ตอนที่ 1048 องค์ชายรองตกตะลึง

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 1048 องค์ชายรองตกตะลึง

ณ พระราชวังต้าติ้ง

ในห้องทรงพระอักษร ฮ่องเต้เยลู่ชิงและโอรสองค์ที่ห้านั่งจ้องตากันโดยที่มิรู้ว่าจะทำเยี่ยงไรดี

“เสด็จพ่อ…หากท่านมิเรียกพี่รองเข้ามาล่ะก็ พระราชวังจะต้องแตกเป็นแน่ ! ”

“จะแตกก็แตกไปเถิด นี่คือแคว้นของเจิ้น เจ้ามายุ่งอันใดด้วย ? ”

เยลู่ซ่วยผงะ “บัดนี้ข้ามิได้ต้องการแคว้นของท่านแล้ว ข้าแค่ต้องการที่จะมีชีวิตอยู่ ! ท่านมีพระชนมพรรษา 70 จวนจะ 80 พรรษาแล้ว ท่านมีชีวิตยืนยาวพอแล้ว ทว่าข้าเพิ่งจะ 25 พรรษาเท่านั้นเอง ! ”

เยลู่ชิงหัวเราะร่า

จากนั้นก็หันไปต้มชาต่อโดยมิแยแส !

พี่รองได้ล้อมพระราชวังเอาไว้แล้ว ถ้าหากพี่ใหญ่ทราบข่าวนี้ เขาจะรีบกลับมาจากสนามรบแนวหน้าหรือไม่ ?

เพราะจากด่านเม่าซานมาถึงที่นี่ต้องใช้เวลานานถึง 10 วันเลยทีเดียว ถ้าหากเขากลับมาแล้วค้นพบว่าพระราชวังต้าติ้งได้ตกอยู่ในกำมือของซูฉางเซิง แล้วเขาจะทำเยี่ยงไรต่อไป ?

แล้วซูฉางเซิงจะทำเยี่ยงไรเมื่อเห็นเขากลับมา ?

หากต้องส่งมอบราชวงศ์เหลียวให้บรรดาโอรสที่มิเอาอ่าวพวกนี้ สู้ส่งมอบให้ซูฉางเซิงไปเลยมิดีกว่าหรือ

ราชวงศ์เหลียวภายใต้การนำของซูฉางเซิง ก็อาจจะมีความสามารถมากพอที่จะสู้รบกับต้าเซี่ยก็เป็นได้ !

นี่คือสิ่งที่เยลู่ชิงกำลังคิดอยู่ เพียงแต่โอรสทั้งสามของเขามิรู้ก็เท่านั้นเอง

อยากรบก็รบไปเถิด เมื่อทหารรักษาเมืองและทหารรักษาพระราชวังรบกันเข้าด้ายเข้าเข็ม ตอนนั้นซูฉางเซิงก็คงมาถึงที่นี่พอดี

ทว่าสถานการณ์จริง ๆ กลับมิเป็นดั่งที่เยลู่ชิงคาดการณ์เอาไว้

……

……

ซุยเยว่หมิงพาเฮ้อซานเตาและองครักษ์อีก 1,000 นายมาหยุดอยู่เบื้องหน้าเยลู่ซู่องค์ชายรอง

และในขณะเดียวกันนั้นเอง ถังเชียนจวินก็ได้นำหน่วยรบนาวิกโยธินจำนวน 20,000 นายเหาะขึ้นไปบนกำแพงของพระราชวังราวกับค้างคาวท่ามกลางสายตาหวาดกลัวขององค์ชายรองและทหารของทุกฝ่าย

หลังจากนั้นเสียงร้องโหยหวนก็ดังขึ้นมามิขาดสาย

นี่… นี่มันเกิดอันใดขึ้นกัน ?

