ตอนที่ 812 เรื่องผิดปกติของงานประตูสวรรค์

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตอนที่ 812 เรื่องผิดปกติของงานประตูสวรรค์
เวลานี้หลิ่วหมิงกลับอ้าปากกู่ร้องยาวทีหนึ่ง ปราณดำทั่วร่างถาโถมออกมา แขนข้างหนึ่งยกขึ้น ห้านิ้วกางออกกดลงบนอากาศว่างเปล่าไปทางเงาโคสีน้ำเงินเบื้องหน้าร่าง

เสียงปังดังขึ้นหนึ่งหน

ลำแสงสีดำสายหนึ่งพุ่งออกมาจากกลางฝ่ามือ มันกะพริบทีหนึ่งก็จมหายไปกลางอากาศ

ครู่ต่อมาเงาโคสีน้ำเงินก็ร้องคำราม ร่างกายขยายใหญ่ยักษ์พรวดพราดในทันใด หลังมันพร่าเลือนหลายหนก็มีขนาดใหญ่ยักษ์ถึงสามสี่สิบจ้าง ดวงตาสองข้างสีแดงดุจโลหิต อ้าปากสีแดงออกกว้างพุ่งไปข้างหน้า

เสียง “บึ๊ม” ดังขึ้นหนหนึ่ง แสงเรืองรองสีเหลืองแถบหนึ่งซัดออกไปกลบผืนดินปิดผืนฟ้า จุดที่ผ่านไปหมอกโลหิตสีเลือดทั้งหมดถูกหอบม้วนกระชากลงไปในท้องของมัน

ถึงขนาดที่หนอนประหลาดหลายสิบตัวที่เหลืออยู่สักตัวก็หลบไม่พ้น กว่าครึ่งในนั้นถูกแสงสีเหลืองหอบเข้าไปด้านใน สูดเข้าไปในเงาร่างมหึมา

“ไม่ พลังกลืนฟ้า เป็นจู๋เสินจริงๆ!” หนอนประหลาดสิบกว่าตัวที่เหลืออยู่เห็นเช่นนี้ ตัวหนึ่งในนั้นก็กรีดร้องโหยหวน หลังจากนั้นหนอนประหลาดทั้งหมดก็หันหลังกลับหนีเตลิดไปสี่ด้านแปดทิศ

ทว่าเซียเอ๋อร์กับหัวบินที่อยู่ใกล้ๆ รวมถึงชายหนุ่มรถเงินที่ใบหน้ายินดียิ่งจะปล่อยเสือเข้าป่าได้อย่างไร สายลมสีเหลือง เปลวเพลิงสีเทาและเงากระบี่ซัดออกมาอย่างบ้าคลั่งระลอกหนึ่งทันที โจมตีหนอนประหลาดสิบกว่าตัวนี้ระเบิดกลายเป็นหมอกโลหิตสายแล้วสายเล่าเช่นเดียวกัน

แสงสีเหลืองกวาดผ่านมา หมอกโลหิตเหล่านี้ก็ถูกเงาโคสีน้ำเงินดูดไปหมดสิ้นดุจเดียวกัน

แม้กั้นขวางด้วยแสงสีน้ำเงินขมุกขมัว พวกหลิ่วหมิงก็ยังมองเห็นชัดเจน ไม่ว่าหมอกโลหิตหรือหนอนประหลาดมีชีวิตที่เงาโคสีน้ำเงินสูดเข้าไป เมื่อแสงสีน้ำเงินดวงแล้วดวงเล่ากะพริบด้านในเงาไม่กี่หน พวกมันก็ละลายสลายไปอย่างรวดเร็ว เวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจทั้งหมดก็ถูกกำจัดเกลี้ยงไม่เหลืออยู่อีกต่อไป

ท้ายที่สุดด้านในเงาโคสีน้ำเงินก็เหลือเพียงสิ่งที่หน้าตาเหมือนลูกแก้วสีดำขมุกขมัวขนาดเท่ากำปั้นลูกหนึ่งที่รอบด้านมีไอหมอกสีดำจางๆ สายแล้วสายเล่าวนล้อมอยู่ ผิวหน้ามีลวดลายจิตวิญญาณบิดเบี้ยวรูปลูกอ๊อดแผ่อยู่เต็ม ดูแล้วประหลาดทีเดียว

