เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งอยู่บนเก้าอี้แย้มรอยยิ้มงดงามมองมาทางเขา ส่วนหวงฝู่อี้เซวียนอยู่ด้านข้างนั้นกำลังยกถ้วยชาที่ชงเสร็จแล้วขึ้นมาจิบ
เมื่อเห็นใบหน้ายิ้มแย้มของเมิ่งเชี่ยนโยว เมิ่งชิงก็ตกใจจนหัวใจบิดมวนเป็นเกลียว เอ่ยวาจาด้วยริมฝีปากสั่นระริก “ท่านพี่โยวเอ๋อร์”
เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้นเดินมาถึงด้านหน้า มองเขายิ้มๆ
เมิ่งชิงถอยหลังไปก้าวหนึ่งด้วยความหวาดกลัว
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ก้าวตามมาก้าวหนึ่งและยังคงมองเขายิ้มๆ พร้อมกับถามว่า “จะขอโทษข้าต่อหน้าผู้คนทั้งเมืองเช่นนั้นหรือ”
เมิ่งชิงพยักหน้ารัว “ท่านพี่โยวเอ๋อร์ ข้ารู้ว่าข้าทำให้ท่านเสียใจแล้ว…”
เขายังไม่ทันจะเอ่ยจบ เมิ่งเชี่ยนโยวก็ยกเท้าขึ้นมาถีบเขาไปอย่างแรงฝ่าเท้าหนึ่ง
“ถึงกลับกล้าแปะประกาศบอกข้าว่าจะขอโทษข้าต่อหน้าผู้คนทั้งเมืองหลวง ไม่เจอกันไม่กี่วัน สมองของเจ้าเป็นก้อนแป้งเปียกแล้วหรือ ถึงกลับคิดวิธีการไร้ประโยชน์เช่นนี้ออกมาได้”
“เจ้าไม่สนใจหน้าตา แต่ตระกูลเมิ่งสนใจ เจ้ามันเด็กไม่มีสมอง เจ้าทำเช่นนี้ในวันนี้ จะให้คนในเมืองหลวงมองข้าเช่นไร มองตระกูลเมิ่งเช่นไร”
…
ขณะที่นางเอ่ยพูดออกมาแต่ละคำ ก็แทบจะเตะเมิ่งชิงฝ่าเท้าหนึ่งตลอด แต่ละฝ่าเท้าที่กระแทกลงมานั้นไม่ออมแรงเลยแม้แต่น้อย เมิ่งชิงถูกนางเตะเสียจนกระทั่งหายใจก็ไม่ออกแล้ว
โจวอันและองครักษ์ลับอีกหลายนายไม่เคยเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเดือดดาลเช่นนี้มาก่อนก็ใจสั่นและไม่อาจทำใจมองได้ ในใจก็อธิษฐานให้ซื่อจื่อสามารถยับยั้งพระชายาซื่อจื่อสักนิดหนึ่ง แต่พวกเขาก็รู้เช่นกันว่านั้นเป็นความคิดเพ้อเจ้อ คุณชายเมิ่งชิงปฏิบัติต่อพระชายาซื่อจื่อเช่นนี้ ซื่อจื่อแทบจะทนไม่ไหวลงมือสั่งสอนเขาด้วยตนเองแล้ว จะมาช่วยเอ่ยเรื่องดีๆ ได้อย่างไร
เป็นอย่างที่คิดเอาไว้จริง หวงฝู่อี้เซวียนยังคงจิบชาในมืออย่างสบายอารมณ์ กระทั่งเปลือกตาก็ไม่ได้เหลือบขึ้นมามองแม้แต่นิดเดียว
จนกระทั่งได้ยินเสียงไม่มั่นคงของเมิ่งเชี่ยนโยวแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนถึงได้วางถ้วยชาในมือลงแล้วลุกขึ้นเดินไปข้างกายเมิ่งเชี่ยนโยว พลางยื่นมือออกไปกอดนางเอาไว้ “พอแล้ว อย่าทำให้ตนเองเหนื่อยเกินไป”
เมิ่งเชี่ยนโยวหยุดการกระทำ มองเมิ่งชิงที่ขดตัวเป็นก้อนกลมๆ คิดจะเอ่ยวาจาอีก
“หากยังไม่หายโมโห ข้าจะช่วยเจ้าเตะเขาเอง”
หวงฝู่อี้เซวียนยกเท้าขึ้นมาอย่างรวดเร็วและแต่เมิ่งชิงไปอีกหลายฝ่าเท้าในยามที่เมิ่งเชี่ยนโยวยังไม่ทันจะห้าม
เขาเพิ่มกำลังภายในเข้าไปด้วย จึงเจ็บกว่าตอนที่เมิ่งเชี่ยนโยวเตะมากกว่าหลายเท่า เมิ่งชิงที่อดกลั้นเอาไว้ไม่อยู่ก็ครางออกมาเล็กน้อย
หวงฝู่อี้เซวียนแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน อุ้มเมิ่งเชี่ยนโยวไปนั่งบนเก้าอี้
มองเมิ่งชิงที่ยังนอนอยู่บนพื้นแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวก็ตำหนิเขา “ยังไม่รีบลุกขึ้นมาอีก คิดจะให้ข้าไปประคองเจ้าหรือ”
เมิ่งชิงใจสั่นสะท้าน รีบยันตัวลุกขึ้นมาทันที
ยามที่เมิ่งเชี่ยนโยวกระแทกฝ่าเท้าลงมานั้นไม่ออมแรงแม้แต่น้อย แต่ละฝ่าเท้ากระแทกลงบนร่างกายเขาอย่างแรงจึงทำให้เจ็บมากเกินไป ยันตัวลุกขึ้นอยู่หลายครั้งถึงได้ลุกขึ้นมายืนด้วยหน้าตาบิดเบี้ยวอย่างลำบากยากเย็น เขายืนนิ่งอยู่ที่เดิมโดยที่ไม่กล้านั่งลง ตะโกนเรียกด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ท่านพี่โยวเอ๋อร์!”
