ตอนที่ 1047 ปฏิบัติการจู่โจมสายฟ้าแลบ (3)

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 1047 ปฏิบัติการจู่โจมสายฟ้าแลบ (3)

ม้าศึกถูกควบออกไปอย่างรวดเร็วภายใต้ราตรีอันมืดมิด

เสียงลมหวีดหวิวดังกระทบข้างหู เสียงอาภรณ์กระทบลมดังพรึบ ๆ หยาดเหงื่อไหลอาบไปตามเรือนร่าง

ท่าป๋าเฟิงชื่นชอบความรู้สึกนี้มากยิ่งนัก

ในชั่วอึดใจนั้น เขาได้ค้นพบความจริงบางอย่าง…ว่านี่แหละคือชีวิตที่เขาโปรดปรานมากที่สุด

โปรดปรานมากยิ่งกว่าตอนที่ยังดำรงตำแหน่งจักรพรรดิเสียอีก หรือว่านี่จะเป็นอิสระจากการค้นหาตัวตนแบบที่ฟู่เสี่ยวกวนเคยเอ่ยถึง ?

เขานำทัพทหารม้าที่เพิ่งผ่านการฝึกได้เพียงแค่ครึ่งปีเท่านั้นออกไป กองกำลังของเขาพุ่งทะยานไปเบื้องหน้าราวกับสายน้ำที่เชี่ยวกราด เขามีความเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าเมื่อกองทัพใดในผืนปฐพีมาเผชิญหน้ากับกองทัพของตน กองทัพนั้นจะต้องพ่ายแพ้ไป และกองทัพที่ว่านั้นจะเป็นต้องเป็นกองทัพที่นอกเหนือจากกองทัพทหารบกและกองทัพทหารเรือของต้าเซี่ย

นี่เป็นคราแรกที่เขานำกองทัพออกรบแนวหน้า ในมุมมองของเขา…เขาเชื่อว่าเมื่อศึกครานี้สิ้นสุดลง ต้าเซี่ยจะมิมีศึกทางบกไปอีกร้อย ๆ ปี

เพราะศึกครานี้ คือการประกาศแสงยานุภาพทางการทหารให้แก่ใต้หล้าได้ทราบกันถ้วนทั่ว !

เขามิรู้ว่ายังมีทหารม้าอีกสองกองพลที่เคลื่อนพลนำหน้าเขาไปแล้ว ซึ่งนั่นก็คือทหารม้าของกองทัพที่หนึ่งที่ถูกส่งล่วงหน้าไปก่อน

……

……

ณ อีกฝั่งของด่านเม่าซาน จ่งตูเขตปกครองตนเองซีเซี่ย ท่าป๋าวั่งกำลังนั่งสนทนาอยู่กับหยูเวิ่นเทียนในกระโจมแม่ทัพ

หลังจากที่สายลับได้รายงานความเคลื่อนไหวของข้าศึกไปราวสิบอึดใจ ดวงตาของเขาก็เบิกโพลงด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ “กองทัพราชวงศ์เหลียวกำลังถอยทัพเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“เรียนท่านจ่งตู…ใช่ขอรับ ! ”

“ท่านแม่ทัพกวนเสี่ยวซีและท่านแม่ทัพท่าป๋าเฟิงกำลังเร่งตามไปใช่หรือไม่ ? ”

“ใช่ ! กองทัพของท่านแม่ทัพท่าป๋าเฟิงนั้นเป็นทหารม้า คาดว่าจะไล่ตามกองทัพของท่านแม่ทัพกวนเสี่ยวซีได้ในมิช้า”

บัดซบ ! ท่าป๋าวั่งมิเข้าใจว่าเกิดอันใดขึ้นกับกองทัพของราชวงศ์เหลียวกันแน่ ? หรือว่าจะกลัวกองทัพต้าเซี่ยจนหัวหดแล้วหนีไป ?

แต่ก็ดูเหมือนจะมิสมเหตุสมผลเท่าใดนัก เพราะกองทัพฝ่ายศัตรูได้ทราบข่าวการมาถึงของกองทัพต้าเซี่ยตั้งแต่เนิ่น ๆ แล้ว เหตุใดถึงมิหนีเสียตั้งแต่ตอนนั้น เหตุใดเพิ่งจะมาหนีเอาป่านนี้ ?