นี่คือ…

สองตาหลิ่วหมิงจ้องมองลูกแก้วอยู่ชั่วครู่ หลังยืนยันแล้วว่ามันไม่มีอันตรายอันใดถึงกวักมือข้างหนึ่งกับอากาศให้มันบินออกจากเงามาในพริบตา เมื่อมันหล่นลงในมือเขาอย่างมั่นคง เขาก็มองสำรวจบนจรดล่างอย่างละเอียด

“นี่อาจเป็นแก่นปีศาจของสัตว์ประหลาดที่เรียกตัวเองว่าเผ่าหนอนผีเสื้อตัวนั้นหรือไม่?” หลังชายหนุ่มรถเงินกวาดสายตาผ่านลูกแก้วกลมก็เอ่ยคาดเดา

“อืม เป็นไปได้จริงๆ” หลิ่วหมิงมองไม่เห็นสิ่งแปลกประหลาดอันใด เพียงสัมผัสได้ถึงพลังงานแข็งแกร่งบางอย่างที่บรรจุอยู่ด้านในเท่านั้น จึงพยักหน้าเหมือนคิดอะไรบางอย่างอยู่

เผ่าหนอนผีเสื้อหน้าตาเหมือนเผ่าปีศาจ พลังของร่างแยกร่างนี้ก็บรรลุถึงระดับแก่นแท้ สิ่งที่ก่อกำเนิดขึ้นในร่างก็น่าจะคล้ายกับแก่นแท้กระมัง

มือข้างหนึ่งของหลิ่วหมิงพลิกหมุนเก็บของในมือไปอย่างไม่เกรงใจสักนิด

ชายหนุ่มรถเงินยิ้มเล็กน้อย เห็นชัดว่าไม่ใส่ใจเรื่องนี้แต่อย่างใด

ในเวลาเดียวกันเงาโคสีน้ำเงินยักษ์ก็กะพริบวูบหนึ่งแล้วสลายไป หัวบินกับเซียเอ๋อร์ก็บินมาถึงตรงหน้าคำนับหลิ่วหมิงอย่างนอบน้อมอีกหน

“ครั้งนี้ลำบากพวกเจ้าแล้ว” หลิ่วหมิงพยักหน้าให้เด็กน้อยกับสตรีสาว เขาใช้เคล็ดวิชาด้วยมือเดียว ทั้งสองตัวก็กลายเป็นหมอกสีดำสองสายมุดเข้าไปในถุงหนังข้างเอว

ร่างแปลงอาภรณ์ทองด้านข้างกะพริบวูบหนึ่งก็จมเขาไปในร่างของหลิ่วหมิงหายไปไม่เห็นร่องรอย

ชายหนุ่มรถเงินเห็นเช่นนี้ ในดวงตาก็ฉายประกายประหลาด จากนั้นจึงหันไปมองภาพเละเทะรอบด้านอีกหนแล้วอดไม่ได้ถอนหายใจเอ่ยขึ้นว่า

“ครั้งนี้พวกเราสังหารสัตว์ประหลาดตัวนี้ได้ง่ายดายเช่นนี้ต้องขอบคุณวิชาลับของสหายหลิ่วจริงๆ ที่พอดีข่มพลังของมันได้ มิเช่นนั้นครั้งนี้คงโชคร้ายมากกว่าโชคดีแล้วจริงๆ น่าเสียดายก็แต่กระบี่บินจักรกลสองชุดนั้นกับรถเลี่ยหยางของข้า”

“ผู้แซ่หลิ่วก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าวิชาลับนอกรีตวิชาหนึ่งที่ร่ำเรียนมาอย่างไม่ตั้งใจเมื่อตอนนั้นจะพอดีข่มสัตว์ประหลาดตัวนี้ได้ มิเช่นนั้นเริ่มแรกก็คงใช้ออกมาแล้ว ใช่แล้ว ก่อนหน้านี้สหายเคยได้ยินเกี่ยวกับเผ่าหนอนผีเสื้อที่มันเอ่ยถึงหรือไม่?” หลิ่วหมิงยิ้มเจื่อนก่อนทีหนึ่งแล้วจึงเอ่ยถามข้อสงสัยออกมา

“ชื่อนี้ไม่เคยได้ยินมาก่อนจริงๆ ในตำรานานาชนิดที่เคยอ่านก่อนหน้านี้ก็ไม่ปรากฏชื่อเผ่าพันธุ์นี้ คิดว่าคงเหมือนเผ่าตรีศูลโลหิต เป็นเผ่าประหลาดอันแข็งแกร่งบางเผ่าจากโลกอื่น” ชายหนุ่มรถเงินครุ่นคิดเล็กน้อยก็เอ่ยเช่นนี้