ซุยเยว่หมิงยกยิ้มและประคองสองมือขึ้นคารวะ “องค์ชายรอง กระหม่อมขอแนะนำให้พระองค์รู้จัก…”

เขายกนิ้วชี้ไปทางเฮ้อซานเตา “ท่านนี้คือแม่ทัพหน่วยรบนาวิกโยธินอันเลื่องชื่อลือชาของต้าเซี่ย เขามีนามว่าเฮ้อซานเตา ! ”

“ส่วนท่านนี้ก็คือองค์ชายรองแห่งราชวงศ์เหลียวเยลู่ซู่”

เฮ้อซานเตายิ้มหน้าระรื่นพลางยื่นมือออกไปทักทาย เขาคิดว่าซุยเยว่หมิงได้เจรจากับองค์ชายรองผู้นี้เอาไว้แล้ว คาดมิถึงว่าบัดนี้เยลู่ซู่จะมองเฮ้อซานเตาราวกับเห็นผีอย่างไรอย่างนั้น

“เจ้า เจ้า…เจ้าคือผู้บัญชาการทหารของต้าเซี่ยเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“องค์ชายรอง เมืองนี้ใกล้จะแตกเต็มทีแล้ว อีกประเดี๋ยวพวกเราจะเข้าไปจับตัวเสด็จพ่อของท่านออกมาด้วยกัน ! ” เฮ้อซานเตาตอบกลับด้วยความมึนงง

เยลู่ซู่กลืนน้ำลายหนึ่งอึก พลันเข้าใจสถานการณ์ขึ้นมาทันใด

เขาหันไปมองซุยเยว่หมิง บัดนี้ซุยเยว่หมิงได้ส่งยิ้มมาให้เขา “องค์ชายรอง ผู้รู้สถานการณ์คือผู้ที่มีสติปัญญาเป็นเลิศ บัดนี้พระองค์สามารถเลือกได้”

ข้าจะเลือกอันใดได้อีกกัน ?

บัดนี้มิใช่ว่าถูกทหารของเฮ้อซานเตาล้อมเอาไว้หมดแล้วหรอกหรือ แต่ละคนต่างสวมชุดเกราะ ทั้งยังแบกดาบใหญ่ด้วยท่าทีดุร้ายน่ากลัว หากอ้าปากเอ่ยอันใดออกไป…เกรงว่าจะถูกตัดศีรษะจนขาดร่วงลงไปกับพื้น !

มือที่เฮ้อซานเตายื่นออกไปยังคงค้างอยู่อย่างนั้น เมื่อได้ยินสิ่งที่สองคนนั้นสนทนากัน เขาก็เข้าใจได้ในทันทีว่านี่คือแผนการฉุกละหุกของซุยเยว่หมิง

ดาบในมือของเขาปักลงไปบนพื้นเสียงดัง “ฉึก ! ” ทำเอาเยลู่ซู่ตื่นตกใจเสียจนหน้าซีดเผือด

เขาใช้มือข้างขวาที่เคยถือดาบตบลงไปที่บ่าของเยลู่ซู่ จากนั้นก็คว้ามือขวาของเยลู่ซู่มาสอดเข้าไปในมือซ้ายของตนเอง การจับมือระหว่างทั้งสองฝ่ายก็ถือเป็นอันเสร็จสิ้น

“ตามธรรมเนียมของต้าเซี่ย เมื่อจับมือกันแล้วก็หมายความว่าเป็นพวกเดียวกันแล้ว องค์ชายรอง…ให้ทหารของท่านล้อมพระราชวังแห่งนี้เอาไว้ให้ดี สั่งการพวกเขาว่าคอยจับตาไว้ให้ดี ห้ามให้เสด็จพ่อของท่านหนีไปได้เป็นอันขาด ส่วนที่เหลือก็ให้เป็นหน้าที่ของข้าเอง ! ”

เยลู่ซู่กลืนน้ำลายอีกหนึ่งอึก ทันใดนั้นเขาก็ค้นพบว่าเสียงการสู้รบด้านในกำแพงได้เงียบลงไปแล้ว

และเมื่อหันไปมองก็เห็นว่า…ทหารรักษาเมืองที่อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของตนนามว่าหยวนเปียว กำลังปรี่เข้ามาหาเขาอย่างรวดเร็ว

“องค์ชายรอง องค์ชายรองพ่ะย่ะค่ะ…”

หยวนเปียวเผยสีหน้าดีใจออกมา “ขอแสดงความยินดีต่อองค์ชายรองด้วยพ่ะย่ะค่ะ ! กองกำลังพันธมิตรของพระองค์นั้นเก่งกาจมากยิ่งนัก พวกเขา… พวกเขาเป็นกองกำลังด้านใดเยี่ยงนั้นหรือ ? พระองค์ลองทอดพระเนตรดูเถิด พระราชวังที่พวกเราพยายามตีอยู่เนิ่นนาน บัดนี้ถูกตีจนแตกพ่ายแล้ว ! ”

เยลู่ซู่หันไปมองทางประตูพระราชวัง ที่บัดนี้ค่อย ๆ เปิดออกอย่างช้า ๆ

ให้ตายเถิด !

