ภาคที่ 6 บทที่ 38 ความลับของหุบเหว

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 38 ความลับของหุบเหว

เมื่อสิ้นคำสั่งนั้น เหล่าทหารก็พากันถอยทัพออกไปจากกระแสน้ำวนอย่างรวดเร็ว

ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดพุ่งตัวออกไปจากกระแสน้ำที่แปรปรวนไปยังเรือที่รอพวกเขาอยู่

ไม่มีการทักทายหรือบทสนทนาใด ๆ เกิดขึ้นทั้งสิ้น ทันทีที่เรือเต็มแล้ว มันก็ออกเดินทางทันทีโดยไม่รีรอ

ไม่นานนักเรือทั้งหมดของกองทัพก็ออกไปจากหุบเหว พร้อมกันกับที่จักรพรรดิอสูรทะเลเริ่มปรากฏกายขึ้นจากกระแสน้ำวนนั้น

แต่เรื่องนั้นไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับนิกายไร้ขอบเขตแต่อย่างใด

ประวัติศาสตร์กำลังจะซ้ำรอยอีกครั้ง… อานุภาพของผู้ฝึกตนของนิกายไร้ขอบเขตรวมกันสามารถปิดทางออกของหุบเหวและป้องกันไม่ให้จักรพรรดิอสูรทะเลที่ในนั้นออกมาได้ เมื่อกองเรือเดินทางไกลออกไปแล้ว พวกเขาจึงค่อยคลายแรงตรึงของพลังต้นกำเนิดลงและถอยทัพต่อไป

จักรพรรดิอสูรอันทรงพลังทั้งหลายได้แต่ส่งเสียงด้วยความเกรี้ยวกราดใส่ศัตรูของมันที่กำลังลอยตัวไกลออกไปโดยไม่สามารถทำอะไรได้อีก

แม้ว่าจะขุ่นเคืองเพียงใด โทสะนั้นก็ไม่สามารถทำอะไรศัตรูได้เลย

นิกายไร้ขอบเขตใช้วิธีการเดียวกันนี้เมื่อสองปีที่แล้วเพื่อจัดการกับพวกมัน และมันก็ถูกใช้อีกครั้งในวันนี้

ซึ่งในช่วงสองปีที่ผ่านมา ความแข็งแกร่งของนิกายไร้ขอบเขตก็ยังเพิ่มขึ้นมากอีกด้วย

นิกายไร้ขอบเขตในตอนนี้มีผู้ฝึกตนด่านผ่านจิตวิญญาณที่ไร้ซึ่งสายเลือดอยู่จำนวนหนึ่ง และจำนวนของผู้ฝึกตนด่านสู่พิสดารก็เพิ่มขึ้นจากเดิม

ศิษย์ทั้งหมดจำนวนห้าหมื่นคนของสำนักได้เข้าร่วมในการเดินทางครั้งนี้ ซึ่งหากมีผู้ฝึกตนด่านสู่พิสดารเป็นจำนวนหนึ่งหมื่นสองพันคนในบรรดาศิษย์ทั้งหมด นั่นก็หมายความว่าอีกสามหมื่นแปดพันของที่เหลือไม่ได้มีพลังในระดับนั้น

พวกเขาคือศิษย์ที่กำลังฝึกตนเพื่อให้บรรลุด่านสู่พิสดาร และจะเริ่มบรรลุตามกันไปเรื่อย ๆ เมื่อกาลเวลาผ่านไป

ในช่วงเวลาสองปีมานี้ ศิษย์สองพันคนจากในจำนวนดังกล่าวก้าวเข้าสู่ด่านสู่พิสดารได้สำเร็จ ทำให้จำนวนรวมของผู้ฝึกตนด่านสู่พิสดารเพิ่มขึ้นเป็นหนึ่งหมื่นสี่พันคน

จงเจิ้นจวินและคนอื่น ๆ ต่างประหลาดใจในจำนวนของผู้ฝึกตนด่านสู่พิสดารที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