“อืม ก็คงเป็นเช่นนั้นจึงจะเข้าเค้า แค่ร่างแปลงเล็กๆ เหล่านี้ก็ครอบครองพลังน่าหวาดกลัวเช่นนี้ หากร่างต้นมาเองล่ะก็ ในสายตาพวกมัน พวกเราก็คงจะเป็นตัวตนประหนึ่งมดปลวกจริงๆ” หลิ่วหมิงพยักหน้าเหมือนคิดบางอย่าง

“ข้ากลับประหลาดใจอยู่บ้าง เหตุใดร่างแปลงของสัตว์ประหลาดต่างโลกเหล่านี้จึงปรากฏตัวในแดนลึกลับประตูสวรรค์ได้ ข้างนอกเกิดเรื่องอันใดขึ้นหรืออย่างไร?” ชายหนุ่มรถเงินกลับเอ่ยอย่างครุ่นคิด

“เกิดเรื่อง? น่าจะไม่ใช่หรอก ด้านนอกวังสวรรค์ไม่ใช่แค่ผู้อาวุโสมากมายของท่านและข้าล้วนอยู่กันพร้อมหน้า ตัววังสวรรค์เองก็มีผู้ที่พลังแข็งแกร่งระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ดูแลอยู่ ไหนเลยจะเกิดเรื่องอันใดได้” หลิ่วหมิงส่ายศีรษะช้าๆ

“สหายหลิ่วพูดถูกต้อง เรื่องจริงที่แท้เป็นอย่างไร รอพวกเราไปจากสถานที่บัดซบนี่ได้ก็คงรู้ แต่พูดถึงออกไป พวกเราสังหารคู่ต่อสู้ได้แล้วกลับยังไม่อาจออกไปจากที่แห่งนี้ได้ เกรงว่าเรื่องนี้คงมีเบื้องหลังอันใดบางอย่างอยู่กระมัง” หลังชายหนุ่มรถเงินพยักหน้าก็ถอนหายใจยาวเอ่ยออกมา

“ก่อนหน้านี้ เจ้าตรีศูลโลหิตตัวนั้นด้านนอกเคยบอกว่าที่แห่งนี้คือในร่างกายของมัน มันคล้ายอยากแยกพวกเราออกแล้วไล่กำจัดทีละคน พวกเราจะรออยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้เด็ดขาด อย่างไรก็ต้องคิดวิธีออกไปให้เร็วที่สุด ลองโจมตีแบบต่างๆ ดูก่อน ดูสิว่าจะแหวกที่แห่งนี้ออกไปได้หรือไม่” หลิ่วหมิงได้ฟังสีหน้าก็เคร่งขรึมขึ้นมา

“สหายหลิ่วพูดมีเหตุผล พวกเราลงมือกันเลยเถิด” ชายหนุ่มรถเงินได้ยินก็ไม่แย้งอย่างใด

ไม่นานหลังจากนั้น ในมิติแห่งนี้ก็มีเสียง “บึ๊ม” ดังสนั่นลอยออกมาอีกครั้ง

………

นอกแดนลึกลับประตูสวรรค์ นิกายใหญ่ต่างๆ รวมตัวกันอยู่บนยอดเขาหิมะอย่างพร้อมเพรียง

บนป้ายศิลาโชคชะตาชื่อของคนสิบกว่าคนที่ค่อนไปทางหัวแถวเช่น หลิ่วหมิง หลัวเทียนเฉิง เผิงเยวี่ย เป็นต้นหม่นแสงลงพร้อมกันกะทันหัน

แม้นี่ไม่ใช่สีดำที่หมายถึงความตาย แต่พริบตาเดียวหม่นแสงลงมากมายเช่นนี้ นี่ย่อมทำให้คนไม่น้อยตกตะลึงยิ่ง

“เกิดอะไรขึ้น?”

“ชื่อของคนเหล่านี้พริบตาเดียวกลายเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?”

“ในแดนลึกลับเกิดเรื่องไม่คาดฝันอันใดขึ้นกระมัง?”

