บทที่ 39 เขาหมื่นดาบตกอยู่ในอันตราย
ลมเอื่อย ๆ ยามเช้าลูบไล้ใบหน้าของทุกคนอย่างอบอุ่น
ซูเฉินยืนอยู่บนระเบียงหนึ่งของตำหนักและกำลังมองไกลออกไป ใบเรือสีขาวที่ปลิวสะบัดปรากฏให้เห็นในทุกทิศทางขณะที่กองเรือกำลังกลับเข้าสู่ท่า บรรยากาศในตอนนี้อบอวลไปด้วยเสียงและกลิ่นอายแห่งการเฉลิมฉลอง
“ในที่สุดเจ้านิกายก็มีเวลาได้ชมทิวทัศน์แล้วสินะ”
เสียงหนึ่งกล่าวทีเล่นทีจริงกับซูเฉิน
เขารู้ทันทีว่าเจ้าของเสียงนั้นคือใครโดยไม่ต้องหันกลับไปมอง ซูเฉินหัวเราะและตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อน “ข้าใช้เวลาทั้งคืนทำการทดลอง มันล้มเหลวไปทั้งหมด 1,238 ครั้งและสุดท้ายข้าก็รู้สึกเหนื่อยยิ่งนัก ก็เลยมาที่นี่เพื่อพักสักหน่อย ไม่คิดเลยว่าองค์หญิงจะบังเอิญมาพบข้าที่กำลังอู้งานอยู่เช่นนี้”
องค์หญิงเว่ยซีหมิ่นเดินเข้ามาหาซูเฉิน “ข้าจะว่าท่านเจ้านิกายอู้งานได้อย่างไรกัน สิ่งที่ท่านทำไปก็ถือว่ามากเกินพอแล้ว แต่ข้าก็ต้องบอกตามตรงว่าข้าเองไม่คาดคิดเลยว่าเราจะมาถึงจุดนี้ได้”
“จุดนี้…” หมายถึงการเข้าไปในหุบเหว ซึ่งได้ทำลายชื่อเสียงเรียงนามในการเป็นดินแดนที่ไร้ซึ่งมนุษย์ไปเสียสิ้น
แต่ซูเฉินกลับส่ายหน้า “การที่สามารถเข้าไปและกลับออกมาจากหุบเหวได้นั้นไม่ใช่เป้าหมายหรอก เรายังต้องหาวิธีจัดการกับท้องสมุทรโศกา หรืออาจเรียนรู้บางอย่างจากมันเพื่อเอามาใช้ประโยชน์กันเองด้วยก็ได้”
“เจ้านิกายซู นี่ท่านกำลังพยายามใช้มันเพื่อจุดประสงค์ส่วนตัวอย่างนั้นหรือ ?” องค์หญิงเว่ยซีหมิ่นมองซูเฉินอย่างไม่ละสายตา
ซูเฉินเองก็ไม่ได้พยายามจะปิดบังอะไรจากนางอยู่แล้ว “ถ้าเราสามารถสกัดเอาแก่นของสิ่งนี้ออกมาได้ แก่นที่ทำหน้าที่ในการกระตุ้นอัตราการเจริญเติบโตของพวกอสูรทะเล และเอามันมาพัฒนาอีกสักหน่อย ผลที่ได้ก็อาจเป็นประโยชน์แก่มนุษย์ด้วย”
“เจ้านิกายซู ท่านนี่เป็นโชคดีของมวลมนุษยชาติจริง ๆ โชคไม่ดีนักที่มนุษย์ทุกคนไม่ได้คิดเช่นนั้น” องค์หญิงเว่ยซีหมิ่นกล่าวด้วยความเสียดาย