ทว่าซูเฉินได้แสดงจุดยืนของเขาอย่างชัดเจนแล้ว ด้วยข้อตกลงที่เขาทำไว้กับเหล่าขุนนางในขณะนั้น วิธีเดียวที่จะสามารถฝึกวิชาสู่อมตะถึงระดับที่สี่ได้ก็คือต้องเข้าร่วมกับนิกายไร้ขอบเขตเท่านั้น

ปรากฏว่ามีสมาชิกของกลุ่มธารามืดจำนวนหนึ่งที่แอบติดต่อกับนิกายไร้ขอบเขตเพื่อขอเข้าร่วมด้วย หากไม่ใช่เพราะทางนิกายต้องการไว้หน้ากลุ่มพันธมิตรแล้ว พวกเขาคงไล่สมาชิกของกลุ่มธารามืดและทัพสยบสมุทรไปแล้ว

อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งของนิกายไร้ขอบเขตก็เพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจในช่วงสองปีที่ผ่านมา เมื่อประสบการณ์ในการรับมือกับจักรพรรดิอสูรทะเลเข้ามาเป็นปัจจัยอีกอย่างหนึ่งแล้ว ก็เป็นสิ่งที่อธิบายได้แล้วว่าทำไมการปิดทางออกของหุบเหวถึงได้ง่ายดายสำหรับพวกเขานัก

แม้ว่าการหลบหนีจะเป็นไปได้อย่างราบรื่นและไร้ซึ่งอุปสรรค ทุกคนในกองเรือต่างก็รู้สึกโล่งใจเมื่อออกจากเขตแดนของหุบเหวได้สำเร็จ

แม้ว่าการเดินทางสู่หุบเหวจะทำให้พวกเขาต้องรู้สึกราวกับว่ามีอันตรายอยู่ทุกซอกมุม และสุดท้ายแล้วก็เป็นการเดินทางที่ผ่านไปได้ด้วยดีและแทบไม่มีเหตุอะไรเกิดขึ้นเลยด้วยซ้ำ ทุกอย่างเป็นไปอย่างที่ซูเฉินทำนายไว้จริง ๆ

สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่ได้ประหลาดอะไรมากนัก อย่างไรแล้วความสำเร็จก็ถูกสร้างขึ้นจากความไม่ราบรื่นนี้อยู่แล้ว

หากทุกคนในการเดินทางครั้งนี้ต้องพบกับอันตรายและสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันอยู่ตลอดเวลาแล้ว ภารกิจก็คงจะต้องล้มเหลวไปอย่างเลี่ยงไม่ได้

เพราะการที่แผนการใดจะสำเร็จได้นั้นก็หมายความว่ามันจะต้องถูกดำเนินไปโดยไม่มีอะไรที่ซับซ้อนมากนัก

และเมื่อทำสำเร็จ… เหล่าทหารก็ต่างตื่นเต้นดีใจกันยกใหญ่

“พวกเราทำสำเร็จแล้ว ! เรารอดกลับมาจากหุบเหวแล้ว !” ใครบางคนหัวเราะเสียงดังอย่างอารมณ์ดี

แม้จะมีเรื่องเกิดขึ้น แต่พวกเขาก็รอดชีวิตออกมาจากหุบเหวได้ในที่สุด

ความสำเร็จครั้งนี้ควรค่าแก่การยกย่องยิ่งนัก

“ใช่ ! เรายังสังหารจักรพรรดิอสูรทะเลนั่นได้อีกด้วย ! นี่ เจ้าคิดว่าเราจะทำแบบเดียวกันกับที่ในหุบเหวอีกสักครั้งสองครั้งได้ไหม” ใครอีกคนถามขึ้นด้วยความทะเยอทะยาน

“ลืมมันเสียเถอะ เราคงไม่ได้โชคดีทุกครั้งหรอก เจ้าไม่เห็นหรือว่าเจ้านิกายกับภรรยาของเขาต้องเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยงเพื่อยื้อเวลาให้พวกเรา เจ้าจะให้พวกเขาทำแบบนั้นให้เราทุกวันหรือไรกัน”

เมื่อรู้ว่าความทะเยอทะยานนั้นเป็นได้เพียงแค่ความฝัน ทุกคนต่างก็ต้องถอนใจ

“แต่ข้าคิดว่าสถานการณ์แบบนี้มันจะค่อย ๆ กลายเป็นเรื่องปกติมากขึ้นทุกทีน่ะสิ” ศิษย์นิกายไร้ขอบเขตคนหนึ่งกล่าวขึ้น