“เล่ามาสิว่าเจ้ารับปากเงื่อนไขอันใดกับนาง”
เมิ่งเชี่ยนโยวเอ่ยถามออกมาตามตรง
เมิ่งชิงหลบสายตาวูบ ไม่ตอบคำถาม
เมิ่งเชี่ยนโยวมีน้ำเสียงเย็นชาในทันที “ทำไมหรือ ยังอยากจะถูกอัดอีกหรือ”
วาจาของนางทำให้ร่างกายของเมิ่งชิงมีปฏิกิริยาสั่นระริกและตอบคำถามทันที “ให้นางห้าหมื่นตำลึง!”
“หลังจากนั้นเล่า”
“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป ก็จะตัดขาดความสัมพันธ์กับนางโดยสิ้นเชิง หลังจากนี้ไม่ว่าใครก็ไม่มีความเกี่ยวข้องกันอีก”
“ดังนั้นเล่า”
เมิ่งชิงก้มศีรษะลงต่ำ ผ่านไปครู่หนึ่งก็เงยศีรษะขึ้นมาเอ่ยว่า “ท่านพี่โยวเอ๋อร์ ข้าผิดไปแล้ว ข้าไม่ควรจะ…”
เมิ่งเชี่ยนโยวตัดบทเขา “พูดวาจาไร้สาระอันใดของเจ้า ข้าถามถึงแผนการของเจ้า!”
“ข้า…”
เมิ่งชิงกำมือทั้งสองข้างแน่น เสียงก็ทุ้มต่ำลงไปอีกทั้งยังแฝงไปด้วยความรู้สึกเสียใจในภายหลังและการตำหนิตนเองอย่างลึกซึ้ง “ข้าตัดสินใจเรียบร้อยแล้ว นับตั้งแต่ตัดขาดความสัมพันธ์กับนาง ก็ไม่มีความเกี่ยวข้องอันใดกันอีก”
“อี้เอ๋อร์ นำกล่องไม้จื่อถาน[1]ที่อยู่กลางห้องนั่นมาให้ข้า”
หวงฝู่อี้รับคำสั่ง หมุนตัวเดินออกไปและยกกล่องไม้จื่อถานเข้ามาวางลงบนโต๊ะตรงหน้าเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างรวดเร็ว
เมิ่งเชี่ยนโยวเปิดฝากล่อง หยิบตั๋วเงินห้าหมื่นตำลึงออกมาจากด้านใน “นำตั๋วเงินพวกนี้ไป ส่วนที่เหลือเจ้ารู้ว่าควรจะทำเช่นไร!”
เมิ่งชิงลนลานเอ่ย “ท่านพี่โยวเอ๋อร์ ข้ามีเงิน ตัวข้าเอง…”
เมิ่งเชี่ยนโยวกวาดสายตามองมา เมิ่งชิงก็หุบปากเงียบทันทีและรับตั๋วเงินมาอย่างเชื่อฟังโดยไม่กล้าเอ่ยอันใดอีก
“นี่เป็นครั้งแรกและจะเป็นครั้งสุดท้าย หากว่าหลังจากนี้เจ้ากล้าทำให้ท่านปู่มีโทสะ แซ่เมิ่งนี้เจ้าก็ไม่ต้องใช้แล้ว”
หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม เมิ่งชิงก็เดินโซเซเข้าไปในร้านหนังสือ จั่งกุ้ยมองเขาอ้าปากค้าง
“ไปตามคนมาคัดลอกให้ข้าอีกหนึ่งร้อยฉบับ”
เมิ่งชิงเอ่ยสั่งทันที
จั่งกุ้ยตะลึงค้างไม่ขยับ
เมิ่งชิงขมวดคิ้ว “ทำไม ไม่ได้หรือ”
จั่งกุ้ยได้สติกลับมา “ได้ๆๆ ท่านรองแม่ทัพกรุณารอสักประเดี๋ยว ข้าจะรีบสั่งให้เสี่ยวเอ้อร์ไปเรียกคนเดี๋ยวนี้ขอรับ”
เหล่าศิษย์ที่ได้รับเงินกำลังดีใจกันอยู่ เมื่อได้ยินเสี่ยวเอ้อร์มาเรียกคน ก็ตามไปด้วยความยินดี แต่เมื่อเห็นเมิ่งชิงอีกครั้งก็พากันชะงักฝีเท้า ในใจก็เกิดความคิดที่ไม่ดีอย่างหนึ่งว่าท่านรองแม่ทัพเมิ่งคงจะไม่ได้เสียใจในภายหลัง คิดจะเอาเงินกลับไปหรอกนะ
