เล่มที่ 31 เล่มที่ 31 ตอนที่ 902 อยากทานแตงกวาดอง

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

อู๋จุนมองไปยังทิศทางของรถม้าที่ซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาอยู่ เขาเห็นเพียงผ้าม่านของรถม้าที่ปิดสนิท ข้างรถม้ามีองครักษ์เจ็ดแปดคนถือกระบี่ในมือโดยไม่มีท่าทีเกรงกลัวสิ่งใด พร้อมกับใบหน้าไม่รับแขก

ต่อให้เป็นคนโง่ก็ดูออกว่าเยี่ยโยวเหยาจูงมือซูจิ่นซีเข้าไปในรถม้า เข้าสู่โลกที่มีเพียงสองเรา หากผู้ใดดวงตาไร้แววและไปยุ่มย่าม เท่ากับทำให้ตนเองอับอายโดยใช่เหตุ ทำไม่ดีก็เหมือนแกว่งเท้าหาเสี้ยน

อวิ๋นจิ่นไม่ได้พูดอันใด เขาตบไหล่ของอู๋จุนและเดินเข้าไปในโรงเตี๊ยม

ตงหลิงหวงกล่าวว่ามีบางอย่างเกี่ยวกับวิชาแพทย์ที่ต้องสอบถามอวิ๋นจิ่น จึงตามอวิ๋นจิ่นเข้าไปในโรงเตี๊ยม

ถังเสวี่ยเดินไปมาท่ามกลางฝูงอูฐโดยไม่รับรู้ว่าเมื่อครู่เกิดอันใดขึ้น นางพูดเสียงจ้อราวกับนกกระจาบ

ดวงตาของอู๋จุนมองไปทางรถม้า เขายิ่งมองยิ่งอารมณ์เสีย และรู้สึกว่าเสียงของถังเสวี่ยน่ารำคาญ ทำให้จิตใจของเขากระวนกระวายเป็นพิเศษ เขาจึงเดินไปหาถังเสวี่ย

“ตื่นเต้นอันใด? กรีดร้องอันใด? ทำอย่างกับไม่เคยเห็นอูฐ”

ถังเสวี่ยเชิดหน้าใส่ “พี่เป่าอวี้ ข้าไม่เคยเห็นอูฐจริงๆ นี่นา!”

อู๋จุนตกตะลึง เขาหยุดชะงักและกระชากเสียงใส่ถังเสวี่ย “แม้แต่เจ้าก็ไม่เข้าข้างข้าหรือ? ”

ถังเสวี่ยถูกอู๋จุนชักสีหน้าใส่ นางจึงมีสีหน้างุนงงและยิ่งรู้สึกน้อยใจ

“ข้าทำอันใดผิด? เช้าตรู่เช่นนี้ พี่เป่าอวี้กินอันใดเข้าไป ถึงได้ฉุนเฉียวถึงเพียงนี้? ข้าไม่ได้ยั่วโมโห! ผู้ใดยั่วโมโหเจ้ากันแน่? ”

“ถอยไป ข้ากำลังโมโห ทั้งยังโมโหสุดขีดอีกด้วย! ”

เขาพูดพลางผลักถังเสวี่ยให้พ้นทาง ก่อนจะกระโดดขึ้นหลังม้าตัวหนึ่งที่อยู่ในฝูงอูฐ และหวดแส้ควบม้าออกไป

ถังเสวี่ยยืนอยู่กับที่ด้วยสีหน้าตะลึงงัน นอกจากนั้น นางยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกน้อยใจ

เกิดอันใดขึ้นกันแน่!

นางกำลังสนใจอูฐอยู่ดีๆ นางไปยั่วโมโหถังเป่าอวี้ได้อย่างไร?

ช่างเป็นคนบ้าที่แปลกประหลาดเสียจริง

เยี่ยโยวเหยาลากซูจิ่นซีขึ้นไปบนรถม้า เตาไฟถูกจุดอยู่ด้านในทำให้อบอุ่นอย่างมาก เยี่ยโยวเหยาเติมถ่านจำนวนมากลงในเตาขนาดเล็ก เพียงพริบตา ภายในรถม้าทั้งคันก็ร้อนราวกับฤดูร้อน

“เยี่ยโยวเหยา ท่านหนาวมากนักหรือ? ”

“ไม่ใช่ ข้ากลัวว่าเจ้าจะต้องไอหนาว! ”

ซูจิ่นซีปิดปากหัวเราะคิกคัก “ข้าดัดจริตถึงเพียงนั้นตั้งแต่เมื่อใด! อีกอย่าง ข้าไม่รู้สึกเย็นแม้แต่น้อย! เตาของท่านอ๋องร้อนถึงเพียงนี้ พวกเราก็สวมเสื้อผ้าเยอะแยะเช่นนี้ ผู้ใดจะทนนั่งอยู่ไหว?

