ส่วนที่ 5 สมรภูมิดอกไม้เหลือง ตอนที่ 70 ไม่สู้ไม่พบกัน

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ในอดีต ชะตาของเฉินฉางเซิงแย่มาก หลังจากนั้นชะตาของเขาก็เปลี่ยนเป็นดีมาก พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือชะตาของเขาเปลี่ยนไป

ในคืนนั้นบนยอดเขาสุสานเทียนซู จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ได้ท้าลิขิตพลิกโชคชะตาของเขา

นับจากนั้นมา เส้นทางการบำเพ็ญเพียรก็ราบรื่นและเงาที่ทอดอยู่เหนือศีรษะเขามาสิบกว่าปีก็หายไป เหลือไว้เพียงแค่แสงสว่าง

แน่นอนว่าชะตาและฐานะของเขาเปลี่ยนไป เขาพบกับบททดสอบที่เขาไม่เคยคิดถึงมาก่อน แม้มีไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์ในมือ การจะเป็นนายแห่งนิกายหลวงก็ยังเป็นเรื่องยากอย่างยิ่ง โชคยังดีที่สังฆราชได้เตรียมการไว้มากมายก่อนที่จะกลับสู่ทะเลดวงดาว ได้เตรียมทางให้ราบรื่นที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้

ในบางแง่มุมสังฆราชก็เปลี่ยนชะตาของเขาเช่นกัน

เพื่อการสืบทอดมรดกอันยิ่งใหญ่ให้กับเฉินฉางเซิง สังฆราชได้วางแผนไว้อย่างรอบคอบที่สุด ไม่ต้องพูดถึงสายรุ้งในพระราชวังหลีและร่างที่หายไปจากเสื่อในสวนส้มจี๊ด แสงดาวในถ้ำใต้สะพานอุดรใหม่และใบไม้ครามสามใบนั้นก็เพียงพอที่จะเห็นได้แล้วว่าเขาวางแผนมาดีแค่ไหน

สังฆราชเลือกมังกรดำน้อยมาเป็นผู้คุ้มกันเฉินฉางเซิงด้วยหลายเหตุผล นางย่อมแข็งแกร่งพอ นอกจากยอดฝีมือเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ น้อยคนในต้าลู่ที่สามารถเอาชนะนางได้ เหตุผลที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือตัวตนของนาง เพราะนางคือองค์หญิงเผ่ามังกรยักษ์น้ำค้างแข็งที่เคยช่วยเผ่าปีศาจก่อตั้งอาณาจักรในอดีตเนิ่นนานมาแล้ว

จักรพรรดิขาวสามีภรรยารู้มานานแล้วว่ามังกรยักษ์น้ำค้างแข็งถูกขังอยู่ใกล้กับวังหลวง แต่พวกเขาก็ไม่เคยบ่นอะไร บางทีมันเป็นเพราะประวัติศาสตร์นั้นนานเกินไป หรือบางทีอาจเป็นเพราะ ‘มิตรภาพ’ นั้นไม่เคย ‘คุ้มค่า’ สังฆราชไม่สนเกี่ยวกับความเห็นของพวกเขา เขาช่วยมังกรดำเพื่อบีบให้เมืองไป๋ตี้ยอมรับบุญคุณนี้

แม้ว่าจักรพรรดิขาวสองสามีภรรยาต้องการจะแสร้งเป็นไม่รู้ไม่เห็น เผ่าต่างๆ สองฝั่งแม่น้ำแดงกับผู้อาวุโสก็ต้องไม่เห็นด้วย

สังฆราชทำตัวเหมือนกับสายลมเย็นหรือดวงจันทร์กระจ่างและไม่ใช่คนที่ชอบวางแผนการ แต่เขาก็ยังเป็นคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในโลกมานานพันปี ดังนั้นเขาจึงมีความเข้าใจในตัวมนุษย์เป็นอย่างดี

ในแง่นี้ มนุษย์หรือปีศาจก็ไม่ต่างกัน

หัวเขาคำนวณอย่างถูกต้อง

มังกรดำน้อยได้คลานขึ้นมาจากบ่อน้ำสะพานอุดรใหม่และเดินผ่านหิมะเข้าสู่สำนักฝึกหลวง

มู่ฮูหยินถอนหายใจและนั่งราชรถที่ลากด้วยกวางเจ็ดสีออกไปจากจิงตู

แม้ในตอนนี้เฉินฉางเซิงก็ยังไม่อาจที่จะเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าสังฆราชได้ทุ่มเทความคิดความพยายามในแผนนี้มากแค่ไหน เขายังเด็กเกินไป แม้ว่าเขาจะเชี่ยวชาญในคัมภีร์เต๋าและรู้ตำนานมากมาย เขาก็ยังเชื่อมโยงมันกับปัจจุบันได้ยาก ดังนั้นแม้แต่หลังจากเขาได้ยินสิ่งที่ซางสิงโจวพูดต่อมาเขาก็ยังต้องขบคิดถึงคำพวกนั้นเป็นเวลานานก่อนที่จะสามารถเข้าใจได้ว่ามันหมายความว่าอย่างไร

