…”

 

พอตงกั๋วจื่อและหวังติ่งชันได้ยินวาจาที่เริ่มเกริ่นขึ้นมาของต้วนหลิงเทียน สีหน้าของพวกมันก็เปลี่ยนไปทันที

 

ต้วนหลิงเทียนไม่แยแสสีหน้าพวกมัน พลันกล่าวสืบต่อออกมาว่า “แต่หากพวกเจ้าคิดจะไป พวกเจ้าต้องกล่าวคำสาบานใหม่อีกรอบ! ว่าตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป พวกเจ้าจะไม่เป็นศัตรูและสร้างปัญหาให้ข้าไม่ว่าจะทางใดก็ทางหนึ่ง! หาไม่แล้วขอให้อัสนีลงทัณฑ์ฟาดผ่าพวกเจ้าจนตาย!!”

 

พอต้วนหลิงเทียนกล่าวประโยคนี้ออกมา หวังติ่งชันกับตงกั๋วจื่อถึงกับต้องหันมองหน้ากันทันที

 

จังหวะนี้ความคิดแรกที่ผุดขึ้นมาในใจของพวกมันก็คือ

 

ชายชุดดำผู้นี้ใช่ได้ยินวาจาสนทนาผ่านพลังของพวกมันเมื่อครู่หรือไม่?

 

แน่นอนว่าพวกมันปัดความคิดเหลวไหลดังกล่าวให้ตกไปทันที เพราะเรื่องแบบนั้นมันเป็นไปไม่ได้!

 

“ท่านชุดดำท่านให้พวกเรากล่าววาจาสาบานเช่นนั้น…มิได้หมายความว่าวันหน้าเกิดท่านเป็นฝ่ายหาเรื่องพวกเราก่อน พวกเราก็มิอาจตอบโต้ท่านได้หรือไร เพราะหากพวกเราขัดขืนตอบโต้ท่านขึ้นมาพวกเรายังไม่ถูกฟ้าผ่าตายอีกหรือ!?”

 

ตงกั๋วจื่อกล่าวออกด้วยใบหน้ามืดดำ

 

มันไม่คิดไม่ฝันเลยว่าชายชุดดำจะคิดเรื่องราวละเอียดรอบคอบแบบนี้ ทำราวกับทุกสิ่งล้วนอยู่ในกำมือโดยสมบูรณ์!

 

“เรื่องนี้ก็ง่ายที่จะแก้ไขนัก…พวกเจ้าเพียงนิ่งเฉยไม่ตอบโต้ก็สิ้นเรื่อง”

 

ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบเสียงเบา

 

“ไม่ตอบโต้? แล้วถ้าหากท่านคิดฆ่าพวกเราเล่า!?”

 

ตงกั๋วจื่อกล่าวออกด้วยโทสะ

 

“หรือ…พวกเจ้าจะเลือกตายตอนนี้?”

 

แววตาต้วนหลิงเทียนไม่เฉยเมยอีกต่อไป ตอนนี้ความเฉยเมยได้ถูกความเย็นชาอันแฝงเร้นไปด้วยจิตสังหารอำมหิตแทรกทับหมดสิ้น คนราวกับกลายเป็น อสุรา ที่กระหายโลหิตและการฆ่าฟัน พาลให้บรรยากาศโดยรอบเต็มไปด้วยแรงกดกดันบีบคั้นจิตใจประการหนึ่ง

 

สัมผัสได้ถึงจิตสังหารที่ตลบไปทั่วร่างต้วนหลิงเทียน สีหน้าตงกั๋วจื่อเปลี่ยนไปอย่างมาก

 

“รนหาที่ตาย!!”

 

แทบจะพร้อมกันกับที่หน้าตงกั๋วจื่อเปลี่ยนสี หวังติ่งชันที่ทนไม่ไหวสืบไป ในที่สุดก็ลงมือ!

 

และทันทีที่มันลงมือ คนคล้ายกลับกลายเป็นเทพสงคราม ปะทุพลังเข่นฆ่าสังหารไปยังต้วนหลิงเทียนอย่างดุร้าย ทั่วร่างเปล่งสภาวะเกรี้ยวกราดยากต้านทาน!!

 

ฟุ่บ!

 

แทบจะเป็นเวลาเดียวกันกับที่หวังติ่งชันลงมือ ยอดสมบัติสวรรค ‘บรรทัดจักรวาล’ พลันปรากฏขึ้นในมือต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง!

