ตอนที่ 1049 สังหารปรมาจารย์
“ยามหน้าสิ่วหน้าขวานเยี่ยงนี้ เจ้ายังมีอารมณ์หัวเราะอยู่อีกหรือ ? ”
เฮ้อซานเตาแบกดาบขึ้นบนไหล่พลางจ้องมองเยลู่ชิงด้วยสายตาประหลาดใจ เยลู่ชิงก็จ้องมองเฮ้อซานเตาด้วยสายตาประหลาดใจเช่นกัน
“เจ้า…เจ้าคือทหารของซูฉางเซิงเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ซูฉางเซิงกับผีสิ ! ข้าคือผู้บัญชาการทหารภายใต้บังคับบัญชาของฟู่เสี่ยวกวนจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ย ! ”
เยลู่ชิงตื่นตกใจจนต้องถอยหลังไปสามก้าว “ว่าเยี่ยงไรนะ ? เจ้าเอ่ยว่าเยี่ยงไรนะ ? ”
“ฝ่าบาทสั่งสอนให้ข้าเคารพผู้อาวุโสและรักใคร่เยาวชน แต่ดูสารรูปท่านสิ ! แก่ปูนนี้แล้ว…เหตุใดยังหวงบัลลังก์อยู่อีก ? ท่านควรเอาฝ่าบาทของข้าเป็นเยี่ยงอย่าง พระองค์มิประสงค์ที่จะเป็นจักรพรรดิด้วยซ้ำ”
“ข้ามิอยากเอ่ยอันใดให้มากความ จับตัวเชลยมาเถิด แท้ที่จริงก็มิได้มีประโยชน์อันใดหรอก ข้าเพียงต้องการนำไปเป็นหลักฐานยืนยันก็เท่านั้น ประเดี๋ยวก่อน…แล้วเจ้าล่ะเป็นผู้ใดกัน ? ”
เยลู่ซ่วยตื่นตกใจจนหน้าซีดเผือด
เมื่อครู่เสด็จพ่อเพิ่งจะเอ่ยอยู่หยก ๆ ว่าเป็นกองทัพอสนีบาตของซูฉางเซิง เพราะพวกเขาจู่โจมเข้ามาอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าฟาด !
กองทัพของต้าเซี่ยจู่โจมเข้ามาถึงพระราชวังได้อย่างรวดเร็ว แล้วกองทัพอสนีบาตของซูฉางเซิงเล่า ? บัดนี้มันไปผ่าอยู่ที่ใดกัน ?
ถ้าหากยอมมอบราชวงศ์เหลียวให้แก่ซูฉางเซิง เยลู่ซ่วยคิดว่าเขาอาจจะยังมีชีวิตอยู่ต่อไปได้
ทว่าในตอนนี้กองทัพของต้าเซี่ยได้ทำให้เขามั่นใจแล้วว่า ชะตาชีวิตของเขาต้องขาดสะบั้นในเร็ววันนี้เป็นแน่
“ข้า… ข้า…ก็คือขุนนางชั้นผู้น้อยคนหนึ่งของฝ่าบาท เชิญพวกท่านสนทนากันต่อเถิด ข้ามิรบกวนแล้ว”
ในระหว่างที่เอ่ย เยลู่ซ่วยก็ได้ลุกขึ้นยืนและเตรียมพร้อมที่จะวิ่งหนี ทว่าดาบของเฮ้อซานเตาก็ได้ยื่นมาขวางทางเขาเอาไว้เสียก่อน
“ไอหยา…น้องชาย ข้าว่าเจ้ามิค่อยมีสัจจะสักเท่าใดนัก ขุนนางชั้นผู้น้อยจะเข้ามาถึงห้องทรงพระอักษรได้เยี่ยงไรกัน ? ขุนนางชั้นผู้น้อยสามารถนั่งบนเก้าอี้ได้ด้วยหรือ ? ” สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาขึ้นมาทันพลัน เขาจ้องมองเยลู่ซ่วยด้วยสายตาโหดเหี้ยม “อีกอย่างนะ…จักรพรรดิของข้ามีพระนามว่าฟู่เสี่ยวกวน เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นผู้ใดถึงได้บังอาจเรียกตนเองว่าเสี่ยวกวน ? ” ( คำว่า ‘เสี่ยวกวน’ หากแปลเป็นภาษาไทยจะแปลว่าขุนนางชั้นผู้น้อย )
