ตอนที่ 813 ศึกกับชวีเหยา (ต้น)

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตอนที่ 813 ศึกกับชวีเหยา (ต้น)
สีหน้าของพวกเทียนเกอเจินเหรินยิ่งย่ำแย่ลงอีก เพียงแต่ติดที่ฐานะจึงไม่สะดวกแสดงออกเท่านั้น

“ศิษย์พี่ เกิดสถานการณ์เช่นนี้ได้อย่างไร?” สตรีจากวังสวรรค์เห็นเช่นนี้คิ้วดำก็ขมวด ลอบส่งกระแสจิตถามพรรคพวก

“ไม่รู้ เรื่องนี้ประหลาดนัก งานชุมนุมครั้งก่อนๆ ไม่เคยเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นเลย”

สีหน้าของบุรุษหน้ากากทองแดงก็ย่ำแย่อยู่บ้างเช่นกัน หลังนิ่งไปครู่หนึ่งจึงส่งกระแสจิตอบต่อ

“ตอนนี้เกิดสถาการณ์เช่นนี้เหมือนป้ายศิลาโชคชะตาสัมผัสสถานการณ์ของศิษย์เหล่านี้ไม่ได้กะทันหัน ป้ายศิลาโชคชะตากับแดนลึกลับประตูสวรรค์เกี่ยวข้องกันแนบแน่น ตามหลักแล้วขอเพียงคนเหล่านี้ยังอยู่ในมิติของแดนลึกลับ ป้ายศิลาโชคชะตาล้วนจะสัมผัสได้ นอกเสียจากคนเหล่านี้ไม่อยู่ในแดนลึกลับอีกต่อไปแล้ว”

“นี่เป็นไปไม่ได้ ทั้งแดนลึกลับประตูสวรรค์วางชั้นจำกัดตัดขาดอาณาเขตไว้แล้ว ตัดขาดกับมิติทั้งหมดในโลกภายนอก ไม่อาจมีผู้ใดเคลื่อนย้ายออกมาตามใจได้เด็ดขาด” นางเอ่ยอย่างมั่นใจ

บุรุษหน้ากากทองแดงเงียบงันไม่พูด นี่ก็เป็นเรื่องที่เขาคิดไม่ออกมาตลอดเช่นกัน

“ทั้งสองท่าน ได้ผลแล้วหรือไม่”

เวลานี้เองชายวัยกลางคนสุภาพชุดบัณฑิตสีขาวก็เอ่ยถามออกมาช้าๆ

ทูตวังสวรรค์ทั้งสองสบตากันทีหนึ่งแล้วได้แต่บอกความจริงแก่ทุกคน

“ตอนนี้กระทั่งพวกท่านวังสวรรคืก็ไม่อาจยืนยันสถานการณ์ปัจจุบันของศิษย์เหล่านี้ได้หรือ” ผู้เฒ่าคิ้วขาวจากตระกูลโหวหยางได้ยิน บนหน้าก็เต็มไปด้วยสีหน้าไม่อยากเชื่อ

คนอื่นก็โกลาหลพักหนึ่งเช่นกัน

“ทุกท่านโปรดอย่างเพิ่งร้อนใจ ข้าจะแจ้งผู้อาวุโสเทียนเหอเดี๋ยวนี้ ท่านผู้เฒ่าพลังระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์น่าจะมีหนทางจัดการได้” บุรุษหน้ากากทองแดงฉับพลันถอนหายใจแผ่วเบาเอ่ยปากบอก

ครั้งนี้เขาเป็นผู้ดำเนินงานประตูสวรรค์ ตั้งแต่หอเป๋ยโต่วตอนเริ่มต้นจนถึงตอนนี้มีเรื่องไม่หยุดไม่หย่อน แม้ไม่ใช่ความรับผิดชอบของเขา ทว่าเมื่องานครั้งนี้สิ้นสุดลงคิดว่าเบื้องบนคงประเมินค่าตนต่ำลงแล้ว

พูดไปบุรุษหน้ากากก็เอาแผ่นค่ายกลสีขาวแผ่นหนึ่งออกมา หลังเอ่ยแผ่วเบาสองสามประโยค แสงสีขาวบนแผ่นค่ายกลก็สว่างขึ้นแล้วเงียบงันลงอีกครั้งอย่างรวดเร็ว