 

“เคลื่อนย้ายจักรวาล!”

 

เพียงสะบัดไม้บรรทัดในมือคราหนึ่ง ความว่างเปล่าโดยรอบพลันบิดเบือนทันที!

 

เพียงชั่วเวลาเสี้ยวพริบตา ร่างต้วนหลิงเทียนและหวังติ่งชันคล้ายจะถูกความว่างที่บิดเบือนดังกล่าวกลืนร่างเอาไว้ในนั้น!

 

ในสายตาของตงกั๋วจื่อ โอวฉิง และลู่จิ้น ร่างทั้ง 2 เสมือนบิดเบี้ยวพับไปมาไม่สิ้นสุด ยิ่งมายังยิ่งพร่ามัวยากมองเห็นได้ชัด ทั้งหมดเพียงเห็นว่ามีร่าง 2 ร่างอยู่ในนั้นเท่านั้น ไม่อาจมองเห็นอื่นใดได้ชัดเจน

 

“ปฐมเวทย์กลืนกิน!”

 

และแทบจะเป็นเวลาเดียวกันกับที่พลังพิเศษของบรรทัดจักรวาลสำแดงเดช วังวนพลังดูดรั้งขุมหนึ่งพลันปรากฏขึ้นรอบตัวต้วนหลิงเทียน เป็นเวทย์พลังปฐมเวทย์กลืนกินที่เขาไม่ได้ใช้ออกมาเนิ่นนาน! มันดูดกลืนพลังวิญญาณฟ้าดินโดยรอบให้เหือดหายเข้าร่างเขาในชั่วพริบตา!!

 

ตลอดระยะเวลาครึ่งปีหลังมานี้ต้วนหลิงเทียนที่เดินเล่นในนครแห่งบาปดั่งศาลเตี้ย ไม่เคยใช้ปฐมเวทย์กลืนกินออกมาเลย

 

เหตุผลที่เขาไม่ใช้ปฐมเวทย์กลืนกินนั้น…หนึ่งก็เพราะมันง่ายที่จะเปิดเผยตัวตน ต้วนหลิงเทียน ของเขา ส่วนอีกอย่างก็เพราะเขายังไม่เคยเจอคู่ต่อสู้ที่กดดันเขาถึงขั้นต้องใช้ปฐมเวทย์กลืนกินออกมา

 

ทว่าวันนี้เมื่อต้องปะทะกับชนชั้นอาวุโสของกองกำลังพันธมิตรพันสารท หวังติ่งชัน เซียนสวรรค์ 4 เปลี่ยนที่รั้งอยู่ในอันดับ 159 ของรายนามยอดเซียน เขาจำต้องใช้เวทย์พลังปฐมเวทย์กลืนกินเพื่อรับมือ!

 

หากเขาไม่ใช้เวทย์พลังสนับสนุนออกมา เขาจะไม่ใช่คู่มือของเซียนสวรรค์ 4 เปลี่ยน!

 

ถึงแม้หวังติ่งชันจะถือว่าเป็นตัวตนที่อยู่ในระดับล่างๆ ของผู้ที่บรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 4 เปลี่ยน แต่อาศัยพลังฝีมือของเขาตอนนี้ถ้าไม่ใช้ปฐมเวทย์กลืนกิน ก็สู้มันไม่ได้เลย!

 

‘ด้วยระดับพลังของข้าในตอนนี้ เคลื่อนย้ายจักรวาล พลังพิเศษของบรรทัดจักรวาลที่ใช้ออกนับว่าทรงพลังกว่าในอดีตมาก ไม่เพียงแต่จะบดบังสายตาของผู้อื่น ยังทำให้ศัตรูสับสนงุนงงอีกด้วย!’

 

เมื่อเห็นว่าปฐมเวทย์กลืนกินเสร็จสิ้นกระบวนการเพิ่มพูนพลัง พอดีกันกับช่วงเวลาที่หวังติ่งชันหลุดพ้นจากผลกระทบของเคลื่อนย้ายจักรวาล ต้วนหลิงเทียนก็ลอบกล่าวในใจ

 

“นั่นมัน…”

 

หลังจากที่หวังติ่งชันสลายผลกระทบที่เกิดจากเคลื่อนย้ายจักรวาลได้แล้ว มันก็ตระหนักได้ถึงวังวนพลังที่อุบัติขึ้นมารอบกายต้วนหลิงเทียนเมื่อครู่ก่อนที่สติของมันจะรู้สึกเสมือนถูกจับเหวี่ยงไปมาราวสวรรค์และโลกพลิกกลับได้ชัดเจน! และแม้ตอนนี้วังวนพลังนั่นจะหายไปแล้ว แต่ภาพยังคงติดตามันไม่จางหาย!!