ยังมิทันสิ้นเสียง ดาบของเฮ้อซานเตาก็สะท้อนลำแสงออกมา จากนั้นก็แทงเข้าไปยังแขนของเยลู่ซ่วยจนร่างของเขาร่วงลงไปบนพื้น
เขาตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ชั่วอึดใจ จากนั้นก็มองลงมาที่แขนของตนเอง บาดแผลที่แขนเรียบเนียนมิได้เหวอะหวะแต่อย่างใด ทันใดนั้นเองโลหิตสีแดงสดก็ได้ไหลทะลักออกมา เขาจึงส่งเสียงร้องโหยหวนปานจะขาดใจตายออกมา “อ๊าก… ! ”
“หุบปากประเดี๋ยวนี้ ! ” เฮ้อซานเตาแผดเสียงขู่ “หากร้องออกมาอีกคำเดียว ข้าจะตัดศีรษะของเจ้าเสีย ! ”
เยลู่ซ่วยรีบยกมือขึ้นมาอุดปากเพื่อมิให้ตนเองส่งเสียงร้องออกมาอีก เขาจ้องมองเฮ้อซานเตาพร้อมกับเหงื่อเย็น ๆ ที่ไหลอาบร่าง เจ้าเป็นคนไร้เหตุผล จะมาฟันผู้อื่นมั่วซั่วเช่นนี้ได้เยี่ยงไร ?
เยลู่ซ่วยน้ำตาไหลอาบสองแก้ม จากที่คิดไว้ว่าจะฉกฉวยโอกาสช่วงที่ชุลมุนแย่งชิงบัลลังก์ แต่ชะตากลับพลิกผัน ฮ่องเต้ก็มิได้เป็น ความตายก็ใกล้เข้ามาเต็มทีราวกับว่ามีดาบจ่ออยู่ที่คอตลอดเวลา
เยลู่ชิงถอยเข้าไปแนบชิดโต๊ะทรงพระอักษร บนนั้นมีกระบี่วางอยู่หนึ่งเล่ม
เขาคว้ากระบี่เล่มนั้นขึ้นมา จากนั้นก็หัวเราะออกมาเสียงดัง
ชั่วอึดใจนั้นเอง เฮ้อซานเตารู้สึกขนลุกขนพองขึ้นมาทั้งร่าง
เขาถีบซุยเยว่หมิงออกไปอีกด้านหนึ่งโดยมิลังเลเลยสักนิด จากนั้นก็ฟันดาบไปยังมุมหนึ่งในห้องทรงพระอักษร
เขามิได้ฟันไปที่เยลู่ชิง ทว่าเขาฟันไปยังฉากกันลมที่ตั้งอยู่มุมหนึ่งของห้องแทน
“พลั๊ว…” ฉากกันลมแตกกระจายด้วยแรงดาบ เขามิแม้แต่จะหันไปมอง จากนั้นก็กวัดแกว่งดาบต่อสู้ “ชริ้ง ๆ ๆ…” ประกายไฟปะทุออกมาจากการเสียดสีของโลหะ เสียงปะทะกันดังก้องกังวานในห้องทรงพระอักษรแห่งนี้
กระบี่เล่มหนึ่งได้ยื่นออกมาจากฉากบังลมที่แตกหัก จากนั้นก็มีเงาของคนผู้หนึ่งปรากฏขึ้นสู่สายตาของเฮ้อซานเตา ทว่าเขามิได้เพ่งมองว่าเป็นผู้ใดกันแน่ เขาขบฟันกรอด ในชั่วอึดใจนั้นเขาโคจรลมปราณไปที่ดาบยาวของตน
พลังของดาบเพิ่มขึ้นมาทันทีทันใด แสงประกายวาววับของดาบสาดไปทั่วทั้งห้องทรงพระอักษร
คนที่ออกมาจากฉากบังลมขมวดคิ้วแน่น เพียงครู่เดียวเขาก็พุ่งกระบี่เข้ามาติด ๆ ถึงสิบครา
เฮ้อซานเตาหลบได้ถึงเก้าครา ทว่าเขาฟันมาทั้งสิ้นสิบครา
ทั้งเก้าครานั้น เฮ้อซานเตาใช้ดาบรับไว้ได้ทัน เมื่อฟันแทงไปแล้วเก้าคราทว่ามิเกิดผล
ชายผู้นั้นเลยฟันออกมาอีกหนึ่งครา !