ซูเฉินได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้ว “เหมือนท่านกำลังพยายามจะกล่าวบางอย่าง”
“เราได้รับข่าวเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้ ว่ามีคนกลุ่มหนึ่งที่คิดจะประทุษร้ายท่าน เจ้านิกายซู”
“มีคนตั้งมากมายที่คิดทำร้ายข้า”
“คราวนี้มันต่างออกไปน่ะสิ ! คนพวกนั้นไม่ได้คิดจะโจมตีท่านโดยตรง แต่เขาคิดจะโจมตีเขาหมื่นดาบ……”
แววตาของซูเฉินเป็นประกายทันที
ตอนนี้ศิษย์ระดับสูงของนิกายไร้ขอบเขตได้ออกจากนิกายกันไปแทบทั้งหมด ทำให้ในนิกายไร้ขอบเขตค่อนข้างเงียบ ดูเหมือนว่าในที่สุดก็มีใครบางคนที่ไม่พอใจและใช้โอกาสนี้ในการโจมตีนิกายเสียแล้ว
ซูเฉินไม่ได้ถามองค์หญิงเว่ยซีหมิ่นว่านางได้ยินเรื่องนี้มาจากที่ไหน อย่างไรแล้วชาวสมุทรก็ค่อนข้างมีอิทธิพลและแข็งแกร่งพอสมควร จึงไม่น่าแปลกที่พวกเขาจะมีเครือข่ายข้อมูลต่าง ๆ เป็นของตัวเอง และในทางตรงกันข้ามฝ่ายตระกูลจูก็ไม่เคยรับรู้เรื่องนี้มาก่อนเลย แต่ตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างซูเฉินกับตระกูลจูถูกเปิดเผยต่อสาธารณะแล้ว ก็เป็นธรรมดาที่ศัตรูของซูเฉินจะระมัดระวังมากขึ้น เพื่อไม่ให้ข้อมูลต่าง ๆ รั่วไหลไปยังตระกูลจูได้ และพวกเขาก็ถือว่าสุภาพมากพออยู่แล้วที่ไม่ได้โจมตีตระกูลจูโดยตรง
หลังจากคิดทบทวนดูแล้วซูเฉินก็ถามกลับไป “เจียงจูเซิงเป็นต้นเหตุของเรื่องพวกนี้หรือเปล่า”
เว่ยซีหมิ่นหัวเราะ “ท่านนี่มองขาดทีเดียว ! แต่ไม่ใช่แค่เขาคนเดียวหรอก…. ยังมีคนจากหลงซางที่ผลักดันเรื่องนี้อยู่ด้วยเหมือนกัน แล้วก็ดูเหมือนว่าหลี่หวู่อี้จะมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย”
“หลี่หวู่อี้หรือ ?” ซูเฉินตะลึง “เขาไม่น่าเป็นคนที่คิดอะไรตื้น ๆ เช่นนั้น ทำไมถึงได้ทำเรื่องแบบนี้นะ ?”
“บางครั้งการเป็นคนคิดตื้นหรือไม่ก็ไม่ได้เกี่ยวกันหรอก เขาคงมีจุดประสงค์แอบแฝงบางอย่างของตัวเองอยู่เหมือนกัน”
ซูเฉินอดนึกถึงหลี่ต้าวหงขึ้นมาไม่ได้
หลี่หวู่อี้ไม่สามารถให้อภัยที่ซูเฉินสังหารลูกชายของเขาได้เลยจริง ๆ หรือ ?
