บทที่ 1889 คนงามล้วนไม่มีผลอีกต่อไป
เกี่ยวกับเรื่องที่เป่ยโต่วกังวลนั้น ชีซิงไม่อยากพูดอะไรอีก
เยี่ยหวันหวั่นกุมขมับแล้วหันไปมองข้างๆ “พวกนายสองคนบ่นอะไรกันเยอะแยะวะ?”
ระหว่างที่พูดอยู่นั้น รถก็เลี้ยวเข้ามาในงานเลี้ยงแล้ว เยี่ยหวันหวั่นจัดชายชุดให้เรียบร้อยแล้วก้าวลงจากรถ
เพื่อไว้หน้าพันธมิตรอู๋เว่ยเล็กน้อย เยี่ยหวันหวั่นจึงไม่ได้สวมชุดเดรส สวมใส่เพียงชุดคล่องตัวที่ชอบใส่เป็นประจำ นับเป็นการปกป้องศักดิ์ศรีสุดท้ายในฐานะผู้นำพันธมิตรอู๋เว่ย
พอชีซิงเห็นเยี่ยหวันหวั่นกำลังจะเข้าไปในงานก็รีบก้าวไปขวางไว้ “พี่เฟิง ช้าก่อน…”
“ทำไมล่ะ?” เยี่ยหวันหวั่นหันมาถามชีซิงด้วยสายตางุนงง
“พี่เฟิง เราไม่เหมาะจะมาร่วมงานในสถานที่แบบนี้นะ ผมคิดว่า…”
ก่อนที่ชีซิงจะพูดจบ ทันใดนั้นสายตาของเยี่ยหวันหวั่นก็จ้องไปยังเบื้องหลังของชีซิง
“พี่เฟิง?”
ความสนใจของเยี่ยหวันหวั่นถูกดึงดูดจากสิ่งที่อยู่ข้างหลังของชีซิง เธอเอื้อมมือมาขยับให้ชีซิงถอยมาข้างๆ จากนั้นมุมปากก็ยกโค้งขึ้น เยี่ยหวันหวั่นมองไปทางนั้นและกล่าวด้วยความสุขเปี่ยมล้น “ไฮ ท่านอาชูร่า ไม่เจอกันนานเลยนะ!”
ชีซิงพูดไม่ออก
เมื่อสิ้นเสียงของเยี่ยหวันหวั่น ชีซิงก็ตัวแข็งทื่อและหันหลังกลับมา ในวินาทีถัดมาก็เห็นรถสีดำจอดอยู่ทางเข้าห้องจัดเลี้ยง ท่านอาชูร่าดูเหมือนกับน้ำแข็งในพื้นที่หนาวเหน็บ เขายืนอยู่ตรงนั้นด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ ถัดจากเขาเป็นผู้ดูแลที่หน้าตาธรรมดาๆ และบอดี้การ์ดที่ชื่อเจียงเหยียน
ชีซิงไม่รู้ว่าเป็นภาพลวงตาของเขาเองหรือเปล่า ตอนที่นายแห่งอาชูร่ามองผู้นำของเขา ทั้งร่างราวกับน้ำแข็งที่พลันแตกละเอียด อากาศรอบตัวเหมือนหยุดนิ่งไปในทันที
เป่ยโต่วที่คิดช้ากว่าก็ตัวสั่นเช่นกัน “เอ่อ ทำไมฉันรู้สึกว่าท่านอาชูร่า…เหมือนจะโกรธตอนที่เห็นผู้นำของเราล่ะ…”
แต่ก็ไม่แปลก ไม่ว่าคนงามคนไหนที่ถูกพวกบ้ากามมาพัวพัน ย่อมต้องโกรธเป็นธรรมดา
แต่เยี่ยหวันหวั่นที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ดูเหมือนจะไม่รู้ตัวและทักทายเขาด้วยรอยยิ้ม “อุ๊ย ทำไมสีหน้าของคุณดูไม่ค่อยดีเลย? มีใครทำให้ขุ่นเคืองใจหรือเปล่าคะ?”
