หลี่เซิ่งก็ลนลานวิ่งเข้าไปถามด้วยความวิตกกังวลว่า “น้องเล็ก เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
ภรรยาของหลี่เซิ่งก็เดินตามหลังเข้ามา เห็นหลี่ชุ่ยฮวานอนนิ่งไม่ขยับเหมือนกับดินโคลนอยู่บนพื้นแล้วก็ใช้เท้าเตะนางไปอีกหลายทีเพื่อระบายอารมณ์ “เจ้ามันนางแพศยา เงินห้าร้อยตำลึงก็ไม่เอา ต้องเห็นพวกเราทั้งครอบครัวหิวตายก่อน เจ้าถึงจะดีใจใช่หรือไม่”
หลี่ชุ่ยฮวานอนนิ่งๆ อยู่บนพื้น ยอมให้นางตบตีดุด่าโดยไม่ตอบโต้อันใดสักคำ
“พอแล้วๆ วันนี้ไม่สำเร็จก็ยังไม่วันหลัง ถึงอย่างไรชิงเอ๋อร์ก็เป็นบุตรชายของน้องเล็ก เขาไม่มีทางไม่สนใจนางจริงๆ หรอก”
หลี่เซิ่งโน้มน้าวไกล่เกลี่ย”
“เฮอะ! ข้าลากนางมาที่นี่ด้วยความลำบากยากเย็น ไม่ได้ประโยชน์อันใดเลยแม้แต่น้อย เจ้ายังคิดจะให้ข้าประคองนางกลับไป ฝันไปเถอะ!”
ภรรยาหลี่เซิ่งเอ่ยจบก็หันไปเอ่ยกับน้องสะใภ้ทั้งสองคนของตนเอง “ไป พวกเราไปต่อแถวกันเถอะ ไม่แน่ว่าจะยังสามารถได้รับเหรียญทองแดงสักหลายเหรียญ”
กล่าวจบแล้วก็ก้าวเท้ายาวไปด้านหลังฝูงชน ภรรยาของหลี่เหล่าเอ้อร์และหลี่เหล่าซานก็รีบตามหลังนางไป
หลี่เซิ่งที่อับจนหนทางจึงทำได้เพียงแค่ออกแรงประคองนางให้ลุกขึ้นมาด้วยตนเอง กึ่งลากกึ่งจูงเดินกลับไป เดินไปได้ไม่ไกลก็เหนื่อยจนเหงื่อไหลท่วมตัว มือเท้าปวดเมื่อยจึงหยุดฝีเท้าหอบหายใจเฮือกใหญ่ อดไม่ได้ที่จะต่อว่า “น้องเล็ก ดูเจ้าสิ เหตุใดจึงไม่ยอมรับเงินห้าร้อยตำลึงนั่นกัน คราวนี้ดีเลย พวกเรา…”
ยังไม่ทันจะเอ่ยจบ ท้ายทอยก็ถูกกระแทกเข้าทีหนึ่ง ร่างกายโงนเงนหมดสติไป
หลี่ชุ่ยฮวาก็ถูกตีสลบไปเช่นกัน กระทั่งเสียงกรีดร้องก็ไม่ได้ส่งเสียงออกมา
สามวันหลังจากนั้น
ภายในอารามแม่ชีที่ทรุดโทรมแห่งหนึ่ง หลี่ชุ่ยฮวาก็ค่อยๆ ได้สติขึ้นมา ยังไม่ทันจะได้พิจารณามองสภาพแวดล้อมรอบด้านก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นข้างกายนางเสียก่อน
“ฟื้นแล้วหรือ”
เมื่อได้ยินเสียงคุ้นหู หลี่ชุ่ยฮวาก็อดตัวสั่นไม่ได้ กระทั่งความกล้าที่จะหันไปมองเมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่มี
“เจ้าต้องการกินอิ่มและสวมใส่เสื้อผ้าที่อบอุ่นไม่ใช่หรือ ที่นี่เหมาะสมกับเจ้าที่สุด วางใจเถอะ ข้าจัดการทั้งหมดให้เจ้าเรียบร้อยแล้ว เจ้าก็ใช้เวลาในช่วงชีวิตที่เหลือของเจ้าที่นี่ก็แล้วกัน และไม่ต้องเป็นกังวลว่าจะต้องใช้ชีวิตอดอยากและหิวโหยอีก”
“ที่นี่คือที่ใด”
สุดท้ายแล้วหลี่ชุ่ยฮวาก็เอ่ยถามเสียงแหบพร่าอย่างอดทนเอาไว้ไม่อยู่
“เป็นอารามแม่ชีที่อยู่ห่างจากเมืองหลวงสองร้อยลี้[1]”