………

ในมิติมืดสนิทแห่งหนึ่ง

สัตว์ประหลาดที่ทั้งร่างส่องแสงสีเลือดขมุกขมัวสูงถึงหนึ่งจั้งกว่าตัวหนึ่งกำลังหลับตาทั้งสองข้างแน่นนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น ปีกสองข้างบนแผ่นหลังของมันหุบอยู่สองข้างของลำตัว หางกระดูกขดอยู่ด้านข้างตามสบาย มือข้างหนึ่งกำตรีศูลที่ส่องแสงสีดำสนิทเล่มหนึ่งไว้ อีกมือหนึ่งเปลี่ยนเคล็ดวิชาไม่หยุด

คนผู้นี้เห็นชัดว่าคือตรีศูลโลหิตที่ซ่อนตัวอยู่ที่นี่นั่นเอง

ด้านบนตรีศูลมีลูกบอลเนื้อสีเลือดขนาดสองสามชุ่นที่เหมือนกันทุกประการสองก้อน บนผิวของพวกมันมีอักขระประหลาดจางๆ กะพริบไม่หยุดท่ามกลางปราณสีดำที่วนเวียนอยู่รอบ พร้อมกับที่ปากของตรีศูลโลหิตท่องมนตร์ พวกมันก็บินวนรอบปลายตรีศูลช้าๆ ไม่หยุด

แต่ละรอบที่วน อักขระด้านในก็สว่างขึ้นอยู่เลือนราง

เสียง “ฟู่” ดังขึ้นเบาๆ!

ลูกบอลเนื้อสีเลือดลูกหนึ่งในนั้นฉายแสงสีแดงแล้วระเบิดออกอย่างกะทันหัน

ใบหน้าของตรีศูลโลหิตที่เดิมทีส่องแสงสีแดงอ่อนฉับพลันบิดเบี้ยววูบหนึ่ง จากนั้นอ้าปากพ่นเลือดคำหนึ่งออกมา ปราณบนร่างห่อเหี่ยวลงอย่างรวดเร็ว

“คุกโลหิตถูกทำลายไปอันหนึ่ง หรือเจ้าเผ่าหนอนผีเสื้อตัวนั้นจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันอันใดขึ้น? พึ่งไม่ได้จริงๆ น่าชัง แรงสะท้อนของพลังมิติร้ายกาจปานนี้เชียว” ตรีศูลโลหิตสีหน้าจากแดงเปลี่ยนเป็นขาว เพลิงปราณสีเลือดบนร่างก็หม่นแสงลงเช่นกัน

เนื่องจากแรงสะท้อนที่ตรีศูลโลหิตได้รับ ลูกบอลเนื้อสีเลือดอีกลูกหนึ่งบนผิวหน้าเดี๋ยวก็สว่างเดี๋ยวมืด เผยร่องรอยไม่มั่นคงออกมาเลือนราง

………

ในมิติสีเลือดย่อส่วน หลิ่วหมิงกำลังกระตุ้นปราณดำพลุ่งพล่านแปลงเป็นมังกรหมอกและพยัคฆ์หมอกหลายตัวพุ่งโจมตีกำแพงเนื้อจุดหนึ่งอย่างบ้าคลั่งไม่หยุด

ในเวลาเดียวกันชายหนุ่มรถเงินด้านข้างก็กระตุ้นกระบี่บินจักรกลร้อยกว่าเล่ม พร้อมกับที่หุ่นหมาป่าเทายักษ์สิบกว่าตัวอ้าปากพ่นลำแสงสีขาวเส้นแล้วเส้นเล่าเสริมการโจมตี

ผิวหน้าของกำแพงเนื้อด้านนั้นสั่นไหวไม่หยุด มิติย่อส่วนทั้งหมดส่งเสียงดังอื้ออึง

ทันใดนั้นเสียงดังสนั่นสะเทือนฟ้าสะเทือนดินเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น กำแพงเนื้อทั้งแถบฉับพลันระเบิดแหวกออก แสงสีเลือดแถบใหญ่สาดออกมาจากด้านใน

พวกหลิ่วหมิงรับรู้เพียงแสงสีเลือดสว่างวาบขึ้นเบื้องหน้า จากนั้นภาพรอบด้านก็พร่าเลือนไปชั่ววูบ แล้วพวกเขาก็กลับมาอยู่ในมิติยักษ์ที่หายไปก่อนหน้านี้ใหม่อีกครั้ง