ไม่ได้แล้ว ไม่ได้แล้ว! ร้อนจะตายอยู่แล้ว ข้าต้องการออกไปสูดอากาศ! ”

ซูจิ่นซีกำลังจะยกม่านรถม้าเพื่อออกไปข้างนอก จู่ๆ เยี่ยโยวเหยาก็ยื่นมือออกไปจับซูจิ่นซีไว้ “มานี่! ”

ซูจิ่นซีชะงัก จากนั้นจึงยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยพลาง ก่อนจะขยับตัวไปทางเยี่ยโยวเหยาและสอดมือของตนเองเข้ากับมือของเยี่ยโยวเหยา

“เป็นอันใดหรือเพคะ? ”

นิ้วเรียวยาวทรงพลังของเยี่ยโยวเหยาลูบมือขาวเนียนละเอียดของซูจิ่นซีไม่หยุด แม้เสียงของเขาจะแผ่วเบา ทว่าเปี่ยมไปด้วยพลังที่ไม่มีผู้ใดกล้าขัดคำสั่ง

“ไม่อนุญาตให้ไปที่ใดทั้งนั้น! ”

ซูจิ่นซีเลิกคิ้วอย่างช่วยไม่ได้

“ได้! ข้าไม่ไปที่ใดทั้งนั้น จะอยู่เป็นเพื่อนท่านอ๋องที่นี่! ทว่าต้องทานมื้อเช้ามิใช่หรือ? ข้าจะไปดูว่ามีมื้อเช้าอันใดให้ทานบ้าง”

“ไม่ต้องไป ข้ากำชับให้คนไปทำเรียบร้อยแล้ว หลังทำเสร็จให้ยกมาที่นี่! ”

ซูจิ่นซีจึงได้เข้าใจว่าเยี่ยโยวเหยาไม่ได้ทานมื้อเช้าที่โรงเตี๊ยม นอกจากนั้นยังได้กำชับให้ลูกน้องของตนเองไปทำมาแล้ว นางไม่จำเป็นต้องกังวล นางจึงนั่งข้างเยี่ยโยวเหยาอย่างสบายใจ

ทุกวัน เยี่ยโยวเหยาจะยุ่งอยู่กับจดหมายที่ส่งมาจากอาณาจักรเทียนเหอและที่อื่นๆ เต็มไปหมด และบางฉบับเป็นข่าวเกี่ยวกับที่อื่น บางฉบับเกี่ยวกับงานในราชสำนักของแคว้นจงหนิงและแคว้นซีอวิ๋น ดังนั้น เขาจึงใช้เวลาจำนวนมากไปกับการจัดการจดหมายเหล่านี้ วันนี้ก็เช่นเดียวกัน

ทั้งสองไม่ได้สนทนากัน ในรถม้าจึงสงบเงียบ เยี่ยโยวเหยาจึงเริ่มจัดการกับจดหมาย

ซูจิ่นซีนั่งอย่างเบื่อหน่าย นางกำลังจะช่วยเยี่ยโยวเหยาแกะจดหมายที่ยังไม่ได้อ่าน

กลับไม่คาดคิดว่าเยี่ยโยวเหยาจะเอ่ยขึ้นทันที “อย่าแตะต้อง! ”

ซูจิ่นซีชะงักงัน ดูเหมือนนางจะไม่ค่อยเข้าใจความหมายของเยี่ยโยวเหยา จึงมองเยี่ยโยวเหยาด้วยแววตางุนงง

เยี่ยโยวเหยาย้ำอีกครั้ง

“อย่าแตะต้อง! ”

ซูจิ่นซีขมวดคิ้วเล็กน้อย “ตกลง ไม่ให้แตะต้องก็ได้ กลัวข้าอ่านจดหมายอีกหรือ? ”

เยี่ยโยวเหยาอดยิ้มมุมปากไม่ได้ เขาลูบผมซูจิ่นซีอย่างอ่อนโยน

“ข้าเคยกลัวเจ้าอ่านจดหมายเหล่านี้เมื่อไร? ”

ใบหน้าของซูจิ่นซียังคงเย็นชา นางนึกน้อยใจเล็กน้อยและไม่พูดตอบสิ่งใด

เยี่ยโยวเหยากล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่นอ่อนโยน

“ข้ากลัวว่าเจ้าจะเหนื่อยเกินไป”

ซูจิ่นซีรู้สึกขบขัน “เยี่ยโยวเหยา ท่านพูดเกินไป ท่านคิดว่าข้าเกิดมาจากโคลนหรือ? เรื่องแค่นี้ ข้าจะเหนื่อยได้อย่างไร? ”