หือ… ? เขาต้องการจะสื่อว่าอะไรกันแน่

ศิษย์คนนั้นอธิบายต่อไป “หากพวกเราลบล้างพลังของท้องสมุทรโศกาได้สำเร็จ การเดินทางครั้งนี้เพียงครั้งเดียวก็คงไม่เพียงพอหรอก การต่อสู้ของเรากับหุบเหวจะต้องเกิดขึ้นอีกหลายครั้ง อันที่จริงแล้วฝ่ายศัตรูก็จะต้องตอบโต้กลับมาอย่างแน่นอน ข้าเชื่อว่าวันหนึ่งข้างหน้า พวกเราจะได้สังหารจักรพรรดิอสูรทะเลอีกครั้ง !”

สิ่งที่ศิษย์คนนี้พูดทำให้ทุกคนต่างเงียบและเริ่มครุ่นคิด

ในเมื่อตอนนี้พวกเขาไม่ได้อยู่ในสมรภูมิที่กำลังเดือดพล่าน สติและความรอบคอบของทหารทั้งหลายก็คืนกลับมาอีกครั้ง

ใบเรือขนาดยักษ์สั่นไหวไปตามแรงลม

เกาะพิสุทธิ์ชั่วกาลค่อย ๆ ปรากฏให้เห็นไกลออกไป

ทว่าทหารทั้งหลายไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นดีใจที่ได้กลับบ้านเลยแม้แต่น้อย ตอนนี้พวกเขากลับรู้สึกหนักหน่วงและเคร่งเครียดเสียอย่างนั้น

เพราะเหล่าทหารรู้แล้วว่าเหตุการณ์ที่เพิ่งจบลงไปไม่ใช่จุดจบของสงคราม แต่เป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น

ในวันข้างหน้า กองทัพเรือนี้ก็จะต้องออกเดินทางไปยังหุบเหวบ่อยขึ้นอย่างแน่นอน

หลาย ๆ ครั้งพวกเขาคงต้องถอยทัพออกมาหลังจากที่เข้าไปได้ไม่นานเท่านั้น และการเดินทางลึกเข้าไปในหุบเหวก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง

คนที่จะได้เข้าไปในหุบเหวก็มีเพียงแค่ซูเฉินกับกู่ชิงลั่วเท่านั้น

สำหรับซูเฉินแล้ว ภารกิจหลักของกองเรือก็คือปักหลักอยู่ที่กระแสน้ำวนและหยุดจักรพรรดิอสูรทะเลไม่ให้เข้ามาใกล้ ส่วนเป้าหมายอื่น ๆ นั้นขึ้นอยู่กับเขาและกู่ชิงลั่วเท่านั้น ซึ่งนั่นทำให้ทหารในกองเรือต่างรู้สึกว่าการกระทำของซูเฉินช่างลึกลับยิ่งนัก

อย่างไรแล้วการวิจัยก็ทั้งลึกซึ้งและลึกลับด้วยตัวของมันเองอยู่แล้ว

สิ่งเดียวที่เหล่าทหารทำได้ก็คือหวังว่าการค้นคว้าวิจัยของซูเฉินจะเป็นไปได้อย่างราบรื่นที่สุดเท่านั้น

“เรื่องนี้คาดเดาได้ยากนัก”

ที่ในห้องวิจัยของตำหนัก ซูเฉินกำลังจ้องเขม็งไปที่โหลใหญ่โหลหนึ่ง ที่ในโหลนั้นบรรจุน้ำทะเลที่เขาได้มาจากในหุบเหว พร้อมกับปลาธรรมดา ๆ อีกจำนวนหนึ่ง

แสงหนึ่งเคลื่อนผ่านตาซูเฉินไปขณะที่เขากำลังเพ่งมองอนุภาคขนาดเล็กจิ๋วลอยไปมาในน้ำที่ถูกบรรจุในโหลนั้น

มันเป็นสสารต้นกำเนิดที่ประหลาดทีเดียว และในสถานการณ์ปกติเช่นนี้มันจึงอยู่ในสภาพเฉื่อยอย่างสมบูรณ์