เฮ้อซานเตาถอยร่น… ถอยร่นไปถึง 3 จั้ง !
ในจังหวะที่เขาก้าวถอยหลัง เขาก็ได้โต้กลับโดยการฟันดาบไปถึงสามคราด้วยกัน ทว่าทั้งสามครานั้น ฟันโดนกระบี่ของอีกฝ่าย เสียงการต่อสู้ดังสนั่นขึ้นมาอีกครา กระบี่เล่มนั้นก็ยังมิหัก ยังถูกกุมเอาไว้แน่นและยังคงพุ่งปรี่เข้ามาหาเขา
เฮ้อซานเตาถอยออกจากประตูของห้องทรงพระอักษรและทันใดนั้นเขาก็แผดเสียงคำรามดังลั่นพร้อมกับขว้างดาบออกไป
ดาบของเฮ้อซานเตาลอยไปอยู่เบื้องหน้าของคนผู้นั้นพร้อมกับส่องแสงแปลบ ๆ ราวกับแสงของสายฟ้า
คนผู้นั้นขมวดคิ้วฉงนอีกครา จากนั้นก็ดึงกระบี่ของตนกลับมา กระบี่ของเขาฟาดลงไปบนดาบเล่มนั้น ดาบยาวของเฮ้อซานเตาร่วงหล่นลงสู่พื้นดัง “เพล้ง ! ”
เขาแสยะยิ้มอย่างเย็นชา “มิเลวนี่ ! ดาบของผู้มีฝีมือระดับหนึ่งสามารถปะทะกับกระบี่ปรมาจารย์ของข้าได้ตั้งหลายกระบวนท่า ทั้งยังบีบบังคับให้ข้ารับดาบของเจ้าอีกด้วย เจ้ามีนามว่าเฮ้อซานเตาสินะ ข้าจำเจ้าได้แล้ว ช่างหน้าเสียดายที่บัดนี้เจ้ามิมีดาบแล้ว…เยี่ยงนั้นก็ไปตายเสียเถิด ! ”
จากนั้นเขาก็ต้องผงะ ในขณะที่กำลังจะทะยานไปเบื้องหน้า ก็ต้องหยุดชะงักลงกะทันหัน เพราะเขาเห็นเฮ้อซานเตาถือบางอย่างที่ดูเหมือนกระบองสีดำ เขายังคงยิ้มร่าราวกับมิได้หวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย
“ของสิ่งนี้คืออันใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
เฮ้อซานเตาหัวเราะร่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าหนึ่งในสาเหตุของการตายคือการปากมาก ครานี้ก็ถึงตาเจ้าแล้ว ไปตายเสีย ! ”
“ปัง… ! ” เสียงปืนดังลั่น ทว่ามิใช่กระสุนจากเฮ้อซานเตา เยลู่ซ่วยที่ยืนอยู่กลางห้องทรงพระอักษรตื่นตกใจจนฉี่ราดกางเกง ศีรษะของปรมาจารย์ผู้นั้นได้ระเบิดต่อหน้าต่อตาเขา
สมองกระจุยปลิวไปโดนใบหน้าของเยลู่ซ่วย !
ร่างของปรมาจารย์ผู้นั้นนิ่งค้างอยู่ราวสิบอึดใจ จากนั้นก็ล้มตุบลงไปกองอยู่บนพื้น มิมีทางรู้ได้อย่างแน่นอนว่าเขาตายตาหลับหรือไม่ เพราะศีรษะของเขาเละจนมองมิออก
นี่…นี่มันเป็นอาวุธวิเศษแบบใดกัน ? !
เยลู่ชิงก็นิ่งอึ้งมิแพ้กัน เพราะนั่นเป็นถึงปรมาจารย์กระบี่ของราชวงศ์เหลียวเชียว เพิ่งออกโรงมาแท้ ๆ ทว่ากลับต้องจบชีวิตลงอย่างน่าอนาถเสียแล้ว !
ชายผู้นั้นถูกเรียกตัวมาเพื่อคุ้มกันภัยจากซูฉางเซิง !
เขาคือปรมาจารย์ที่เก่งกล้าสามารถที่สุดมิใช่หรือ ?