 

ฟั่ฟฟฟ!!

 

ครู่ต่อมาหวังติ่งชันได้ยินเพียงเสียงกระบี่แหวกฝ่าอากาศฉับไวดังขึ้นเข้าหูเสียงหนึ่ง

 

และแทบจะพร้อมกันกับที่ได้ยินเสียงดังกล่าว มันก็แลเห็นกระบี่ 3 ฉื่อเล่มหนึ่งที่ราวกับจะปรากฏตัวขึ้นมาอย่างไร้ร่องรอย! กระบี่เล่มนี้ไม่ทราบทะยานตัดฟ้ามาตั้งแต่เมื่อใด หากแต่ความเร็วของมันนั้นนับว่าสุดที่มันจะต้านทานรับมือได้จริงๆ!!

 

‘กระบี่ไร้ลักษณ์!’

 

‘นอกจากนั้นเมื่อครู่ สมควรเป็นวังวนประหลาดที่ดูดกลืนพลังวิญญาณฟ้าดินรอบๆไปเพิ่มพลัง’

 

‘มันคือต้วนหลิงเทียน! ชายชุดดำผู้นี้คือต้วนหลิงเทียนของลัทธิบูชาไฟ!!’

 

นี่คือความคิด 3 ประการที่ผุดโผล่ขึ้นในวินาทีสุดท้ายของชีวิตหวังติ่งชันดั่งฟ้าแลบ! ก่อนที่กระบี่นิลสวรรค์จะทะลวงหว่างคิ้วมันไป ปากมันไม่ทันได้กล่าววาจาใดออกมาแม้ครึ่งคำ…!!

 

ก่อนตายหวังติ่งชันสามารถคาดเดาตัวตนของต้วนหลิงเทียนได้จากเวทย์พลังปฐมเวทย์กลืนกินและกระบี่นิลสวรรค์ที่ทะลวงแหวกฟ้ามาฉับไวเหนือจินตนาการ ด้วยเคล็ดควบคุมกระบี่บิน…

 

แต่แน่นอนว่าหวังติ่งชันไม่รู้ว่ากระบี่ที่ต้วนหลิงเทียนใช้มันคือกระบี่นิลสวรรค์ มันคิดแค่ว่านี่สมควรเป็นกระบี่ไร้ลักษณ์ 1 ใน 10 ยอดศาสตราเซียน ที่ติดอันดับในรายนาม 10 ศาสตราเซียนผู้ยิ่งใหญ่เท่านั้น

 

แม้ว่าหวังติ่งชันจะคาดเดาตัวตนของต้วนหลิงเทียนได้ออก แต่มันก็ทำได้แค่นำพาความลับนี้ติดตัวไปตามทางแห่งความตาย ก่อนที่จะทันมีเวลาได้บอกกล่าวกับผู้ใด…

 

“กลืน!”

 

หลังฆ่าหวังติ่งชานได้แล้ว ต้วนหลิงเทียนย่อมไม่ลืมกลืนกินรากวิญญาณของมันเป็นธรรมดา และครั้งนี้นับว่าเป็นอะไรที่ทำให้เขารู้สึกยินดีและมีความสุขนัก ‘คิดไม่ถึงจริงๆว่าพรสวรรค์รากวิญญาณของหวังติ่งชันจะเป็นสีน้ำเงิน’

 

หลังกลืนกินรากวิญญาณสีน้ำเงินของหวังติ่งชันเสร็จแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็พบว่ารากวิญญาณสีครามของเขามีสีเข้มขึ้นเรื่อยๆ และตอนนี้มันกำลังจะกลายเป็นสีครามเข้มอยู่รอมร่อ

 

‘ตราบใดที่พรสวรรค์รากวิญญาณของข้ากลายเป็นสีครามเข้ม…ก็หมายความว่าพรสวรรค์รากวิญญาณของข้าห่างจากการกลายเป็นพรสวรรค์รากวิญญาณสีม่วงไม่ไกลแล้ว!’