สายตาของหลิ่วหมิงกวาดรอบด้าน มองเห็นรังไหมสีเลือดยักษ์เส้นผ่านศูนย์กลางหลายร้อยจั้งสองรังโดดเด่นอยู่กลางท้องฟ้าสูง อันหนึ่งในนั้นขาดแล้วและกำลังเหี่ยวลงอย่างรวดเร็วประหนึ่งลูกโป่งลมรั่ว

ในรังไหมยักษ์อีกรังหนึ่งเสียงบึ๊มดังขึ้นไม่ขาด ผิวหน้ายุบพองอย่างบ้าคลั่งไม่หยุด

หลิ่วหมิงหรี่สองตาลง ยังไม่ทันคิดว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เสียงดังสนั่นสะเทือนฟ้าสะเทือนดินเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นสูงขึ้นไปบนฟ้า

จุดหนึ่งของรังไหมสีเลือดที่กำลังขยับยุกยิกอยู่ฉับพลันระเบิดออก

เสียงพลังเวทรุนแรงระลอกหนึ่งปะทะกันดังกึกก้อง เงาร่างสีเงินร่างหนึ่งกับเงาร่างสีม่วงดำร่างหนึ่งกับสัตว์ประหลาดรูปหนอนไหมยักษ์ตัวหนึ่งฉับพลันพุ่งออกมาท่ามกลางเลือดเนื้อที่ปลิวว่อนไปรอบด้าน

หลิ่วหมิงเพ่งสายตา

สามคนนี้ไม่ใช่คนอื่น พวกเขาคือหลัวเทียนเฉิง บุรุษผมม่วงแล้วก็สัตว์ประหลาดที่ชื่อชวีเหยาตัวนั้น!

แต่สภาพของทั้งสามไม่ค่อยดีนัก

เส้นผมบนศีรษะหลัวเทียนเฉิงยุ่งเหยิง สภาพผมกระเซิง ชุดสีน้ำเงินขาดวิ่นติดอยู่บนร่าง ครึ่งค่อนร่างปรากฏรอยแผลสีเทาดำไม่น้อย ขณะที่แสงสีเงินไหลเคลื่อนฟื้นฟูช้าๆ มุมปากมีเลือดสายหนึ่งติดอยู่

บุรุษผมม่วงครึ่งร่างอาบเลือด บนแขนกับขาขวายังมีของประหลาดสภาพเหมือนเส้นไหมสีขาวเส้นแล้วเส้นเล่าพันอยู่ เส้นไหมเหล่านั้นรัดแน่นลึกเข้าไปในเนื้อ ด้วยพลังมหาศาลของบุรุษผมม่วงถึงกับไม่อาจกระชากมันขาดได้ทันที เห็นได้ถึงระดับความทนทานของเส้นไหมเหล่านี้

ส่วนชวีเหยาตัวนั้นที่เดิมครึ่งท่อนบนเป็นสตรีสวมอาภรณ์สีเหลือง เวลานี้ก็กลายสภาพเป็นหนอนไหมยักษ์ดุร้ายทั้งร่างสีน้ำเงินอ่อนยาวสิบกว่าจั้งตัวหนึ่งอย่างสมบูรณ์ บนแผ่นหลังมีหนามแหลมคมประหนึ่งกระบี่คมแถวแล้วแถวเล่างอกออกมา ครึ่งท่อนบนก็กลายสภาพเป็นหนอนไหมยักษ์ด้วย ตาแมลงคู่หนึ่งส่องแสงสีแดง สองข้างของหัวอ้วนๆ มีรูอากาศอยู่สองแถบ พ่นลมร้อนเหม็นคาวสายแล้วสายเล่าออกมาเป็นระยะ

สัตว์ประหลาดตัวนี้ก็สภาพค่อนข้างอนาถเช่นกัน บนร่างกายที่เหมือนรังไหมน้ำแข็ง บาดแผลลากตั้งพาดขวางเส้นแล้วเส้นเล่าพาดสลับตัดกัน บาดแผลไม่ลึกแต่ก็ยังมีเลือดสีเขียวไม่น้อยไหลออกมาไม่ขาด

ทั้งสามคนสภาพเหมือนสองฝ่ายพ่ายแพ้บาดเจ็บทั้งคู่ เพียงแต่บาดแผลที่ชวีเหยาได้ไปนี้เบากว่าพวกหลัวเทียนเฉิงสองคนอยู่บ้าง