เขาเคยบอกว่าซูฉางเซิงมิคณนามือตนมิใช่หรือ ?
แต่ไฉนถึงเอาชนะมิได้แม้กระทั่งผู้มีฝีมือระดับหนึ่ง ?
เจ้าต้านทานแรงกระสุนมิได้หรือ ?
จ้าวลี่จู้องค์รักษ์ของเฮ้อซานเตาเป็นผู้ยิงกระสุนนัดนั้นออกมา !
จ้าวลี่จู้เป็นทหารประจำตระกูลจ้ง เขาถูกจ้งหยูส่งมาให้อยู่ข้างกายของเฮ้อซานเตา เพื่อคอยคุ้มกันความปลอดภัยให้กับเฮ้อซานเตา
ทว่าเฮ้อซานเตาเข้าใจความหมายแอบแฝงของจ้งหยูดี นั่นเป็นเพราะนางกลัวเฮ้อซานเตาจะนอกลู่นอกทางต่างหากเล่า
กระสุนนัดนี้ยิงได้สวยงามมากยิ่งนัก เฮ้อซานเตาหลอกล่อความสนใจของปรมาจารย์กระบี่ผู้นั้น วิถีกระสุนของจ้าวลี่จู้ก็แม่นยำเสียเหลือเกิน ยิงปืนนัดเดียวก็สามารถระเบิดสมองจนกระจุยได้แล้ว ยอดเยี่ยมจริง ๆ !
“ทำได้มิเลวนี่ ! ”
เฮ้อซานเตาตบบ่าของจ้าวลี่จู้อย่างเป็นกันเอง จ้าวลี่จู้หัวเราะชอบใจเสียยกใหญ่ “เพราะนายท่านสอนมาดีต่างหากเล่า”
“ประจบสอพลอให้มันน้อย ๆ หน่อยและก็อย่าไร้สาระต่อหน้าเมียข้าให้มันมากนัก… ข้ามิได้มีอันใดน่าเยินยอถึงเพียงนั้น” ไป ไปจับตัวฮ่องเต้ผู้นั้นมาให้ข้า ! ส่วนเจ้าเด็กนั่นก็จับมันมาด้วย มันต้องเป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญเป็นแน่”
ซุยเยว่หมิงที่เพิ่งรวบรวมสติกลับมาได้ รีบเข้าไปสำรวจร่างกายของเฮ้อซานเตาอย่างละเอียด ดีที่ยังอยู่ครบสามสิบสองประการ
“ซานเตา… ข้ามิรู้จริง ๆ ว่ามีปรมาจารย์หลบซ่อนอยู่ด้านใน”
“มิเป็นไรหรอก ! ถือว่าเป็นการทดลองปืนเสียก็แล้วกัน ปรมาจารย์แล้วเยี่ยงไรเล่า เจอปืนของข้าเข้าไปก็ตกตายได้เหมือนกัน”
“ฮ่องเต้…ข้าจะให้โอกาสท่านทำความดีอีกสักครา พาข้าไปดูคลังหลวงหน่อยสิ ! ”
ซุยเยว่หมิงผงะ “ไม่สิ ! ซานเตา บัดนี้เจ้าควรจัดเตรียมทหารที่ยอมแพ้ให้ไปป้องกันเมืองก่อน ! ”
“อ่า…เรื่องนี้ท่านไปจัดการเองก็แล้วกัน ข้าขอไปดูก่อนว่ามีเงินอยู่ในคลังหลวงเท่าใด ! ”
ซุยเยว่หมิงจ้องมองเฮ้อซานเตาที่กำลังคุมตัวเยลู่ชิ่งเดินออกไป “นี่…หรือว่านี่คือพระประสงค์ของฝ่าบาทเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ข้าคิดว่ามันมิสมควรเท่าใดนัก ฝ่าบาทมิได้ขาดแคลนเงินทองสักหน่อยนี่ และอีกอย่าง…ต่อให้ฝ่าบาททรงโปรดปรานเงินทองก็เถอะ แต่พวกเราควรทำเรื่องที่วางอยู่เบื้องหน้าในตอนนี้มากกว่ามิใช่หรือ เงินนั่นมิวิ่งหนีไปที่ใดหรอก”
“มิได้ ! เยี่ยงไรข้าก็ต้องไปดู ! ”