หรือว่าจะมีเหตุผลอื่นกันแน่
ซูเฉินพลันนึกขึ้นได้ถึงเผ่าวิญาณคนหนึ่งที่หนีไปก่อนหน้านี้
ทฤษฎีหนึ่งค่อย ๆ เป็นรูปเป็นร่างขึ้นในหัวของเขา
จากนั้นชายหนุ่มก็เผยยิ้มออกมา
เมื่อเว่ยซีหมิ่นเห็นว่าซูเฉินดูอารมณ์ดีขึ้นเช่นนั้นนางก็ชะงักไป “อะไรหรือท่านเจ้านิกายซู”
ชาวสมุทรถกเถียงกันมานานว่าใครจะเป็นผู้มาเตือนซูเฉินถึงเรื่องการโจมตีนิกาย เพราะพวกเขาต่างก็กังวลว่าชายหนุ่มจะออกจากหุบเหวไปด้วยเหตุนี้
สุดท้ายแล้ว ผู้นั้นก็คือเว่ยซีหมิ่น ผู้ที่เชื่อว่าความจริงใจเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพันธมิตร และอย่างไรแล้วซูเฉินก็คงจะต่อต้านพวกเขาไม่น้อยหากได้รู้ในภายหลังว่าชาวสมุทรปิดบังความจริงเรื่องนี้จากเขา
แม้ว่าซูเฉินจะยังคงร่วมมือกับชาวสมุทรต่อไปเพราะเขายังต้องการดวงตาไห่เสิน แต่การปิดบังความจริงไว้ก็จะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายอย่างแน่นอน เว่ยซีหมิ่นตัดสินใจที่จะแจ้งให้ซูเฉินรู้ล่วงหน้าเพื่อที่จะรักษาสัมพันธ์ที่ดีเอาไว้นั่นเอง
ชาวสมุทรที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ภายใต้แรงกดดันจากหุบเหวนั้นต่างให้คุณค่ากับความแข็งแกร่งทางการทหารมากกว่าการใช้วิธีทางการเมือง และความสัมพันธ์ที่ดีกับพันธมิตรมากกว่าการใช้อุบายต่าง ๆ ซึ่งนี่ก็คือสาเหตุที่พวกเขารอบคอบเป็นพิเศษในเรื่องการจัดการความสัมพันธ์กับซูเฉิน เพื่อไม่ให้ซูเฉินเข้าใจผิด
แต่ถึงอย่างนั้นเว่ยซีหมิ่นก็ยังเป็นกังวลเหลือเกินอยู่ดี
แต่นางก็ไม่คาดคิดเลยว่าซูเฉินจะตอบรับกับคำเตือนของนางเช่นนี้… !
เขากล่าวตอบกลับมาอย่างใจเย็น “อย่าห่วงเลย ข้าหัวเราะก็เพราะศัตรูของข้าได้ทำผิดครั้งใหญ่แล้วก็เท่านั้นละ แม้ว่าเขาหมื่นดาบจะเป็นเหมือนรากฐานของนิกายข้า แต่อันที่จริงแล้วตัวข้าเองต่างหากที่เป็นรากฐานที่แท้จริง รวมถึงศิษย์ชั้นสูงของนิกายด้วย ถ้าพวกนั้นทำลายรังที่ว่างเปล่าได้สำเร็จแล้วอย่างไรล่ะ นี่ข้ายังไม่ได้พูดถึงนะว่า… พวกนั้นอาจไม่ชนะด้วยซ้ำ”
“พวกนั้นอาจไม่ชนะหรือ ?” เว่ยซีหมิ่นตะลึง
“ถูกต้อง” ซูเฉินตอบ “ความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุดก็คือพวกนั้นไม่ควรรอนานถึงสองปีเพื่อที่จะโจมตี”
ศิษย์จำนวนห้าหมื่นคนจากทั้งหมดแปดหมื่นคนของนิกายไร้ขอบเขตได้ออกเดินทางมาด้วยในครั้งนี้ ซึ่งนั้นแปลว่ามีศิษย์เหลืออยู่ในนิกายเพียงสามหมื่นคนเท่านั้น
หากซูเฉินสามารถสร้างผู้ฝึกตนด่านสู่พิสดารขึ้นที่นี่ได้ภายในสองปี แล้วที่เขาหมื่นดาบจะเป็นอย่างไรล่ะ ?