หยูเวิ่นเทียนเองก็มิเข้าใจ เขาครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็หันไปเอ่ยกับท่าป๋าฮวงแม่ทัพทหารม้าแห่งซีเซี่ย “ไปกันเถิด… พวกเราออกไปดูสถานการณ์อีกฝั่งของด่านเม่าซานกัน”

“ข้า…ก็จะไปด้วย ! ”

“ได้ ! ”

เพียงชั่วอึดใจเดียว ฐานทัพของทั้งสองกองทัพก็ไร้ซึ่งเงาของผู้คนแม้แต่คนเดียวและได้หวนคืนสู่ความสงบอีกครา

……

บนทุ่งหญ้าอันมืดมิดไร้ซึ่งแสงสว่าง

หยูติ้งชานและหยูติ้งเหอสองพี่น้องได้นำทหารสองกองพลรวมทั้งสิ้น 5,000 นายของตนรุกคืบเข้าไปหาศัตรู

ครึ่งชั่วยามหลังจากนั้น พวกเขาก็มองเห็นแสงไฟส่องสว่างอยู่เบื้องหน้า

แสงไฟลุกโชนเจิดจ้า ศัตรูต้องกำลังเผาหญ้าและเสบียงอยู่เป็นแน่

“ถ่ายทอดคำสั่ง…เตรียมตัวรบ ! ”

บัดนี้ความฮึกเหิมได้เดือดพลุ่งพล่านท่วมท้นอยู่ภายในอกของสองพี่น้องแซ่หยู

นี่คือศึกคราแรกตั้งแต่ที่เขาเข้าร่วมกับกองทัพดาบเทวะ !

และนี่ก็เป็นศึกครั้งสำคัญที่จะนำชื่อเสียงมาให้พวกตน !

ลูกวัวน้อยเพิ่งคลอดย่อมมิกลัวเสือ พวกเขาลืมไปเสียสนิทว่าศัตรูที่ตนกำลังเผชิญหน้าอยู่นั้นมีจำนวนกว่าสามแสนคน !

ห้าพันต่อสามแสน ต่อให้เผิงยวี๋เยี่ยนมารบแนวหน้าด้วยตนเอง นางก็คงจะพิจารณาการเผชิญหน้าครานี้ให้ละเอียดรอบคอบอีกครา

ทว่าสองพี่น้องกลับมิคิดอันใด ความคิดเดียวที่เขามีคือใช้ดาบที่ถืออยู่ในมือฝ่าทะลุแนวป้องกันของข้าศึกไปให้ได้ !

ดั่งที่แม่เคยสอนให้พวกเขาทำ เป็นทหารม้า…หนึ่งคือต้องดูทรงพลัง !

สองต้องข่มขวัญศัตรู สามต้องทำให้ศัตรูหวาดกลัวจนขวัญกระเจิง !

กองพลของเขาเคลื่อนไหวช้าลงเล็กน้อย พวกเขาค่อย ๆ เคลื่อนพลใกล้เข้าไปเรื่อย ๆ ยิ่งใกล้มากเท่าใด แสงไฟก็ยิ่งสว่างจ้ามากขึ้นเท่านั้น พวกเขามองเห็นศัตรูกำลังชุลมุนวุ่นวายอยู่เบื้องหน้าซึ่งมีระยะห่างเพียง 1 ลี้เท่านั้น !

“บุกโจมตี… ! ”

ชริ้ง ๆ ๆ ๆ… !

ดาบห้าพันเล่มถูกชักออกมาจากฝักในชั่วอึดใจเดียว ดาบยาวสะท้อนแสงไฟส่องระยับแวววาว

“รายงานองค์ชาย…ข้าศึกบุก ! ข้าศึกบุกพ่ะย่ะค่ะ ! ”

เยลู่ฮัวรู้สึกงุนงงมากยิ่งนัก เพราะเขามิรู้ว่าข้าศึกได้ยกทัพมาจากที่ใด ?

เขาหันหลังกลับไป จากนั้นก็ยกกล้องส่องทางไกลขึ้นมามอง

ท่ามกลางกองไฟที่แผดเผาอยู่นั้น มิรู้ว่าทหารม้าที่กำลังมุ่งหน้ามาทางนี้มีจำนวนเท่าใดกันแน่

เขายังมิทันได้ออกคำสั่งใด ก็เห็นทหารม้าของข้าศึกชักดาบขึ้นมาเตรียมจู่โจมอยู่ไกล ๆ

“รับมือกับข้าศึก เตรียมรับมือกับข้าศึก… ! ”

เขาออกคำสั่ง… คำสั่งยังมิทันได้ส่งต่อให้ทราบกันถ้วนทั่วเลยด้วยซ้ำ ดาบคม ๆ ของหยูติ้งชานและหยูติ้งเหอก็ได้ฟาดฟันลงบนเรือนร่างของทหารฝ่ายตนแล้ว

โลหิตสีแดงสดสาดกระเซ็นไปทั่วทั้งพื้น กองหลังของศัตรูเป็นทหารราบ

พวกเขาจู่โจมเร็วเสียยิ่งกว่าคันศรธนู เร็วดั่งกระแสคลื่นยักษ์ที่ซัดกระหน่ำเข้ามากวาดล้างทุกสรรพสิ่ง และกองทัพที่เขากำลังเผชิญหน้าอยู่นั้นก็คือกองทัพใหญ่ที่มีทหารมากถึง 300,000 นาย !