แต่หากสิ่งมีชีวิตใดก็ตามเข้าใกล้มัน สสารต้นกำเนิดก็จะแทรกซึมเข้าสู่ร่างของสิ่งมีชีวิตนั้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งซูเฉินก็ได้เห็นร่างของปลาในน้ำเริ่มกลายสภาพไปด้วย

การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนั้นค่อนข้างเชื่องช้า และในแรกเริ่มนั้นก็เกิดขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซูเฉินแทบจะมองไม่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นเสียด้วยซ้ำ

หากไม่ใช่เพราะปลาในน้ำมีขนาดใหญ่ขึ้นถึงสองเท่าตัวหลังจากเวลาผ่านไปสามวันแล้ว เขาก็คงต้องใช้เวลาและพลังงานอีกมากในการเฝ้าสังเกตโหลน้ำ ตอนนี้ชายหนุ่มหมกมุ่นอยู่กับการค้นพบคุณสมบัติของสสารต้นกำเนิดนี้เหลือเกิน

แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีปัญหาอยู่อย่างหนึ่ง ก็คือเนตรมองโลกจุลภาคของซูเฉินสามารถสังเกตเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในน้ำได้ แต่มันไม่สามารถมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นภายในร่างกายของปลาได้เลย

ดังนั้นเขาจึงได้แต่คาดเดาเอาว่าสสารต้นกำเนิดประหลาดนี้เองที่เป็นสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับปลาทั้งหลาย แต่เขาไม่รู้ว่าทำไมมันถึงเป็นเช่นนั้น และการเปลี่ยนแปลงที่ว่านั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร

เมื่อเป็นเช่นนั้น จึงทำให้ซูเฉินต้องค่อย ๆ ใช้เวลาในการสังเกตปลาพวกนี้ไปเรื่อย ๆ

และที่สำคัญที่สุดก็คืออนุภาคของสสารต้นกำเนิดจะเริ่มเสื่อมสภาพลงในเวลาอันสั้นหลังจากที่ออกมาจากหุบเหว ซึ่งทำให้ซูเฉินจำเป็นต้องกลับไปเก็บน้ำจากบริเวณนั้นอยู่เรื่อย ๆ แม้ว่าเจตนาที่แท้จริงของเขาจะไม่ใช่แค่เก็บน้ำทะเลก็ตาม

“อนุภาคสสารนี้น่าจะเป็นผู้ร้ายตัวจริงที่ช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของสิ่งมีชีวิตได้” หลินจุ้ยหลิวกล่าว “ถ้าเจ้าหาวิธีทำลายสสารพวกนั้นได้ เจ้าก็น่าจะหยุดพวกสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในหุบเหวไม่ให้พัฒนาการเร็วกว่าปกติได้ด้วย”

แต่ซูเฉินกลับส่ายหน้า “นั่นไม่ใช่เป้าหมายของข้าหรอก”

หลินจุ้ยหลิวผงะ “เจ้ามาที่นี่ก็เพราะต้องการจะไขปัญหาเรื่องท้องสมุทรโศกาให้กับชาวสมุทรไม่ใช่หรือ”

ซูเฉินยิ้ม “ถูกต้อง แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าข้าจะต้องเดินไปตามเส้นทางที่ท่านว่าเสียหน่อย”

หลินจุ้ยหลิวไม่เข้าใจ

ซูเฉินตอบด้วยท่าทางครุ่นคิด “ท่านเคยคิดไหมว่าสสารพวกนี้จะมีประโยชน์เหมือนกันเมื่อนำมาใช้กับมนุษย์”

“ใช้กับมนุษย์หรือ ?” หลินจุ้ยหลิวชะงักไปเล็กน้อยก่อนที่สีหน้าของเขาจะเปลี่ยนเป็นตกตะลึง “เจ้าจะใช้มันกับมนุษย์อย่างนั้นหรือ !”