…ฝ่ายเขาหมื่นดาบก็คงมีผู้ฝึกตนด่านสู่พิสดารเพิ่มขึ้นอีกราวหนึ่งพันคนด้วยเช่นกัน
ในตอนนี้เมื่อไม่มีข้อจำกัดในเรื่องของสายเลือดแล้ว ศิษย์นิกายไร้ของเขตก็เริ่มผุดขึ้นมากมายราวกับวัชพืช
ไม่มีใครรู้สถานการณ์ของนิกายดีไปกว่าซูเฉินอีกแล้ว
เขารู้ว่าตราบใดที่พวกเขามีเวลามากพอ ศิษย์นิกายไร้ขอบเขตก็จะแข็งแกร่งพอที่จะสร้างปาฏิหาริย์ได้อย่างแน่นอน
ส่วนในตอนนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดของก็คือเตือนให้พวกเขารู้เรื่องนี้เสียก่อนล่วงหน้า
ต้องขอบคุณที่ผ้าเท่อลั่วเค่อยังคงอยู่กับตระกูลจู เพราะนั่นหมายความว่าซูเฉินก็จะสามารถส่งต่อข้อมูลเรื่องนี้ไปนิกายไร้ขอบเขตได้ในพริบตาเดียว
ที่ในนิกายไร้ขอบเขต
กัวเหวินฉางเป็นศิษย์นิกายไร้ขอบเขตรุ่นใหญ่เพียงคนเดียวที่เหลืออยู่
เดิมทีนั้นเขาเป็นขุนนางมาก่อน แต่เพราะเขาเกิดในตระกูลสายเลือดชั้นสูง กัวเหวินฉางจึงกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดเมื่อสายเลือดของเขาเริ่มทำงาน
โดยปกติแล้ว กัวเหวินฉางเป็นคนที่ค่อนข้างเกียจคร้าน เขาชอบที่จะเรียนหนังสือมากกว่าต่อสู้ ดังนั้นแม้ว่าเขาจะเป็นผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิด แต่เขาก็ยังลังเลที่จะมุ่งเน้นไปที่การฝึกตนเพียงอย่างเดียว
ทว่าโชคชะตาพาเขามาอยู่ในกองทัพกำลังสวรรค์ ที่ที่เขาไม่สามารถหนีจากชั้นเรียนทั้งหลายหรือการฝึกตนได้ ซึ่งก็คือสาเหตุที่เขามาถึงจุดที่อยู่ในวันนี้ได้นั่นเอง แต่ถึงอย่างนั้น เพราะว่าเขาเกลียดการต่อสู้เหลือเกิน ความแข็งแกร่งของเขาจึงถือว่าน้อยที่สุดในบรรดาผู้นำทั้งเจ็ดแห่งกองทัพกำลังสวรรค์ แต่กัวเหวินฉางก็ไม่ได้สนใจเรื่องนั้นแต่อย่างใด เพราะเป้าหมายของเขาอยู่ที่อื่น การฝึกนั้นจำเป็นสำหรับทหารก็จริง แต่ถ้าเป็นไปได้ เขาก็อยากเป็นขุนนางมากกว่าอยู่ดี
ด้วยเหตุนี้ กัวเหวินฉางจึงเป็นผู้ที่คอยดูแลความเรียบร้อยของกองทัพกำลังสวรรค์เสมอมา และตอนนี้เขาก็กำลังรับหน้าที่ในการดูแลทั้งนิกายไร้ขอบเขตด้วย
มีคนสามคนด้วยกันที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาของนิกายไร้ขอบเขต แน่นอนว่าซูเฉินก็คือคนแรก ในฐานะผู้คิดค้นวิชาสู่อมตะและเจ้านิกาย ศิษย์มากมายในสำนักจึงยกย่องนับถือเขา คนที่สองนั้นก็คือหลี่ฉงซาน ในฐานะที่เป็นผู้บังคับบัญชามากความสามารถ เขาทั้งเก่งในเรื่องการบริหาร และยังดูแลให้ศิษย์ทั้งหลายอยู่ในระเบียบได้ หากศิษย์นิกายไร้ขอบเขตรักและเทิดทูนซูเฉิน พวกเขาก็จะต้องกลัวหลี่ฉงซานอย่างแน่นอน และในช่วงเริ่มแรกของการเติบโตของนิกาย การกำกับดูแลอย่างเข้มงวดก็ถือเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง ส่วนคนที่สามก็คือกัวเหวินฉางนั่นเอง เขาไม่น่าเกรงขามเท่าหลี่ฉงซานก็จริง แต่กัวเหวินฉางก็มีหน้าที่ในการดูแลกิจการเล็กใหญ่ทุกอย่างในนิกาย ซูเฉินกับหลี่ฉงซานนั้นดูแลในส่วนของภาพรวมเสียมากกว่า ในขณะที่กัวเหวินฉางพอใจกับการจัดการเรื่องเล็กน้อยที่เหลือ