บนยอดเขาหิมะกลุ่มคนที่รุมล้อมชมดูอยู่พบความผิดปกตินี้อย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นก็ฮือฮาขึ้นมา

แต่ไม่เหมือนกับคนอื่นที่ชมดูเรื่องสนุกอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น คนของสี่ยอดนิกายใหญ่ ตระกูลโอวหยางรวมถึงหุบเขาปีศาจสวรรค์เห็นสิ่งนี้ ใบหน้ากลับย่ำแย่

เพราะชื่อเหล่านี้ล้วนเป็นศิษย์ชั้นยอดในตระกูลและนิกายของพวกเขา

ไม่นานนักลำแสงสายแล้วสายเล่าก็บินเร็วรี่มาทยอยร่อนลงบนยอดเขาหิมะ เห็นชัดว่าเป็นบุคคลระดับหัวหน้าในงานชุมนุมครั้งนี้จากนิกายต่างๆ

เพียงแต่ว่าคนเหล่านี้ล้วนสีหน้าไม่ดีทั้งสิ้น

แม้พวกเขาอยู่ในที่พำนักของแต่ละคน แต่เห็นชัดว่าพวกเขามองเห็นความผิดปกตินี้บนป้ายศิลาโชคชะตาด้วยวิธีต่างๆ นานา

“สหายวังสวรรค์ทั้งสองอธิบายให้ข้าฟังสักหน่อยได้หรือไม่ว่าที่แท้เกิดเรื่องอันใดขึ้น?” ผู้เฒ่าคิ้วขาวผู้สวมอาภรณ์ไหมงดงามผู้หนึ่งจากตระกูลโอวหยางจ้องป้ายศิลาอย่างไม่ละสายตา สีหน้าถมึงทึงขึ้นทุกที ทันใดนั้นเขาก็หันศีรษะไปมองบุรุษและสตรีชุดทองข้างป้ายศิลาโชคชะตาแล้วตวาดถามอย่างไม่สบอารมณ์

โอวหยางเชี่ยนกับน้องสาวเป็นคนสำคัญอย่างที่สุดในหมู่ลูกหลานรุ่นหลังของตระกูลโอวหยาง ไม่เช่นนั้นคงไม่มีทางส่งทั้งสองคนเข้าไปในแดนลึกลับประตูสวรรค์นี่

ทว่าดูจากสถานการณ์ในครั้งก่อนๆ ไม่ควรปรากฏเรื่องไม่คาดฝันอันใดถึงจะถูก วันนี้เกิดสถานการณ์ประหลาดเช่นนี้จะไม่ให้ผู้เฒ่าคิ้วขาวทั้งตกใจทั้งโกรธเกรี้ยวได้อย่างไร

คนอื่นรวมถึงเทียนเกอเจินเหริน แต่ละคนก็ละสายตาจากบนป้ายศิลามาบนร่างของทูตแห่งวังสวรรค์ทั้งสองคนด้วย บางคนจับจ้องด้วยดวงตาโกรธเกรี้ยว บางคนใบหน้าไร้อารมณ์ บางคนในดวงตาเปล่งประกายแสงเจิดจ้าคล้ายกำลังรอคอยคำอธิบายของทั้งสองคนอยู่

แต่ละคนที่ชื่อหม่นแสงไป ไม่ต้องพูดเลยว่าล้วนเป็นศิษย์หัวกะทิในแต่ละนิกาย คนใดคนหนึ่งเกิดเรื่องล้วนเป็นความเสียหายใหญ่หลวงอย่างที่สุดต่อนิกายทั้งสิ้น

ทูตวังสวรรค์ทั้งสองก็สีหน้าเคร่งเครียดผิดปกติเช่นกัน งานประตูสวรรค์ที่ผ่านมาไม่เคยปรากฏสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน

“สหายทุกท่านไม่ต้องตระหนก ป้ายศิลาโชคชะตานี่เป็นสมบัติสื่อจิตวิญญาณในวังสวรรค์ของเรา ในเมื่อชื่อศิษย์รุ่นหลังของทุกท่านยังไม่กลายเป็นสีเทาก็บ่งบอกว่ายามนี้พวกเขายังมีชีวิตอยู่” บุรุษหน้ากากทองแดงรีบร้อนเอ่ยปากอธิบาย

ได้ยินคำนี้ พวกเทียนเกอเจนเหรินถึงสีหน้าผ่อนคลายลงบางส่วน

“ถ้าเช่นนั้นเหตุใดจึงมีแต่ศิษย์รายชื่อค่อนไปหัวแถวเหล่านี้ที่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น?” ผู้เฒ่าคิ้วขาวคล้ายไม่พอใจคำอธิบายนี้ เอ่ยถามต่อด้วยเสียงเย็นชา