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าผู้คุ้มกันของอิ๋นคือใคร”

“ข้าไม่รู้”

“เฉินเสวียนป้า”

นี่เป็นคำตอบที่ไม่มีใครคิดได้อย่างแท้จริง

ในอดีตพันปีที่ผ่านมา มีสองชื่อที่โดดเด่นที่สุดในต้าลู่

หนึ่งคือโจวตู๋ฟู อีกหนึ่งคือจักรพรรดิไท่จง

แต่ก่อนที่เฉินเสวียนป้าตาย ไม่มีใครกล้าพูดว่าโจวตูฟูหรือจักรพรรดิไท่จงจะครองโลกได้ ในเวลาสิบกว่าปีนั้นเป็นเวลาสั้นๆ ในแม่น้ำแห่งประวัติศาสตร์อันยาวไกล เขาได้แข่งกับคนทั้งสองในหลายด้าน เขามีพรสวรรค์ที่น่าทึ่งในทุกแง่มุม

คนเช่นนี้มักถูกเรียกอย่างไร้ที่เปรียบไปทั่วโลก

แม้ว่าสังฆราชจะเป็นผู้สืบทอดที่ถูกต้องของคำสอนเต๋าในตอนนั้น เขาก็ยังไม่มีค่าพอที่จะให้ยอดคนแห่งยุคทำหน้าที่ผู้คุ้มกัน

แน่นอน เว้นแต่ว่ายังมีความลับอื่นเบื้องหลังเรื่องนี้

“เฉินเสวียนป้าอาจเป็นบรรพบุรุษของเจ้า มีความเป็นไปได้ว่าเจ้าถูกสร้างขึ้นจากเลือดแท้หยดสุดท้ายที่เขาทิ้งไว้บนโลกนี้ ดังนั้นอิ๋นจึงชดใช้หนี้บุญคุณ”

ซางสิงโจวถาม “ตอนนี้เจ้าเข้าใจความหมายของเขาหรือยัง”

เฉินฉางเซิงนิ่งเงียบไปเป็นเวลานานแล้วพยักหน้า

ความรักและสงสารของสังฆราชมีที่มาหลากหลาย บางทีเขาอาจใช้หนี้บุญคุณ หรือบางทีเขาละอายใจ หรือบางทีเขาอาจให้คำสัญญาไว้

เขาไม่เคยคิดอย่างจริงจังมาก่อน แต่เขาเข้าใจมาเสมอว่ามีความหมายอยู่เบื้องหลังแผนของสังฆราช

อาจารย์ของเขาไม่ชอบเขาและต้องการให้เขาตาย แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาต้องการให้อาจารย์ตาย

มันยังหมายความว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับซางสิงโจวไม่จำเป็นต้องฆ่าอีกฝ่ายให้ได้

หากเขาอยู่ในจิงตู เขาก็ย่อมกลายเป็นต้นกำเนิดหายนะเว้นแต่ว่าเขาตัดสินใจนำนิกายหลวงต่อสู้กับราชสำนัก

เขาย่อมไม่ทำเช่นนั้นเพราะเขาไม่อาจหาเหตุผลแม้แต่ข้อเดียวที่จะทำเช่นนั้น

เขาต้องการจะแย่งบัลลังก์กับศิษย์พี่จริงหรือ

สำหรับความชั่วร้าย…เขารู้ดีว่าซางสิงโจวมีความมั่นใจว่าจะตอบข้อกล่าวหาของเขากลับมาได้ ราชสำนักเพิ่งก่อตั้งขึ้นใหม่ ดังนั้นต่อให้ต้องการจะทำเรื่องชั่ว ก็ไม่มีโอกาส ความชั่วร้ายทั้งหมดที่มีในตอนนี้ล้วนเป็นของโจวทง และไม่ว่าเฉินฉางเซิงจะมีความรักให้กับนางแค่ไหน ก็ต้องยอมรับว่าความชั่วร้ายส่วนใหญ่ของโจวทงนั้นเป็นของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่

เฉินฉางเซิงมองไปที่ซางสิงโจวและถาม “แล้วอาจารย์เล่า อาจารย์เข้าใจความหมายของอาจารย์อาหรือเปล่า”

ซางสิงโจวไม่ตอบ

หลังจากการสนทนาอย่างยาวนานกับสังฆราชในคืนนั้น จากนั้นเขาก็เห็นมังกรดำเดินออกมาจากหิมะ เขาก็เข้าใจความหมายของอิ๋นได้อย่างสมบูรณ์

เมื่อใดกันที่เฉินฉางเซิงกลายเป็นปัญหาใจของเขา บางทีอาจเป็นเพราะคืนนั้นในสุสานเทียนซูกระมัง