มิว่าจะเป็นซ้ายขวาหน้าหลัง มองไปทางใดก็มีแต่ศัตรูที่จู่โจมเข้ามา !

เยลู่ฮัวตื่นตกใจจนต้องกระโดดพรวดขึ้นไปบนหลังคาของรถม้า “กองทัพฝ่ายซ้ายถูกตัดขาดจากกองทัพฝ่ายกลาง ข้าศึกพวกนี้กล้าหาญมากยิ่งนัก มีกันแค่มิกี่พันคนริอ่านจะมาโจมตีกองทัพของข้า สังหารพวกมันให้หมด ! ”

แน่นอนว่ากองหลังมิอาจต้านทานพลังการจู่โจมนี้ได้ เมื่อชุลมุนกันอยู่ครู่หนึ่ง กองหลังทั้งสองหมื่นคนก็ถูกปราบจนราบคาบ

ในขณะเดียวกัน กองทัพฝ่ายซ้ายก็เริ่มตอบโต้กลับมา พวกเขารุดเข้ามาด้านหลังของกองทัพกลาง ทำให้กลายเป็นกองหน้าจากนั้นก็ตั้งรับขึ้นมา ล้อมรอบกองพลหทารม้าของหยูติ้งชานและหยูติ้งเหอเอาไว้ได้

“ล้อมพวกมันเอาไว้ สังหารพวกมันให้หมดอย่าให้เหลือรอดไปแม้แต่คนเดียว ! ” เยลู่ฮัวชักดาบขึ้นมาพลางแผดเสียงคำรามลั่น

สองพี่น้องหยูติ้งชานและหยูติ้งเหอร่วมสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ ร่างของพวกเขาอาบไปด้วยโลหิตตั้งแต่เพิ่งเริ่มศึก ซึ่งแน่นอนว่ามิใช่โลหิตของพวกเขา ทว่าเป็นโลหิตของศัตรู

ตอนนี้เองพวกเขาถึงได้ค้นพบว่าข้าศึกมีมากเกินครณามือ !

“ถ่ายทอดคำสั่ง รวมกลุ่มสังหารศัตรูเพื่อฝ่าวงล้อมออกไป ! ”

การรวมกลุ่มสังหารศัตรูเป็นยุทธวิธีการรบรูปแบบใหม่ที่สองพี่น้องแซ่หยูเป็นคนคิดค้นขึ้นมา ซึ่งดัดแปลงมาจากยุทธวิธีของกองทัพดาบเทวะ ทั้งยังผสมผสานเข้ากับการพุ่งโจมตีของทหารม้า ยุทธวิธีนี้จะใช้ได้กับทหารม้าที่มีความสามารถสูงเท่านั้น ในกองทัพทหารบกที่หนึ่งมีเพียงทหารม้า 5,000 นายนี้ที่สามารถใช้ได้เพราะพวกเขาได้ฝึกฝนยุทธวิธีดังกล่าวจนเชี่ยวชาญเป็นอย่างดีแล้ว

ทหารม้า 5,000 นายรวมเป็นหนึ่งขบวน ความเร็วในการรุกเข้าไปหาศัตรูอาจจะช้าลง แต่ก็มิได้หยุดชะงักแต่อย่างใด

ดาบยาวกวัดแกว่งไปมา คอยเก็บดวงวิญญาณของข้าศึก

พวกเขาล้วนสวมชุดเกราะสีเงิน อาวุธของข้าศึกแทบจะมิมีผลอันใดกับพวกเขา

จิตใจของเยลู่หานห่อเหี่ยวขึ้นมาทันใด เพราะมิว่าจะสู้กับพวกเขาเยี่ยงไร ก็มิอาจสังหารพวกเขาให้ตายได้สักที !