หากจะเรียกว่ากัวเหวินฉางเป็นเหมือนพ่อบ้านของนิกายไร้ขอบเขตก็คงจะไม่ผิดนัก หากไม่มีเขา หลายอย่างคงไม่สะดวกอย่างที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้แน่นอน
หลังจากที่ซูเฉินออกเดินทางไปพร้อมกับกองทัพศิษย์ กัวเหวินฉางก็รับหน้าที่ในการป้องกันนิกาย การดูแลเรื่องนิกายจึงเป็นหน้าที่ของเขาไปโดยปริยาย
ความสามารถของกัวเหวินฉางทำให้เขาดูแลให้นิกายไร้ขอบเขตให้เรียบร้อยได้
วันนี้ กัวเหวินฉางกำลังอ่านหนึ่งในรายงานที่ถูกส่งมาให้กับเขาพร้อมกับจิบชาอย่างสบายอารมณ์
ศิษย์คนหนึ่งรีบวิ่งเข้ามาและกล่าวขึ้น “หัวหน้า เราได้รับแจ้งเรื่องด้วยจากตระกูลจู”
“เอาเข้ามาเลย”
แผ่นหยกถูกส่งมาให้กับกัวเหวินฉาง และถ้อยคำมากมายก็เริ่มล่องลอยผ่านพื้นผิวของมัน คำเหล่านั้นทำให้ม่านตาของกัวเหวินฉางหดตัวลงทันทีก่อนที่จะเขาจะกล่าวต่อไปด้วยความเยือกเย็น “จองหองนัก ! ไปเรียกทั่วไห่กับคนอื่น ๆ มา”
ไม่ช้าห้องโถงของกัวเหวินฉางก็เต็มไปด้วยผู้คน ซึ่งล้วนเป็นศิษย์กลุ่มที่แสดงศักยภาพได้ดีในช่วงหลายปีที่ผ่านมาทั้งสิ้น
“ท่านเจ้านิกายส่งข่าวมาว่าอาณาจักรประกายวารีกับหลงซางกำลังวางแผนจะโจมตีเขาหมื่นดาบ และเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าอาณาจักรเลี่ยวเยี่ยจะร่วมมือกับพวกเขาด้วย พวกเจ้าคิดว่าอย่างไรบ้าง ?” กัวเหวินฉางพูดเข้าประเด็นทันทีโดยไม่อ้อมค้อม
“สามอาณาจักรร่วมมือกันโจมตีอย่างนั้นหรือ ? นี่เรื่องจริงใช่ไหม” ทุกคนต่างอึ้งและเริ่มพูดคุยกันเอง
“แล้วท่านเจ้านิกายว่าอย่างไรบ้างกับเรื่องที่สำคัญเช่นนี้” ใครบางคนถามขึ้น เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าต้องทำอย่างไรต่อไป
กัวเหวินฉางตอบ “เจ้านิกายบอกว่าหุบเหวน่ะไกลเกินไป และสงครามครั้งใหญ่กำลังจะเกิดขึ้นที่นั่น เขาอาจไม่สามารถส่งทัพกลับมาเป็นกำลังเสริมให้กับเราได้ ดังนั้นพวกเราต้องหาทางจัดการเรื่องนี้กันเอง เจ้านิกายเชื่อในความแข็งแกร่งของพวกเรา และเขาก็จะยอมรับทุกการตัดสินใจที่เราเลือก”
เมื่อได้ยินดังนั้น ทุกคนก็เข้าใจถึงเจตนาของซูเฉินในทันที
ชายร่างกำยำคนหนึ่งที่มีหนวดเคราเต็มใบหน้าพลันยืนขึ้นและกล่าวอย่างเด็ดขาด “ยังต้องพูดอะไรกันอีกหรือ ? เราก็สู้จนตัวตายไปเลยสิ !”