ตอนที่เขาเก็บทารกจากอ่างไม้ในลำธารและกล่าวอย่างเสียใจว่าชะตาของเจ้าช่างเลวร้าย เป็นเพราะเขาได้รู้ชะตาของทารกนั้นอยู่แล้ว

ก่อนเฉินฉางเซิงจะเกิด วงตะวันของเขาก็ถูกทำลาย จากนั้นก็ถูกเติมร่างกายด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์บริมาณมากมายเหลือจินตนาการโดยฝีมือของคนจากอีกดินแดนหนึ่ง จนแน่ใจได้เลยว่าเขาไม่อาจมีอายุเกินยี่สิบปี

ตอนที่เขาพูดถึงเฉินฉางเซิงเรื่องการท้าลิขิตพลิกโชคชะตา เป็นธรรมดาที่เขาได้โกหก เขาไม่เคยคิดว่าเฉินฉางเซิงจะทำสำเร็จในการเปลี่ยนชะตาตนเอง ไม่ว่าเขามีพรสวรรค์น่าทึ่งเพียงใด เขาก็มีเวลาไม่กี่ปีระหว่างเวลาที่เขาออกจากเมืองซีหนิงกับอายุยี่สิบปี ต่อให้โจวตู๋ฟูกลับมาเกิดใหม่หรือหวังจื่อเช่อย้อนวัยกลับมาเป็นเด็กหนุ่ม พวกเขาก็ไม่อาจที่จะทำเรื่องเช่นนี้ได้

ความจริงได้พิสูจน์ว่าความคิดของเขาถูกต้อง ในคืนที่เกิดการยึดอำนาจในสุสานเทียนซู เฉินฉางเซิงยังไม่อาจทำการท้าลิขิตพลิกโชคชะตาได้สำเร็จ และเสียความหวังอันน้อยนิดไป เขาเชื่อว่าเฉินฉางเซิงต้องตาย หรือไม่ก็ถูกเทียนไห่กิน หรือถึงจุดสุดท้ายของชีวิต แต่คาดไม่ถึงว่าเทียนไห่จะทำให้ทุกคนประหลาดใจด้วยการเลือกอีกอย่างหนึ่ง

หากพูดว่านี่เป็นกระดานหมากรุกที่เขาวางไว้ การตายของเทียนไห่ย่อมหมายถึงชัยชนะ เขาคิดว่าเขาได้รับชัยชนะในหมากรุกกระดานนี้ ทว่าเมื่อมองไปที่กระดาน เขาก็ตระหนักว่าหมากที่ควรจะตายไปแล้วกลับยังตั้งอยู่บนกระดาน

หมากตัวนั้นควรจะตายแต่กลับยังมีชีวิตอยู่ และช่วงท้ายกระดานอันน่าเบื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงนับไม่ถ้วน

หมากตัวนี้บนกระดานดูเหมือนจะหนีออกจากกระดาน เรื่องนี้ทำให้ซางสิงโจวคับข้องใจอย่างมาก

ดังนั้นบนถนนเสินเมื่อเผชิญหน้ากับดวงอาทิตย์ที่เพิ่งขึ้น เขาก็ได้ตัดสินใจแล้ว

เขาจำเป็นต้องให้เฉินฉางเซิงตายโดยเร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ หมากตัวนี้ต้องหายไปโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

ดังนั้นบนถนนเสิน เขาจึงไม่มองไปที่เฉินฉางเซิง

และจากนั้นก็เกิดเหตุการณ์มากมายตามมา

หลังจากที่สนทนาอย่างยาวนานเขาจึงเริ่มที่จะเข้าใจขึ้นมาบ้าง

เพราะหมากตัวนี้มีความสัมพันธ์กับเขา เพราะเต๋าที่เขาบำเพ็ญเพียร เขาได้ให้ความสำคัญกับหมากตัวนี้มากและเสียพลังงานกับมันไปมากเกินไป

อิ๋นพูดถูกแล้ว

เมื่อทั้งสองฝ่ายเกลียดกัน…

พบกันไม่สู้ไม่พบกัน

ซางสิงโจวหันกลับและเริ่มเดินออกไปจากสำนักฝึกหลวง

เหมือนกับบนถนนเสินของสุสานเทียนซู เขาไม่ได้มองไปที่เฉินฉางเซิงอีก

นักพรตชุดน้ำเงินสิบกว่าคนก็ตามเขาไป

ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นอย่างฉับพลันเกินไปโดยไม่มีสัญญาณเลยแม้แต่น้อย

ตอนนั้นเองที่เสียงหนึ่งดังขึ้นโดยไม่มีปี่มีขลุ่ยในห้วงแห่งจิตของเฉินฉางเซิง

“เดินให้ไกลอีกหน่อย”

“อย่าให้จิงตูได้เห็น”

“อย่าให้โลกได้เห็น”

“อย่าได้ให้ข้าเห็น”