“สังหารม้าศึกของพวกมัน ! ”

ช่างหน้าเสียดายที่ม้าศึกมิได้สวมชุดเกราะเฉกเช่นเดียวกันกับทหาร

ผ่านไปชั่วครู่ ม้าศึกหลายตัวได้ล้มลงกับพื้น ทหารม้ากลายสภาพมาเป็นทหารราบ แม้จะเป็นทหารราบ ทว่าพวกเขาก็ยังบุกเข้าโจมตีศัตรูโดยใช้ยุทธวิธีการรบแบบเดียวกับทหารม้า และดูเหมือนว่าจะเร็วยิ่งกว่าเดิมเสียอีก

เยลู่ฮัวรู้สึกหมดคำเอ่ย ทหารฝ่ายตนก็เอาดาบฟาดฟันไปที่ร่างของศัตรูแล้วแท้ ๆ ทว่าเหตุใดพวกมันถึงตกตายไปเพียงแค่มิกี่คนเท่านั้นเอง ?

ข้าศึกมิสนใจที่จะคุ้มกันตนเองราวกับมิรักตัวกลัวตาย พวกเขาใช้ชีวิตของตนเองแลกกับชีวิตของทหารฝ่ายตน แต่ผลปรากฏว่าทหารที่ตกตายส่วนมากเป็นทหารของฝ่ายตนเสียมากกว่า ฝ่ายข้าศึกแทบจะมิมีแม้กระทั่งบาดแผลเลยด้วยซ้ำ !

นี่มัน…เขาอ้าปากค้างด้วยความตื่นตกใจ จากนั้นก็หันไปหากั้วยวี่ชานที่อยู่ข้างกาย “ศึกครานี้จะสู้เยี่ยงไรต่อไปดี ? ”

กั้วยวี่ชานเองก็มิเคยเห็นมนุษย์ที่หนังเหนียวฟันมิเข้าเช่นนี้มาก่อน สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความสับสนงุนงงอย่างเห็นได้ชัด

“หรือว่า…ให้พวกเขากันข้าศึกเอาไว้ก่อน ส่วนพวกเราก็ถอนกำลังแล้วรีบหนีไป ! ”

ถ้าหากมิใช่เพราะว่ากำลังเผชิญหน้ากับข้าศึกที่เหนือกว่าอยู่ เยลู่ฮัวคงจะบั่นศีรษะของกั้วยวี่ชานเป็นแน่ ทว่าบัดนี้เมื่อยิ่งดูสถานการณ์ จิตใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวและสิ้นหวัง ดูเหมือนข้าศึกจะรุกเข้ามาได้อีก 10 จั้งแล้ว !

แม้ข้าศึกจะมีจำนวนเพียงหยิบมือ แต่พวกเขาแทบจะมิลดน้อยลงไปเลย !

บัดซบ ! กองทัพต้าเซี่ยเก่งกาจถึงเพียงนี้เชียวหรือ ?

ชุดเกราะของพวกมันแข็งแกร่งจนดาบฟันมิเข้าเลยหรือ ?

ทันใดนั้นเขาก็คิดถึงคำเอ่ยห้ามปรามอย่างสุดความสามารถของเยลู่ตานขึ้นมาทันใด เขาเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่า เหตุใดกองทัพ 450,000 นายที่ภูเขาต้าเซียนเปยถึงมิกล้าบุ่มบ่ามลงมา

กองทัพอสนีบาตที่ภูเขาต้าเซียนเปยกำลังรอติดตั้งชุดเกราะ คาดว่าชุดเกราะนั่นก็คงเป็นเหมือนที่ทหารเหล่านี้สวมใส่อยู่

อาวุธของพวกเขา มิอาจทำอันใดชุดเกราะพวกนี้ได้ การที่พวกเขาต้องมุดหัวอยู่ในกระดองมิใช่เพราะพวกเขาหวาดกลัว ทว่าเป็นเพราะมิอยากเป็นเหมือนตนในตอนนี้ ที่ต้องต่อสู้อย่างไร้ความหมาย

ห้าพันคนสังหารสามแสนคน บัดนี้เยลู่ฮัวเชื่ออย่างสุดใจแล้ว ทั้งยังเกิดความหวาดกลัวขึ้นมาเสียเต็มประดา

“สกัดพวกมันเอาไว้ กองทัพกลางและกองทัพฝั่งขวาให้ตามข้ากลับไปยังเมืองต้าติ้ง ! ”

เยลู่หานหดหู่เสียเต็มประดา พวกเจ้ามาช่วยกันสิ ตั้ง 300,000 คน เหตุใดถึงให้ฝั่งตนต่อสู้อยู่ฝ่ายเดียว !

เขาเห็นกองทัพที่เหลือจากไปต่อหน้าต่อตา เห็นกองทัพฝั่งซ้ายที่ตนเพิ่งรับช่วงต่อได้เพียงแค่ 1 ชั่วยามล้มตายไปต่อหน้าต่อตา !

“ไร้ประโยชน์ ! ข้ามิอยากสู้รบเช่นนี้แล้ว ข้าขอยอมแพ้…”