ชื่อของเขาก็คือเหยียนทั่วไห่ หนึ่งในศิษย์สายตรงกัวเหวินฉางนั่นเอง แม้ว่าเขาจะดูค่อนข้างแก่แล้ว แต่เหยียนทั่วไห่ก็ยังอายุน้อยอยู่ เป็นเพราะหนวดเครามากมายบนใบหน้าเท่านั้นที่ทำให้เขาดูเป็นผู้ใหญ่กว่าความเป็นจริง
“เราต้านทานกับอานุภาพของสามอาณาจักรรวมกันไม่ไหวแน่ การเผชิญหน้ากับพวกเขาโดยตรงน่าจะเกินไปหน่อยนะ” ใครบางคนขัดขึ้น
“ท่านบอกว่าสามอาณาจักรร่วมมือกันใช่ไหม ? แต่พวกเขาจะส่งแค่พวกทหารมาหรือ… ? ท่านไม่คิดว่าจักรพรรดิของพวกนั้นจะมาด้วยตัวเองใช่ไหม” ศิษย์ผิวซีดคนหนึ่งถามขึ้น ชื่อของเขาคือจวีเหลียง ผู้ซึ่งเป็นปราชญ์ที่แสนทะเยอทะยานในการเป็นขุนนางที่มีชื่อเสียง ทว่าสุดท้ายแล้วความท้อแท้ต่อระบบของราชการก็ทำให้เขาต้องหันหน้าเข้าหาการฝึกตนแทน แต่ถึงอย่างนั้น เพราะเขาเป็นเพียงคนทั่วไปที่ไม่มีสายเลือด การฝึกตนจึงเป็นไปได้อย่างยากลำบากทีเดียวสำหรับเขา
ในอดีตนั้น เขาเคยเป็นหนึ่งในคนหลุ่มแรกที่หันเข้าหานิกายไร้ขอบเขตเพื่อขอความช่วยเหลือ และยังเป็นผู้ค้นพบศักยภาพในการฝึกตนที่ซ่อนอยู่อีกด้วย อัตราในการซึมซับพลังต้นกำเนิดของจวีเหลียงรวดเร็วกว่าศิษย์ส่วนมาก และเขาก็เรียนรู้ได้เร็วมากทีเดียว นั่นทำให้จวีเหลียงกลายเป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดกลุ่มแรกที่บรรลุด่านสู่พิสดาร และเป็นหนึ่งในผู้ฝึกตนด่านสู่พิสดารเพียงไม่กี่คนที่ไม่ได้ออกเดินทางและจากนิกายไร้ขอบเขตไป
เพราะเขาเคยเป็นขุนนางที่เก่งในด้านการบริหารมาก่อน จวีเหลียงจึงอยู่ที่นี่เพื่อคอยช่วยเหลือกัวเหวินฉางนั่นเอง
“ต่อให้ไม่ได้มากันทั้งกองทัพ พวกเราก็อาจไม่สามารถต้านทานได้อยู่ดี ข้าคิดว่าเราควรย้ายถิ่นฐาน… นั่นจะเป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่จะทำให้เรารอดได้” ศิษย์อีกคนหนึ่งจากกรมคันฉ่องกล่าว
“เจ้าหมายถึงให้เราหนีไปอย่างนั้นหรือ ?” น้ำเสียงของเหยียนทั่วไห่แฝงไปด้วยความรังเกียจ
“หนีหรือ ? เปล่าเลย ! มันคือการย้ายที่อยู่ การย้ายที่อยู่น่ะท่าน ! หน้าที่ของเราคือปกป้องนิกายและสมบัติของนิกาย หากเราพยายามที่จะสู้ตอบ แล้วใครจะรับผิดชอบชีวิตของศิษย์ทั้งสามหมื่นคนนี้กัน ? ใครกันที่จะเป็นผู้ดูแลทรัพยากรจำนวนนับไม่ถ้วนที่นิกายเรามีในครอบครอง แล้วใครกันที่จะเป็นผู้ส่งต่อวิชาการฝึกต่อไป ?”