“สสารต้นกำเนิดที่สามารถเร่งกระบวนการเจริญเติบโตได้…. ถ้าหากนำมาใช้ในสถานการณ์ที่เหมาะสม แต่ก็เป็นไปได้ที่มนุษย์อย่างเราจะไม่จำเป็นต้องฝึกอย่างขมขื่นเช่นนี้ในอนาคต” ซูเฉินอธิบายอย่างใจเย็น

ความทะเยอทะยานของซูเฉินทำให้หลินจุ้ยหลิวถึงกับพูดไม่ออก

อันที่จริงแล้วเขาไม่ถือว่าเป็น ‘นักวิจัย’ อย่างแท้จริงด้วยซ้ำ เพราะยังขาดกระบวนการคิดเบื้องต้นที่จำเป็นทางวิทยาศาสตร์อยู่

แต่ซูเฉินนั้นแตกต่างออกไปอย่างเห็นได้ชัด

ก่อนที่จะค้นพบว่าท้องสมุทรโศกามีหน้าที่อะไร เขายังเคยคิดถึงการใช้เทคโนโลยีของท้องสมุทรโศกาเพื่อช่วยเหลือมนุษย์ด้วย

ถึงแม้ว่าท้องสมุทรโศกาจะกลืนกินศักยภาพแอบแฝงของเป้าหมายไปบ้าง แต่ก็คงไม่มีใครสนใจเรื่องนี้หากสามารถบรรลุถึงขั้นจักรพรรดิอสูรทะเลได้ และใครกันที่จะบอกได้ว่าสิ่งนี้จะสามารถแก้ไขได้ด้วยการวิจัยต่อไป

หากความสามารถของท้องสมุทรโศกาสามารถนำไปใช้กับมนุษย์ได้ มันก็จะส่งผลอย่างใหญ่หลวงให้กับมวลมนุษยชาติอย่างแน่นอน

ดังนั้นแล้วซูเฉินจึงสนใจในความคิดเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้น

แล้ววิธีการที่จะจัดการกับท้องสมุทรโศกาล่ะ ?

ทางแก้เรื่องนี้จะปรากฏเมื่ออนุภาคของสสารต้นกำเนิดถูกแยกออกมาได้แล้วเท่านั้น

ซึ่งนั่นก็จะทำให้เขาค้นพบวิธีการที่จะทำลายสสารต้นกำเนิด อีกด้วย

แล้วการจะหาวิธีทำลายสสารต้นกำเนิดจะยากไหมล่ะ….

แน่นอนว่าไม่เลย !

อย่างที่รู้กันแล้วว่าสสารต้นกำเนิดประเภทนี้จะสลายไปเองเมื่อมันถูกนำออกมาจากหุบเหว

นั่นแปลว่าสสารต้นกำเนิดนี้จะมีอยู่ต่อไปได้ภายใต้ข้อจำกัดมากมายเท่านั้น เมื่อใช้ส่วนประกอบที่ถูกต้องในที่ที่เหมาะสมแล้ว ก็จะทำให้สามารถต่อต้านกับปฏิกิริยาของท้องสมุทรโศกาได้

ใช่แล้ว… เมื่อความลับเบื้องหลังการเจริญเติบโตของอสูรทะเลถูกค้นพบแล้ว การวิจัยของซูเฉินก็เรียกได้ว่าเข้าสู่ทางด่วนเป็นที่เรียบร้อย ในไม่ช้านี้การวิจัยของเขาอาจเสร็จสิ้นอย่างสมบูรณ์ก็ได้

แต่ถึงอย่างนั้น แผนของซูเฉินก็อาจทำให้ทุกอย่างซับซ้อนชั่วคราว

อย่างไรแล้วการทำลายและการจัดสรรก็เป็นเรื่องที่แยกออกจากกันอย่างสิ้นเชิง

หลินจุ้ยหลิวค่อนข้างประหลาดใจกับความของซูเฉิน “เจ้าต้องการจะเอาสิ่งที่ถูกออกแบบมาเพื่ออสูรทะเลมาใช้กับมนุษย์อย่างนั้นหรือ ข้าไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อไปแล้วละซูเฉิน”

ฝ่ายซูเฉินตอบกลับไป “เป็นไปได้ว่าสิ่งนี้ถูกออกแบบมาเพื่อใช้งานกับใครบางคนอยู่แล้วตั้งแต่แรก”

อะไรนะ… ?!