นี่มันเพิ่งจะผ่านไปกี่เค่อเท่านั้นเอง ?

ทหารด้านในพ่ายแพ้ภายในเวลาเพียงแค่ 1 เค่อเยี่ยงนั้นหรือ ?

ประตูทั้งสามด้านก็คงจะถูกเปิดออกแล้วเช่นกัน

“องค์ชายรองเชิญเถิด ! ”

ซุยเยว่หมิงผายมือให้กับเขา เยลู่ซู่อ้าปากค้างด้วยความตื่นตกใจ เพราะนี่หมายความว่าเขาตกเป็นเชลยศึกของต้าเซี่ยอย่างเป็นทางการแล้ว !

ข้ายังมีกองทัพฝ่ายเหนืออีก 200,000 นายที่กำลังจะมาถึงในรุ่งเช้า นี่… นี่… นี่เท่ากับว่าทุกอย่างสูญเปล่าแล้วสินะ !

เฮ้อซานเตาเรียกองค์รักษ์ 1,000 นายตามเยลู่ซู่เข้าไปในพระราชวัง จากนั้นก็หันมายิ้มจนตาหยีกับหยวนเปียวด้วยความรู้สึกประหลาดใจ “น้องชาย เจ้ามีนามว่าเยี่ยงไร ? เจ้ารับตำแหน่งใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“อ่า…ข้ามีแซ่ว่าหยวนนามว่าเปียว ข้าเป็นนายพลของกองทัพรักษาเมืองต้าติ้ง พี่ชายมีนามว่าเยี่ยงไรหรือ ? เหตุใดถึงดูคุ้นหน้าคุ้นตาถึงเพียงนี้ ? ”

เฮ้อซานเตาตบบ่าของหยวนเปียวแล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “น้องชายข้าชื่อว่าเฮ้อซานเตา ข้าเพิ่งเดินทางมาถึง…ข้าว่านะน้องชาย เจ้าควรคุ้มกันประตูพระราชวังเอาไว้ให้ดี อย่าให้ผู้ใดหลุดออกไปได้แม้แต่คนเดียว มิเช่นนั้นฮ่องเต้พระองค์นั้นจะหนีออกมา องค์ชายรองต้องลงโทษเจ้าเป็นแน่หากเขาหนีไปได้ ! ”

“พี่เฮ้อเอ่ยได้มีเหตุผลยิ่งนัก ประเดี๋ยวน้องชายจะออกไปลาดตระเวนดูให้ดี”

“อืม…เมื่อสถานการณ์กลับมาเป็นปกติเมื่อใด พวกเราค่อยมาดื่มสุราด้วยกัน ! ”

“ขอบคุณพี่เฮ้อ ! ”

ทั้งสองจากลากันด้วยความนับถือ เฮ้อซานเตาดึงดาบที่ปักอยู่ขึ้นมา จากนั้นก็นำองค์รักษ์ที่เหลือเดินเข้าประตูพระราชวังไป

สถานการณ์ด้านในได้สงบลงแล้ว

ด้วยพลังการต่อสู้อันแข็งแกร่งของหน่วยรบนาวิกโยธิน จึงทำให้มิต้องเสียกระสุนไปแม้แต่นัดเดียว เพราะมิมีผู้ใดสามารถต้านทานดาบของพวกเขาได้เลยสักคน

ทหารรักษาพระราชวัง 50,000 นายถูกพวกเขาสังหาร 2,000 นาย ส่วนคนอื่น ๆ ที่เหลือยอมทิ้งอาวุธยกธงขาว ศึกครานี้จึงยุติลง พวกเขาสามารถเหาะเหินเดินอากาศทั้งยังฟันแทงมิเข้าอีกด้วย ถ้าหากยังมิตาบอดก็คงมองสถานการณ์ออกว่าผลลัพธ์จะเป็นเยี่ยงไรต่อไปหากยังดึงดันที่จะสู้ต่อ