 

ทันทีที่ความคิดนี้ปรากฏขึ้นในใจ โดยมีฉากเรื่องราวที่ผ่านมามากมายดั่งแล่นเรือฟันฝ่าคลื่นลมในมหาสมุทรลุกแล้วลูกเล่า ต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกตื่นเต้นยินดีไม่น้อย

 

หลังริบแหวนพื้นที่ของหวังติ่งชัน ต้วนหลิงเทียนก็ปล่อยร่างหวังติ่งชันให้ร่วงตกฟ้า ไปกลายเป็นซากเนื้อเลอะเลือนบนพื้น…

 

ครู่ต่อมาความว่างเปล่าที่บิดเบือนไปราวระลอกน้ำที่คลุมร่างเขากับหวังติ่งชันเอาไว้ก็เริ่มหวนคืนสู่สภาพปกติ

 

ร่างเขายังลอยค้างกลางหาวที่เดิม ส่วนร่างหวังติ่งชันก็ร่วงตกฟ้าไปต่อหน้าต่อตาตงกั๋วจื่อ โอวฉิงและลู่จิ้นชัดถนัดตา!

 

“หวังติ่งชัน…ตายแล้วหรือ?”

 

เป็นลู่จิ้นที่ฟื้นสติก่อนใคร และตอนนี้สีหน้ามันก็บิดเบี้ยวอัปลักษณ์นัก!

 

ครู่ต่อมาในใจมันก็บังเกิดความยินดีอย่างถึงที่สุด ที่ชายชุดดำไม่ได้ฆ่ามันในการลงมือก่อนหน้านี้!

 

ล้อกันเล่นหรือไง!?

 

ยอดฝีมือที่ฆ่าหวังติ่งชันได้ในพริบตา กับมันที่อ่อนด้อยกว่าหวังติ่งชันมาก หากคิดฆ่าจริงๆยังลำบากเกินพลิกฝ่ามืออีกหรือ?

 

โอวฉิงเองก็หวาดกลัวอย่างหนัก ตอนนี้หน้ามันถึงกับซีดไปไร้สีเลือด กลิ่นปัสสาวะโชยเข้าจมูกผู้คนอีกรอบ แต่คล้ายมันจะไม่รู้ตัวเพราะมัวแต่ตกตะลึงอยู่อย่างนั้นราวกับถูกฝังเข็มสกัดจุด

 

ผ่านไปพักหนึ่งลู่จิ้นกับโอวฉิงที่ดึงสติกลับมาได้แล้ว ต่างหันมามองหน้ากันอย่างเต็มกลืน ก่อนที่จะแลเห็นควาดกลัวในสายตาของอีกฝ่าย

 

ชั่วอึดใจต่อมาพวกมันถึงกับลั่นวาจากล่าวคำสาบานออกมาพร้อมกันทันที!

 

เนื้อหาของคำสาบานนั้นก็เหมือนกันกับที่ต้วนหลิงเทียนบอกให้ตงกั๋วจื่อและหวั่งต่งชินกล่าวก่อนหน้า ว่าจะไม่เป็นศัตรูและสร้างปัญหาให้ต้วนหลิงเทียนไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง!!

 

ถึงแม้ว่าถ้อยคำสาบานนี้เป็นการรังแกผู้คนมากเกินไปถึงขั้นยากจะมีใครยอมรับได้

 

ทว่าตอนนี้หวังติ่งชานที่มีพลังฝีมือกล้าแข็งที่สุดในบรรดาพวกมัน…ได้ร่วงตกฟ้ากลายเป็นปุ๋ยบนดินไปแล้ว! หากพวกมันยังคิดตุกติกลีลาชักช้า ไม่แคล้วเดี๋ยวได้เจริญรอยตามหวังติ่งชันกอดคอกันลงนรกด้วยน้ำมือของชายชุดดำพอดี!!

 

พวกมันไม่อยากตาย! เช่นนั้นก็มีแต่ต้องให้ความร่วมมือกับอีกฝ่ายแต่โดยดี!!

 

เปรี๊ยง! เปรี๊ยง! เปรี๊ยง! เปรี๊ยง!

 

 

ด้วยเสียงฟ้าร้องดัง 9 คำรบอีกชุดอย่างพร้อมเพรียง ก็บอกให้รู้ว่าคำสาบานของโอวฉิงและลู่จิ้นได้รับการตอบรับจากสวรรค์แล้ว

 

และเสียงอัสนีฟาดผ่าดังสนั่นนี้ ก็ดึงสติตงกั๋วจื่อให้ฟื้นคืนกลับมาอีกครั้ง ร่างของมันยังสั่นสะท้านไปพักใหญ่กว่าจะหาย ใบหน้าก็ซีดเซียวจนไม่เหลือสีเลือด

 

ตงกั๋วจื่อบัดนี้ไม่เหลือมาดคุณชายอารมณ์ดีและเป็นมิตรกับสรรพสัตว์อีกต่อไป คงเหลือแต่ความหวาดผวา!