ใบหน้าที่ดูราวกับน้ำแข็งหมื่นปีปรากฏรอยแตกร้าว ดูเขาจะคุมตัวเองไม่ได้ในวินาทีถัดมา ราวกับมีเปลวไฟปะทุขึ้นมาในแววตาเย็นเฉียบ
“เธอ…” ชายหนุ่มแทบจะกัดฟันพูด จากนั้นก็พยายามควบคุมอารมณ์ตัวเองอย่างหนักจนสงบลงเพื่อไม่ให้พุ่งเข้าไปจัดการกับผู้หญิงคนนี้ คนที่ปรากฏตัวต่อหน้าเขาในรัฐอิสระ
“อะไรวะเนี่ย เยี่ยหวันหวั่น…เธอ…ทำไมเธอถึงกลับมาที่รัฐอิสระแล้วล่ะ…” หลินเชวียที่อยู่ข้างๆ ถึงกับอึ้งและพึมพำออกมา
ส่วนเจียงเหยียนก็แสดงท่าทางรังเกียจเยี่ยหวันหวั่นอย่างอัตโนมัติจากท่าทางของเจ้านายตัวเอง เขาก้าวไปข้างหน้าเพื่อหยุดเยี่ยหวันหวั่นด้วยสีหน้าเย็นชา “ผู้นำไป๋ กรุณาระวังตัวเองด้วย”
หลินเชวียทนไม่ไหวแล้วจริงๆ จึงกระซิบข้างหูซือเยี่ยหาน “ให้ตายเถอะ! จริงๆ เลย…ผมยอมเชื่อว่าโลกนี้มีผี ยังดีเสียกว่าเชื่อคำพูดของเยี่ยหวันหวั่น! นี่เธอหลอกพี่จนหัวหมุนจริงๆ! ต่อหน้าก็รับปากในโทรศัพท์อย่างดี แต่ลับหลังก็มายืนตรงหน้าพี่แล้ว! ตอนเด็กๆ นะ แม่ฉันเคยบอกว่ายิ่งผู้หญิงสวยเท่าไร ยิ่งห้ามเชื่อสิ่งที่เธอพูด มันตรงเผงเลยให้ตายสิๆ จุ๊ๆๆ…”
คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าพี่เก้าจะมีวันที่พลาดเช่นกัน
มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ถึงขนาดคนงามก็ไม่มีผลอีกต่อไป?
———————————————————————
บทที่ 1890 คิดถึงจนแทบบ้า
หลินเชวียทำเสียงจิ๊ปากได้ครึ่งคำ แต่เมื่อเห็นความเย็นชาของพี่เก้า เขาจึงรูดซิปปากเงียบ
ชายหนุ่มที่เย็นชาราวกับหิมะสูดหายใจเข้าลึกๆ เหมือนต้องการจะระงับพายุที่กำลังกลืนกินเขา แต่คราวนี้กลับไม่สำเร็จ…
เขาจ้องเขม็งไปยังหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า และพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่สามารถข่มความโกรธเอาไว้ได้ “ได้ข่าวว่าผู้นำไป๋ไปประเทศจีนนี่ ทำไมกลับมาเร็วนักล่ะ”
เมื่อเห็นว่าเจ้านายของเขากำลังเริ่มพูดคุยกับไป๋เฟิง เจียงเหยียนก็ตกใจ
แต่ไหนแต่ไรมานายของเขาไม่เคยสนใจไป๋เฟิงเลยนี่นา…
เยี่ยหวันหวั่นมีความสุขมากขึ้นเมื่อได้ยินเสียงของชายหนุ่ม หางตาที่โค้งลงเล็กน้อยและแววตาที่เป็นประกาย ทำให้ใบหน้าที่ไร้เครื่องสำอางค์แลดูสดใสมาก
หญิงสาวพูดกึ่งๆ ยิ้ม “ตอนแรกก็ตั้งใจจะอยู่ต่ออีกสักหน่อย แต่ช่วยไม่ได้จริงๆ ฉันคิดถึงคนๆ หนึ่งมากจนแทบบ้า สุดท้ายทนไม่ไหวก็เลยต้องบินกลับมา”
เยี่ยหวันหวั่นจ้องหน้าชายหนุ่มด้วยรอยยิ้มขณะที่ตั้งใจเน้นคำว่า ‘คิดถึงจนแทบบ้า’
เป่ยโต่วพูดไม่ออก
ชีซิงก็พูดไม่ออก
เขารู้ว่ามันจะต้องเป็นแบบนี้! แค่ผู้นำเห็นชายผู้นี้ ปากจะต้องไม่มีหูรูดแน่นอน!
ไม่เห็นว่าใบหน้าของท่านอาชูร่าแทบจะดูไม่ได้แล้วเหรอไง ทำไมถึงไม่อดกลั้นไว้สักหน่อย?