ถังเชียนจวินได้สั่งการให้ทหาร 10,000 นายกวาดต้อนเชลยศึกทั้งหมด จากนั้นก็นำทหารที่เหลือเข้าไปกวาดล้างพระราชวัง โดยเฉพาะคลังหลวงที่ท่านแม่ทัพได้กำชับเป็นหนักเป็นหนา

เฮ้อซานเตาตรงเข้าไปยังห้องทรงพระอักษรภายใต้การนำทางของซุยเยว่หมิง

บรรยากาศในห้องทรงพระอักษรดูแปลกประหลาดเสียจริง

เยลู่ชิงจ้องมองขันทีตาเขม็ง “เจ้าว่าเยี่ยงไรนะ ? ”

“ฝ่าบาท…” ขันทีผู้นั้นคุกเข่าลงกับพื้นพร้อมกับร้องไห้โฮออกมา “พวกเขา… พวกเขาเหินลงมาจากบนท้องนภาจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ พวกเขาฟันแทงมิเข้า ! เมื่อพวกเขาเข้ามาในกำแพงพระราชวังก็ได้ลงมือตัดศีรษะทหารของพวกเรานับพันราวกับปิศาจที่ดุร้าย เหล่าทหารรักษาพระราชวัง… ทหารรักษาพระราชวังต่างก็ยอมแพ้กันหมดแล้วพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท ! ”

เยลู่ชิงลุกพรวดขึ้นมา “กองทัพอสนีบาตมาแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“กระหม่อมมิทราบพ่ะย่ะค่ะ ! ”

“พวกเขาสวมชุดเกราะใช่หรือไม่ ? ”

“ใช่พ่ะย่ะค่ะ เป็นชุดเกราะสีเงิน ! ”

ต้องเป็นกองทัพอสนีบาตเป็นแน่ !

กองทัพอสนีบาตของซูฉางเซิงเดินทางได้เร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ !

ข้าคิดว่าอย่างน้อยอีกหนึ่งวันกว่าพวกเขาจะเดินทางมาถึง

เขาจ้องมองเยลู่ซ่วยด้วยสายตาเย้ยหยัน “นี่แหละ…กองทัพอสนีบาต ! โอรสพระองค์ใหญ่ โอรสพระองค์รอง รวมถึงตัวเจ้าคงมิรู้ถึงความยิ่งใหญ่ของกองทัพอสนีบาต ! ”

“พวกเจ้า…สิ่งที่พวกเจ้าทำนั้นมิต่างอันใดกับการปาไข่ใส่ศิลา พี่รองของเจ้าคิดว่าเมื่อได้กองทัพฝ่ายเหนืออีก 200,000 นายมาสมทบ เขาก็จะประสบความสำเร็จได้อย่างแน่นอน เจิ้นจะบอกอันใดให้ กองทัพฝ่ายเหนือทั้ง 200,000 นายนั่นมิอาจเอาชนะกองทัพอสนีบาตแค่ 50,000 นายได้ด้วยซ้ำ ! ”

เมื่อเห็นเยลู่ซ่วยทำหน้าตกตะลึง เยลู่ชิงจึงหัวเราะร่าออกมา “ยุคสมัยมันได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว ยุทธวิธีการรบจึงเปลี่ยนแปลงไปด้วย บัดนี้มันมิได้วัดกันที่คนมากหรือคนน้อยแล้ว เขาวัดกันที่อาวุธของผู้ใดจะล้ำสมัยมากกว่ากัน”

“พวกเจ้า… ฮ่า ๆ ๆ ๆ… พวกเจ้าล้วนเป็นกบในกะลา ! ”

เฮ้อซานเตาบังเอิญเดินมาถึงห้องทรงพระอักษรและได้ยินเสียงหัวเราะนี้เข้าพอดี

เขาจึงรู้สึกแปลก ๆ ขึ้นมา

จากนั้นก็เดินดุ่ม ๆ เข้าไปในห้องทรงพระอักษร จ้องมองเยลู่ชิง จากนั้นก็เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ “ยามหน้าสิ่วหน้าขวานเยี่ยงนี้ เจ้ายังมีอารมณ์หัวเราะอยู่อีกหรือ ? ”