 

“เจ้า…ยังมีปัญหาอะไรอีกไหม?”

 

ต้วนหลิงเทียนเหลือบมองไปทางตงกั๋วจื่อ ค่อยกล่าวถามออกมาด้วยน้ำเสียงเฉยเมยอีกครั้ง

 

เมื่อได้ยินต้วนหลิงเทียนกล่าวถาม ร่างตงกั๋วจื่อสั่นสะท้านขึ้นมาอีกรอบ มันรีบส่ายหน้าระรัวโบกไม้โบกมือด้วยความตื่นตระหนก “ไม่ ไม่มี! ข้าน้อยไม่กล้ามี!!”

 

ล้อกันเล่นรึไง!?

 

กระทั่งผู้ที่คอยปกป้องมันอย่างหวังติ่งชันยังถูกฆ่าตายได้อย่างง่ายดาย มันยังจะกล้ามีปัญหาอะไรกับต้วนหลิงเทียนอีก

 

ถึงแม้ว่าในใจมันยังมีปัญหา แต่ไหนเลยจะกล้าพูดออกมา!

 

หลังหายจากอาการตื่นตระหนกแล้ว ตงกั๋วจื่อก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆหลายเฮือก ก่อนที่จะเร่งกล่าวคำสาบานตามที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวบอกอย่างไม่กล้าเล่นตุกติกอะไรอีก

 

อัสนีฟ้าพลันลั่นดัง 9 คำรบเป็นการตอบรับคำสาบานของมัน บอกให้รู้ว่าคำสาบานจะมีผลตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

 

ฟุ่บ!

 

และแทบจะพร้อมกันกับที่อัสนีฟ้าลั่นดัง 9 คำรบตอบรับคำสาบานตงกั๋วจื่อที่กล่าวสาบานเป็นคนสุดท้าย ร่างต้วนหลิงเทียนก็แปรเปลี่ยนไปคล้ายอัสนีสีดำสายหนึ่ง พุ่งหายลับไปในเส้นขอบฟ้าทิศเหนือต่อหน้าต่อตาคนทั้ง 3 ที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว…

 

เขายังไม่ลืมจุดประสงค์ในการเดินทางมาครั้งนี้

 

นั่นคือ หาทางเข้าไปแสวงโชคในคลังสมบัติของเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน!

 

เมื่อเห็นแผ่นหลังต้วนหลิงเทียนหายลับไปต่อหน้า ตงกั๋วจื่อ โอวฉิง และลู่จิ้นทั้ง 3 ก็อดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก ก่อนที่จะหันมามองหน้าสบตากัน จนแลเห็นถึงความขื่นขมในแววตากันและกัน…

 

ต้วนหลิงเทียนไม่ได้รู้เลย

 

ว่าในขณะที่เขากำลังจะหาทางเข้าไปแสวงโชคในคลังสมบัติของยอดฝีมือเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน ในพื้นที่อันห่างไกลทางภาคเหนือ บริเวณยอดเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะหนาทึบ

 

นอกจากหมอกพิรุณแล้ว ผู้สืบทอดคนอื่นๆของ 6 ทวาราเที่ยงแท้ได้มารวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตา!

 

มีชายหนุ่มหญิงสาวทั้งสิ้น 7 คนที่กำลังนั่งขัดสมาธิบนแท่นศิลาประจำตำแหน่ง

 

และบนแท่นศิลาที่พวกมันนั่งอยู่นั้น ก็มีลวดลายและอักขระซับซ้อนมากมาย อีกทั้งลวดลายอักขระดังกล่าวยังแผ่กลิ่นอายลี้ลับเก่าแก่โบราณออกมา เผยให้รู้ว่าเป็นสิ่งที่ดำรงอยู่ข้ามกาลเวลามาเนิ่นนานตั้งแต่ครั้งอดีตกาล…

 

เหนือขึ้นไปจากแท่นศิลาบนฟ้าสูง ปรากฏร่างชายชราและสตรีงามนางหนึ่งลอยร่างมองชมเรื่องราวเบื้องล่างอย่างเงียบงัน

 

คล้ายทั้งคู่กำลังเฝ้ารออะไรบางอย่าง…