แววตาของเยี่ยโยวเหยายิ่งทวีความเอ็นดูนางมากยิ่งขึ้น เขาบีบมือของซูจิ่นซีเบาๆ อีกครั้ง และอ่านจดหมายไปด้วยพูดไปด้วย “อย่างไรก็ตาม อย่าแตะต้องก็พอ เจ้าไม่จำเป็นต้องทำอันใด เพียงนั่งเป็นเพื่อนข้าข้างๆ เงียบๆ ก็พอแล้ว”

เสียงนั้นทั้งอ่อนโยนและมีเสน่ห์ ซูจิ่นซีรู้สึกว่าหัวใจของนางใกล้จะละลายแล้ว

นางจึงเชื่อฟังเยี่ยโยวเหยา และนั่งอย่างสบายใจอยู่ข้างกายเขาโดยไม่ทำอันใด

ทว่าซูจิ่นซีนั่งนิ่งไม่ได้!

เดิมทีเพียงนั่งนิ่งๆ ก็รู้สึกว่าน่าเบื่อ นอกจากนั้นในรถม้ายังร้อนและอบอ้าวอีกด้วย

หลังผ่านไปครู่ใหญ่ ซูจิ่นซีจึงอยากชงชาให้เยี่ยโยวเหยาดื่ม นางก็กระหายแล้วเช่นกัน นางจึงพยายามดึงมือตนเองออกจากมือของเยี่ยโยวเหยา

ทว่าทันทีที่มือของนางสัมผัสกับโหลใส่ใบชา เยี่ยโยวเหยาก็ใช้มือของตนเองห้ามเอาไว้

“อย่าแตะต้อง”

ซูจิ่นซีเลิกคิ้วและมองเยี่ยโยวเหยาอย่างน่าสงสาร “ทว่าท่านอ๋อง ข้ากระหายน้ำ! ”

เยี่ยโยวเหยาจับมือของซูจิ่นซีและรินน้ำเดือดหนึ่งถ้วยส่งให้นาง “ดื่มแก้วนี้! ”

ห้ามดื่มชา แต่ดื่มน้ำอุ่นได้?

ซูจิ่นซีคิ้วกระตุกอีกครั้ง “ขี้เหนียว! ”

ดวงตาดำขลับลึกล้ำหยุดอยู่บนใบหน้าของซูจิ่นซี รอยยิ้มของเขายิ่งเผยความเอ็นดูรักใคร่มากยิ่งขึ้น และไม่ได้พูดตอบอันใด

ผ่านไปไม่นาน เสียงขององครักษ์ก็ดังขึ้นด้านนอกรถม้า

“ท่านอ๋อง พระชายา สำรับมื้อเช้าเสร็จแล้วพ่ะย่ะค่ะ! ”

ท้องที่หิวโหยของซูจิ่นซีร้องดังโครกคราก นางจึงรีบเปิดผ้าม่านขึ้น

เป็นจริงดั่งคาด องครักษ์ยืนอยู่ด้านหน้ารถม้าพร้อมสำรับมื้อเช้า

ซูจิ่นซีรีบเปิดประตู องครักษ์จึงยกสำรับมื้อเช้าสองสามอย่างมาวางตรงหน้า

ซูจิ่นซีมองดูคร่าวๆ ไม่คิดว่าทั้งหมดจะเป็นสิ่งที่นางชอบทาน

“ท่านอ๋องไม่เสวยหรือ? ” ซูจิ่นซีเห็นว่าเยี่ยโยวเหยายังคงอ่านเอกสารโดยไม่ได้เก็บเอกสารกองหนาเตอะที่วางอยู่บนโต๊ะ

เยี่ยโยวเหยาส่ายศีรษะ “เจ้าทานก่อน! ”

“เช่นนั้น ข้าก็ไม่เกรงใจแล้วนะ! ”

ซูจิ่นซียกถ้วยข้าวขึ้นมาทานจนแก้มพอง

นางคีบอาหารเข้าปากพลางพึมพำไปด้วย “ดีจริงๆ ของโปรดข้าทั้งนั้น ท่านอ๋อง ข้ารู้ว่าท่านดีกับข้าที่สุด! อาหารพวกนี้ไม่ได้ผลิตในท้องถิ่นแถวนี้ ท่านซื้อตอนมาใช่หรือไม่? ท่านอ๋อง ท่านรอบคอบจริงๆ ทว่า… หากมีแตงกวาดองสักจานก็คงจะดี! ”

เมื่อสิ้นเสียงของซูจิ่นซี เยี่ยโยวเหยาก็เคาะที่หน้าต่างรถม้า ไม่นานนัก เสียงขององครักษ์ก็ดังขึ้นด้านนอก

“ท่านอ๋อง! ”

“ทำแตงกวาดองมาด้วย! ”