“ข้าพูด ส่วนพวกเจ้าคัดและคัดลอกให้ข้าอีกหนึ่งร้อยฉบับ พร้อมกับนำไปติดตามสถานที่เดิม เงินก็เหมือนกับเมื่อครู่นี้”
ศิษย์ทั้งหลายได้สติกลับคืนมาก็ไปนั่งยังสถานที่ที่ตนเองนั่งเป็นประจำด้วยท่าทางดีใจเป็นบ้าเป็นหลัง เมื่อวางกระดาษเสร็จก็หยิบพู่กันขึ้นมาจุ่มน้ำหมึก รอเมิ่งชิงกล่าววาจาอย่างตื่นเต้น แต่รอจนถึงยามที่เขียนไปได้ครึ่งหนึ่ง สีหน้าของพวกเขาก็พากันซีดเผือด มือก็สั่นเทา มีศิษย์บางคนถึงขั้นที่ภาพเบื้องหน้ามืดเป็นระยะ ภายในหนึ่งวันได้รับความตื่นตระหนกถึงสองครั้ง ไม่ว่าใครก็รับไม่ไหวกันทั้งนั้น
เมิ่งชิงเห็นสีหน้าหน้าของพวกเขาแต่กลับไม่สนใจ เอ่ยในสิ่งที่ตนเองต้องการจะกล่าวออกมาจนหมด และสุดท้ายก็เอ่ยว่า “ตัวอักษรของพวกเจ้าต้องบรรจงและสุภาพ ต้องให้ผู้คนทั้งหมดมองเห็นได้อย่างชัดเจน”
มือของศิษย์ทุกคนล้วนสั่นระริก จะเขียนให้บรรจงได้เช่นไรกัน แต่ละคนร้องโอดครวญในใจและมองไปทางจั่งกุ้ย
จั่งกุ้ยนั้นมีท่าทีสงบนิ่งกว่ามาก ผงกศีรษะให้กับพวกเขาเป็นการบอกให้พวกเขาปฏิบัติตามนั้นเป็นใช้ได้
เหล่าศิษย์พากันสูดหายใจลึกอยู่หลายครั้งเพื่อทำให้ใจสงบนิ่ง ก่อนจะลงมือคัดตัวอักษรตามเงื่อนไขของเมิ่งชิงและส่งให้เขาดู
เมิ่งชิงหยิบตั๋วเงินออกมาวางบนโต๊ะคิดเงินและสั่งว่า “นำประกาศที่อยู่ในมือของพวกเจ้าออกไปติดให้เรียบร้อยภายในเวลาครึ่งก้านธูป”
ศิษย์ทุกคนสบตากันและพากันหยิบประกาศที่ต้องติดของตนเองวิ่งออกไปข้างนอก
เมิ่งชิงหมุนกายเดินออกมาจากร้านหนังสือ พลิกตัวขึ้นหลังม้าและค่อยๆ เดินไปถึงหน้าจวนพักอาศัยของหลี่ชุ่ยฮวาอย่างเชื่องช้า
ภายในเวลาชั่วครู่หนึ่ง ก็มีประกาศใหม่ถูกติดอีกครั้ง ชาวบ้านในเมืองหลวงรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก พากันสืบดู และเมื่อได้ยินว่าเป็นหนังสือตัดขาดความสัมพันธ์ของท่านรองแม่ทัพเมิ่งกับมารดาตนเอง ก็พากันกรูไปที่นั่นโดยไม่ได้นัดหมาย
รอจนเมิ่งชิงมาถึง หน้าจวนก็อัดแน่นไปด้วยผู้คนแล้ว เมื่อเห็นเขาขี่ม้าเดินเข้ามา คนที่มามุงดูก็เปิดทางให้เป็นถนนสายหนึ่งให้เมิ่งชิงขี่ม้าไปถึงหน้าประตูจวน
บ่าวเฝ้าประตูไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นจึงถูกกลุ่มคนมากมายกลุ่มนี้ทำให้ตื่นตระหนก แต่เมื่อเห็นเมิ่งชิงกลับมาก็ราวกับได้พบผู้ช่วยชีวิตจึงรีบรุดหน้าขึ้นมารายงาน “คุณชาย นี่…”
“ไปแจ้งว่าให้พวกคนตระกูลหลี่ออกมา!”
น้ำเสียงเขาทุ้มต่ำ บ่าวรับใช้ที่ได้ยินใจสั่นรีบหมุนกายวิ่งเข้าไปรายงานด้วยความรวดเร็ว
[1] ไม้จื่อถาน หรือที่เรียกกันว่าไม้จันทน์แดง เป็นไม้เขตร้อน มีเนื้อแน่นและหนัก