“สหายโอวหยางพูดถูกต้องอย่างที่สุด เรื่องนี้ขอเชิญทั้งสองท่านมอบคำอธิบายที่สมเหตุสมผลสักข้อ!” ชายวัยกลางคนสุภาพผู้สวมชุดบัณฑิตสีขาวผู้หนึ่งอีกด้านเอ่ยปากขึ้นช้าๆ

“หากศิษย์ของนิกายเราฝีมือสู้ผู้อื่นไม่ได้จนล้มตายอยู่ด้านใน พวกเราก็ไม่มีคำใดจะพูด แต่ในเมื่อคนมากมายเช่นนั้นเกิดเรื่องไม่คาดฝันพร้อมกัน เห็นชัดว่าต้องมีสาเหตุ ไม่ใช่เรื่องธรรมดาเช่นนั้น” เทียนเกอเจินเหรินที่เดิมเงียบงันไม่พูดจาก็ค่อยๆ เอ่ยวาจาเช่นกัน

“ทุกท่าน ข้ารับประกันได้ว่า ศิษย์ในนิกายของทุกท่านจะไม่เกิดเรื่องแน่นอน วังสวรรค์ของเราจัดงานประตูสวรรค์ขึ้นมาหลายครั้งนัก ตลอดมาเปิดเผยโจ่งแจ้ง ไม่เคยเกิดเรื่องไม่คาดฝัน” บุรุษหน้ากากทองแดงรีบเอ่ยรับประกัน

“ส่วนเรื่องประหลาดบนป้ายศิลาโชคชะตานี้ พวกเราจะต้องตรวจสอบสักหน่อย” สตรีชุดทองด้านข้างเอ่ยอย่างจริงจังเช่นกัน

ในเวลาเดียวกัน บุรุษหน้ากากทองแดงก็หมุนตัวไปประจันหน้ากับป้ายศิลา ดวงตากลายเป็นจริงจัง สองมือทำท่ามือซับซ้อนอย่างที่สุดนานาชนิดต่อเนื่องกัน ปากก็เอ่ยท่องมนตร์เสียงต่ำออกมา

คนอื่นๆ สบตากันแล้วกดความกังวลในใจลงไปชั่วคราว พวกเขาจ้องทุกการกระทำของบุรุษหน้ากากทองแดงอย่างไม่ละสายตา

ทว่าทันใดนั้นบุรุษหน้ากากทองแดงก็หยุดท่องมนตร์กะทันหัน เขาอ้าปากพ่นพลังหลายก้อนออกมา พร้อมกับที่เคล็ดวิชาในมือชี้นำ พลังก็กลายเป็นเปลวเพลิงสีน้ำเงินก้อนหนึ่งซึมลงไปในป้ายศิลาโชคชะตาทันที

บนป้ายศิลาโชคชะตาค่อยๆ เปล่งแสงสว่างสีขาว ทว่าชื่อของพวกหลิ่วหมิงก็ยังคงหม่นแสงอยู่ทั้งแถบคล้ายไม่มีสีสันขึ้นมาแต่อย่างใด

บุรุษหน้ากากทองแดงขมวดคิ้วพลางท่องมนตร์แผ่วเบาแล้วล้วงลูกแก้วกลมประหลาดครึ่งดำครึ่งขาวลูกหนึ่งออกมา ขณะที่ปากเอ่ยท่องมนตร์พักหนึ่ง สีดำขาวในลูกแก้วก็เคลื่อนวนผสมกัน

เมื่อเขาเห็นเช่นนี้ก็ไม่พูดพร่ำยกมือขึ้น จิ้มบนอากาศไปทางชื่อของพวกหลิ่วหมิงบนป้ายศิลา

บนชื่อของพวกหลิ่วหมิงฉับพลันมีปราณสีเทาเดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่สายแล้วสายเล่ากระจายออกมา จากนั้นทยอยแล่นมาจมเข้าไปในลูกแก้วกลมในมือเขา

ผลปรากฏว่าครู่ต่อมาในลูกแก้วกลมฉับพลันฉายแสงสีเลือดออกมาแถบหนึ่ง จากนั้นก็ส่งเสียง ดัง “ปัง” ระเบิดออกมาในทันใด

บุรุษหน้ากากทองแดงตกตะลึง ท้ายที่สุดสีหน้าก็เคร่งเครียด

ผู้คนที่ล้อมดูอยู่ตรงหน้าเห็นเช่นนี้ก็กระซิบกระซาบกันในทันที