หลัวเทียนเฉิงดิ้นรนลุกขึ้นยืน เขามองรอบด้านรอบหนึ่ง หลังเห็นรังไหมโลหิตขาดหลังร่างพวกหลิ่วหมิงก็ตะลึงเล็กน้อย ท้ายที่สุดสายตาจับอยู่บนร่างหลิ่วหมิงรวมถึงชายหนุ่มรถเงิน

“พวกเจ้าสองคนทำลายมิติกักขังนั่นแล้วหรือ?” หลัวเทียนเฉิงเอ่ยถามอย่างอ่อนแรงอยู่บ้าง แม้เขาครอบครองร่างจิตวิญญาณตูเทียน ได้ฉายาว่าอมตะคงกระพัน ทว่าวันนี้ไม่ว่าพลังกายหรือพลังเวทล้วนเสียไปค่อนข้างมหาศาล ดังนั้นความเร็วที่ฟื้นฟูอาการบาดเจ็บจึงเชื่องช้าลงไม่น้อย

“มิติที่ขังพวกเราสองคนเมื่อครู่ไม่ทราบเพราะเหตุใดจึงสั่นไหวขึ้นมากะทันหัน ไม่ทราบว่าระเบิดแตกออกกะทันหันได้อย่างไร” หลิ่วหมิงตอบกลับประโยคหนึ่งเรียบๆ

ชายหนุ่มรถเงินด้านหลังร่างเขาได้ยินก็ไม่พูดอะไรแต่เคลื่อนสายตาไปยังสัตว์ประหลาดหนอนไหมสีน้ำเงินตรงหน้า

บุรุษผมม่วงลุกขึ้นยืนช้าๆ เช่นกัน แผ่นหลังของเขาส่องแสงสีดำ ผีที่มีสีดำสลับเหลืองตัวหนึ่งลอยออกมา กรงเล็บผีสองข้างโฉบวูบเดียวก็กระชากใยเรียวเล็กสีขาวที่รัดตรงแขนขาออก

หลังเขาเก็บผีกลับไปบนแผ่นหลัง เขาก็เงยหน้ามองชวีเหยาตรงหน้าด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ปลายหางตากวาดผ่านพวกหลิ่วหมิง

ชวีเหยาเงยศีรษะใหญ่โตขึ้นชะเง้อมองรอบด้าน เมื่อเห็นพวกหลิ่วหมิงยืนอยู่ที่นั่นอย่างสบายดี แต่กลับไม่เห็นเงาของสัตว์ประหลาดเผ่าหนอนผีเสื้อ ในสายตาก็ฉายแววตาประหลาดใจจางๆ ในใจลอบเอ่ยด่า

“เจ้านั่นเป็นตัวไร้ประโยชน์จริงๆ ดันถูกเด็กรุ่นหลังระดับผลึกสองคนสังหารเสียได้”

แววตาประหลาดใจในดวงตาชวีเหยาผ่านมาแวบเดียวก็หายไป แต่บุรุษผมม่วงรวมถึงหลัวเทียนเฉิงพลังสายตาระดับใด พวกเขาย่อมค้นพบเรื่องนี้

ชายหนุ่มรถเงินมองหลิ่วหมิงทีหนึ่ง มุมปากกระตุกเล็กน้อยแต่ไม่ได้เอ่ยวาจา ในใจกลับมีความคิดต่างๆ นานาแล่นผ่าน

หนึ่งต่อสองเช่นเดียวกัน พลังของทั้งสองฝ่ายที่จริงก็ต่างกันไม่มาก พลังของบุรุษผมม่วงถึงขั้นเป็นผู้ที่โดดเด่นที่สุดในทั้งสี่คนด้วยซ้ำ ส่วนสัตว์ประหลาดเผ่าหนอนผีเสื้อตัวนั้นกับชวีเหยาก็เห็นชัดว่าพลังทัดเทียมกัน

ทว่าผลสุดท้ายปรากฏว่าตอนนี้หลิ่วหมิงกับเขาสังหารคู่ต่อสู้ได้ ส่วนหลัวเทียนเฉิงกับบุรุษผมม่วงกับศัตรูกลับพ่ายแพ้บาดเจ็บทั้งคู่ ผลลัพธ์เช่นนี้เกรงว่าคงทำให้บนหน้าสองคนนี้ย่ำแย่อย่างยิ่ง

แต่ยามนี้เผชิญหน้าศัตรูตัวฉกาจอยู่ เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องเล็กน้อย อย่างไรก็ควรร่วมมือกันจัดการร่างแปลงชวีเหยาตัวนี้ก่อนค่อยว่ากัน