เหล่าศิษย์เริ่มจะทะเลาะกันเองเสียแล้ว
หนี ต่อสู้ ขอกำลังเสริม…. นอกจากการยอมแพ้แล้ว ศิษย์ทั้งหลายก็พากันเสนอความเห็นออกมามากมาย
ทุกคนต่างมีวิธีการมองและกระบวนการคิดเกี่ยวกับสถานการณ์นี้แตกต่างกันไป และผู้ที่ต้องการจะหนีก็ไม่ได้แปลว่าจะต้องเป็นคนขี้ขลาด พวกเขาอาจมองถึงเรื่องความเห็นใจต่อเพื่อนศิษย์ที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคตก็ได้ ในทางตรงกันข้าม ผู้ที่ต้องการจะสู้ก็ไม่ได้แปลว่าเป็นคนกล้าหาญ พวกเขาอาจใจร้อนและวู่วามเท่านั้นก็ได้ ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างเริ่มถกเถียงกันอย่างดุเดือด แต่สุดท้ายแล้วกัวเหวินฉางก็ยังเป็นผู้ถืออำนาจสิ้นสุดในการตัดสินใจ
กัวเหวินฉางยังไม่พูดอะไร
หลังจากเวลาผ่านไปครู่ใหญ่
เขาก็กล่าวขึ้น “เจ้านิกายบอกให้ข้าจัดการกับหน้าที่ของนิกายเราแทนเขา ข้าจะทำผิดพลาดไม่ได้เป็นอันขาด ข้าเป็นขุนนาง ข้าเกลียดการต่อสู้ แม้ว่าข้าจะมีพื้นฐานด้านการฝึกตนก็ตาม แต่โชคชะตาก็พาข้าให้เข้าใกล้การต่อสู้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า นี่อาจเป็นแค่โชคชะตาของเรา… โชคชะตาของมนุษย์ โชคชะตาของเหล่าทหาร… เราจะต้องทำหน้าที่ของเราในสมรภูมิอยู่ดีไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง ในขณะที่ทหารทั้งหลายกำลังเอาชีวิตไปเสี่ยงและเป็นทัพหน้า พวกเรากลับนั่งนิ่งอยู่ที่นี่… แค่ฝึกตนและพักผ่อน เมื่อเกิดการทดสอบขึ้นอย่างครั้งนี้ เราจะตอบสนองอย่างไรล่ะ ? ควรหนีไหม หรือว่าควรเผชิญหน้าและสู้กับมัน !”
กัวเหวินฉางเงยหน้าขึ้นมองทุกคน “ข้าเป็นขุนนาง ข้าเกลียดการต่อสู้ แต่หากการต่อสู้นั้นกำลังมุ่งหน้ามาหาข้า… ข้าก็จะไม่มีทางแสดงความอ่อนแออย่างแน่นอน”
“เราจะเผชิญหน้ากับศัตรูอย่างกล้าหาญและผลักพวกนั้นกลับออกไป ใครก็ตามที่บุกรุกเข้ามาในอาณาเขตของเรา…. ก็สังหารมันให้หมด !”