หลินจุ้ยหลิวผงะเมื่อได้ยินคำของซูเฉิน

ฝ่ายซูเฉินกล่าวต่อไป “ผ้าเท่อลั่วเค่อ อธิบายหน่อยสิ”

เสียงของผ้าเท่อลั่วเค่อพลันดังก้องขึ้นทั่วห้อง “ในยุคของอาณาจักรอาร์คาน่านั้นมีความคิดอันทะเยอทะยานผุดขึ้นมากมาย ซึ่งรวมถึงเรื่องการเป็นอมตะ การเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับพลังกายของมนุษย์ การส่งผ่านความทรงจำ การควบคุมสิ่งมีชีวิต และอีกหลายอย่าง หนึ่งในนั้นความคิดเหล่านั้นก็คือการพัฒนาการสิ่งมีชีวิต”

ผ้าเท่อลั่วเค่อไม่ได้อยู่ในห้องวิจัยนั้นด้วยจริง ๆ จิตวิญญาณของเขายังคงอยู่ในอาณาจักรเลี่ยวเยี่ยกับตระกูลจู แต่เพราะสามารถสื่อสารได้อย่างไม่จำกัดระยะทาง การทิ้งให้เขาอยู่ในอาณาจักรมนุษย์จึงทำให้การส่งต่อและเก็บข้อมูลง่ายดายกว่ามาก

อย่างไรแล้วตำแหน่งที่อยู่ของผ้าเท่อลั่วเค่อก็ไม่ได้สำคัญแต่อย่างใด เพราะเขาสามารถสื่อสารกับซูเฉินได้ทุกหนแห่งอยู่แล้ว

หลินจุ้นหลิวเคยคุยกับผ้าเท่อลั่วเค่อมาก่อน เขาจึงไม่แปลกใจนักเมื่อเสียงของผ้าเท่อลั่วเค่อดังขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นสิ่งที่เสียงนั้นกล่าวมาก็ทำให้หลินจุ้ยหลิวประหลาดใจไม่น้อย “เจ้ากำลังบอกว่าอาณาจักรอาร์คาน่าเป็นริเริ่มความคิดนี้อย่างนั้นหรือ”

ผ้าเท่อลั่วเค่ออธิบายกลับไปอย่างใจเย็น “ของอย่างสสารต้นกำเนิดที่ไม่สามารถอยู่รอดได้ในโลกภายนอกนั้นมีอยู่เฉพาะในหุบเหวเท่านั้น มันไม่มีทางที่จะมีต้นกำเนิดมาจากธรรมชาติ เป็นไปได้อย่างยิ่งที่ใครบางคนจะเป็นผู้สังเคราะห์มันขึ้นมา เท่าที่ข้ารู้ในตอนนี้ มีปรมาจารย์อาร์คาน่าจำนวนหนึ่งของอาณาจักรอาร์คาน่าที่เคยเป็นผู้เชี่ยวชาญในการวิจัยเรื่องพวกนี้ และพวกนั้นก็หวังจะเดินหน้าเรื่องการพัฒนาการของสิ่งมีชีวิตต่อไป ซึ่งก็ปรากฏว่าพวกเขาทำสำเร็จ แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่เคอหนีเก๋อเพียงคนเดียวจะสามารถพัฒนาเครื่องกลที่น่าทึ่งอย่างท้องสมุทรโศกาขึ้นมาได้ แต่หากเขาสามารถก้าวไปบนความสำเร็จของผู้อื่นที่เบื้องหน้า และพัฒนาต่อไปจากผลงานของคนพวกนั้นได้ ความเป็นไปได้ที่จะทำสำเร็จก็มีไม่น้อย”

“ถ้าเช่นนั้น……”

“เป็นไปได้ว่าอาณาจักรอาร์คาน่าได้พัฒนาเทคโนโลยีวิวัฒนาการก้าวหน้าที่กลายเป็นความล้มเหลวขึ้นมา” ซูเฉินกล่าว “และสิ่งที่พวกเราต้องทำก็คือคืนสภาพตั้งต้นให้กับมัน เพื่อที่ได้กลายเป็นความสำเร็จอีกครั้ง”