ชายหนุ่มรถเงินคิดถึงตรงนี้ก็กระแอมเบาๆ ทีหนึ่ง ขณะที่กำลังคิดจะพูดอะไร ทันใดนั้นร่างกายอวบอ้วนของชวีเหยาฝั่งตรงข้ามก็บิดทีหนึ่งแล้วโถมเข้ามาตรงที่ทั้งสี่คนอยู่ พร้อมกันนั้นมันก็อ้าปากกว้างพ่นสิ่งที่เหมือนใยฝ้ายสีขาวโพลนสายหนึ่งออกมาในทันใด มันโต้ลมขยายออกกลายเป็นใยไหมสีขาวแถบใหญ่ ครอบทับมืดฟ้ามัวดินมาหาพวกหลิ่วหมิง

“ระวัง ใยไหมเหล่านี้ทนทานยิ่งนัก ไม่อาจสะบั้นได้ง่ายๆ ถูกมันรัดเข้ายากยิ่งจะดิ้นหลุด มีเพียงเพลิงจิตวิญญาณถึงเผามันขาดได้”

หลัวเทียนเฉิงสีหน้าเปลี่ยนไปทันใด เขาเอ่ยเตือนหนึ่งประโยคอย่างเร็วไวขณะที่ร่างกายขยับพุ่งถอยออกไปด้านหลัง

หลิ่วหมิงได้ฟังก็ไม่มีเวลาให้ครุ่นคิด เท้าสะกิดพื้นปุบ คนก็บินออกไปไกล หนีออกจากขอบเขตที่ใยไหมครอบทับลงมา พร้อมกันนั้นมือข้างหนึ่งก็ยกขึ้นกลางอากาศ งอนิ้วดีดทีหนึ่ง ปราณกระบี่สีทองเจ็ดแปดสายพลันพุ่งเร็วรี่ออกมา โจมตีลงบนใยไหมแถบหนึ่งในนั้น

แม้หลัวเทียนเฉิงจะว่าอย่างนั้น เขาก็ยังต้องหยั่งเชิงระดับความทนทานของมันกับมือตนสักหน่อย

เสียง “ปังๆ” ดังขึ้นหลายหน ใยไหมเหล่านี้ถูกปราณกระบี่สีทองเจ็ดแปดสายโจมตีดังลั่นกลับสั่นไหวเพียงเล็กน้อยแล้วร่วงลงมาต่อ สภาพไม่เสียหายสักนิด

หลิ่วหมิงเห็นสภาพเช่นนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย

ในเวลาเดียวกับที่ชายหนุ่มรถเงินบินถอยหลังออกไป ชุดเกราะจักรกลรอบด้านก็ส่องแสงรัศมีสีทอง ปีกจักรกลสีทองสามคู่กางออกมาอีกหนแล้วกระพือขึ้นลงดังพรึ่บพรั่บไม่หยุดจนความเร็วเพิ่มขึ้น เงาร่างขยับวูบเดียวก็ออกห่างไปหลายสิบจั้งแล้ว

บุรุษผมม่วงเหล่มองพวกหลิ่วหมิงทีหนึ่งแล้วหัวเราะหยันแต่ไม่ได้ถอยหลัง เมื่อครู่เขาประมือกับชวีเหยามาก่อนจึงมีแผนจัดการใยไหมนี่แล้ว

ลวดลายจิตวิญญาณสีดำเหลืองบนหน้าเขากะพริบวูบหนึ่ง เงาผีร้ายก็กรีดร้องโหยหวนลอยออกมาขวางอยู่เบื้องหน้าร่าง มันอ้าปากพ่นเปลวเพลิงสีเขียวเข้มสายแล้วสายเล่าออกมา ชั่วพริบตากลายเป็นเสาอัคคีสีเขียวแถบหนึ่งพุ่งไปยังใยไหมสีขาวที่ประจันหน้าเข้ามาหา

เสียง “ชี่ๆ” ดังขึ้นพักหนึ่ง ใยไหมทนอยู่ท่ามกลางเปลวเพลิงสีเขียวได้เพียงชั่วครู่ก็กลายเป็นเถ้าธุลี

เห็นภาพนี้สายตาของหลิ่วหมิงกับชายหนุ่มรถเงินก็เปล่งประกาย ดูท่าหลัวเทียนเฉิงจะไม่ได้เอ่ยลวง ใยไหมสีขาวนี่กลัวไฟจริงๆ