หลินเชวียที่ยืนอยู่ข้างๆ ซือเยี่ยหานพึมพำด้วยเสียงทุ้มต่ำ “อา คิดถึงใครคนหนึ่งจนแทบบ้า? ใครวะ?”
ในตอนที่บรรยากาศตรงนั้นกำลังเงียบลงเรื่อยๆ จู่ๆ ก็มีเสียงเรียกที่ฟังดูอบอุ่นจากคนสองสามคน ดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง “ผู้นำไป๋”
เยี่ยหวันหวั่นหันกลับมา ใบหน้าสดใสของชายผู้นั้น ช่วยปลอบประโลมจิตใจดวงน้อยที่ถูกลมหนาวของนายแห่งอาชูร่าพัดไปกลับกลายเป็นอบอุ่นขึ้นมา หญิงสาวโบกไม้โบกมือให้เขา “โอ้ว จี้หวง บังเอิญจังเลย!”
หลังจากทักทายกันแล้วก็เอ่ยขึ้นมาหนึ่งประโยค “ไม่เจอกันนาน คิดถึงจังเลย”
หลินเชวียที่ได้ยินถึงกับตาค้าง พูดโพล่งออกมาว่า “นี่คือคนที่ผู้หญิงคนนี้คิดถึงจนแทบบ้าน่ะเหรอ?”
ผู้หญิงคนนี้คงไม่ได้ชอบจี้ซิวหร่านจริงๆ ใช่ไหม?
แน่นอน เธออาจกำลังเป็นหมาเห่าเครื่องบินก็เป็นได้ ทั้งนายแห่งอาชูร่าและจี้ซิวหร่าน…
หลินเชวียที่บ่นไป ก็มองนายแห่งอาชูร่าที่อยู่ข้างๆ ไปด้วยความหวาดหวั่น
เวรกรรม ไม่ว่าเหตุผลที่ผู้หญิงคนนี้กลับมาที่รัฐอิสระคืออะไร สนามหญ้าบนหัวพี่เก้าก็ให้ม้าวิ่งได้แล้ว…
จี้ซิวหร่านเหลือบมองนายแห่งอาชูร่าอย่างเงียบเชียบ จากนั้นก็มองหญิงสาวและเอ่ยพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ “บังเอิญจริงๆ ผู้นำไป๋ก็มาร่วมงานเลี้ยงดินเนอร์ด้วยเหรอเนี่ย?”
เมื่อได้ยินจี้ซิวหร่านเอ่ยด้วยเสียงประหลาดใจ เยี่ยหวันหวั่นก็อธิบาย “ใช่แล้ว! เผอิญงานประมูลการกุศลในคืนนี้มีของที่น่าสนใจน่ะ”
“มีของที่น่าสนใจเหรอ?” จี้ซิวหร่านถาม
“แหะๆ ใช่แล้ว!” เยี่ยหวันหวั่นกระแอมไอเบาๆ
“ไม่รู้ว่าเป็นสิ่งของอันใดที่ต้องตาผู้นำไป๋ได้” จี้ซิวหร่านถามด้วยสีหน้าอยากรู้อยากเห็น
มุมปากของเยี่ยหวันหวั่นกระตุกเล็กน้อย จะให้เธอพูดยังไงว่าฉันอยากได้แหวนส่วนตัวของคุณ ฟังยังไงก็ดูแปลกๆ
“แฮ่ๆ ไม่มีอะไรไม่มีอะไรหรอก…” เยี่ยหวันหวั่นบอกไม่ได้จริงๆ
“เอ้อ คือ พี่เก้า…”
หลินเชวียกำลังจะอ้าปากพูด แต่เพิ่งเห็นว่าข้างๆ เขาไม่มีใคร นายแห่งอาชูร่าได้เดินไปข้างหน้าแล้ว หลินเชวียจึงรีบจ้ำอ้าวตามไป
“ฮึ ยัยแม่มด!” เจียงเหยียนก็รีบจ้ำอ้าวตามไปติดๆ เช่นกัน
เยี่ยหวันหวั่นเหลือบมองเจียงเหยียนโดยไม่พูดอะไร “จิ๊ ไอ้เด็กนี่…เปลี่ยนชื่อเรียกไม่ได้เหรอ? เรียกให้สร้างสรรค์อีกนิดไม่ได้เหรอไง? สักวันฉันจะทำให้นายเปลี่ยนมาเรียกฉันว่านายหญิงแห่งอาชูร่าคอยดู…”
…………………………………………..