นัยน์ตาหลี่ชุ่ยฮวาหดวูบ ขาดเพียงแค่กระโดดลุกขึ้นยืน “เมิ่งเชี่ยนโยว ข้าเป็นมารดาของชิงเอ๋อร์ เหตุใดเจ้าถึงกล้า…”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองนางแวบหนึ่งด้วยสายตาที่เสียดแทงเข้าไปถึงกระดูก หลี่ชุ่ยฮวาตกใจจนกลืนคำพูดในตอนท้ายกลับลงไป
“หากว่าเจ้าไม่ใช่มารดาแท้ๆ ของชิงเอ๋อร์ อาศัยการกระทำทั้งหมดของเจ้าในสามวันก่อนหน้านี้ เจ้าจะสามารถมีชีวิตอยู่ในถึงตอนนี้หรือ”
หลี่ชุ่ยฮวาร่างกายสั่นสะท้านและไม่กล้าเอ่ยวาจาใดออกมาอีกสักคำหนึ่ง
เมิ่งเชี่ยนโยวก็คร้านที่จะสนใจนางอีก ลุกขึ้นยืนและสั่งว่า “ขอมอบนางให้กับพวกท่าน อบรมสั่งสอนให้ดี”
แม่ชีนางหนึ่งที่สวมชุดต้าวผาวสีเทาประนมมือทำความเคารพนาง “พระชายาซื่อจื่อโปรดวางใจ แม่ชีเช่นหม่อมฉันจะตั้งใจอบรมสั่งสอนนางเป็นอย่างดีแน่นอน”
เมิ่งเชี่ยนโยวผงกศีรษะเดินออกไป
หลี่ชุ่ยฮวานอนอยู่บนเตียงอย่างหมดหวัง
ในยามเดียวกันนั้น นอกเมืองหลวงมีกลุ่มผู้คุมที่ตะคอกเสียงดังให้ขอทานหลายคนให้เดินเร็วๆ ขอทานเหล่านี้ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นคนตระกูลหลี่ ยกเว้นมารดาของหลี่ชุ่ยฮวา แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ถูกสวมกุญแจมือ แต่ก็ไม่กล้าหยุดพัก เพราะแส้ที่อยู่ในมือของผู้คุมพร้อมที่จะกระทบเข้ากับร่างของพวกเขาตลอดเวลา ทำให้พวกเขาเจ็บปวดจนไม่อยากจะมีชีวิตอยู่
หลังจากนั้นเกือบจะเดือนหนึ่ง ผู้คุมก็คุมตัวพวกเขากลับไปยังหมู่บ้านตระกูลหลี่ และหันหน้าจากไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ
เมื่อเห็นหมู่บ้านที่คุ้นเคยและบ้านที่คุ้นตา คนตระกูลหลี่ที่วิตกกังวลเพราะความหวังกลัวมาตลอดหนึ่งเดือนนี้ก็ร้องไห้โฮอยู่บนพื้น
คนในหมู่บ้านได้ยินเสียงเคลื่อนไหวก็รีบวิ่งออกมาดู ก็ต้องตกตะลึงกันทั้งหมดเมื่อเห็นสภาพย่ำแย่ของพวกเขา ไม่ใช่พูดว่าหลี่ชุ่ยฮวาได้อยู่ด้วยกันกับบุตรชายแล้วหรือ คนตระกูลหลี่ทั้งตระกูลล้วนไปเสพสุขกันอยู่ที่เมืองหลวงไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงได้กลับมาด้วยสภาพอันน่าอเนจอนาถเช่นนี้กันเล่า
เรื่องนี้ถูกลือออกไปอย่างรวดเร็วทั่วหมู่บ้านจนลอยไปเข้าหูเศรษฐีหวังที่กลับมาด้วยสภาพย่ำแย่เช่นเดียวกัน
ทรัพย์สินที่นาและบ้านเรือนของตระกูลล้วนถูกขายไปแล้ว หลังจากเศรษฐีหวังกลับมาก็เริ่มซื้อใหม่อีกครั้ง แต่เมื่อทำซ้ำไปซ้ำมาเช่นนี้ เงินทุนที่เขาเก็บหอมรอมริบมากว่าครึ่งชีวิตก็ถูกใช้จนหมด ในวันนี้ร่ำรวยกว่าผู้อื่นเล็กน้อย แม้วจะไม่ถึงขั้นกัดก้อนเกลือกิน แต่คิดอยากใช้ชีวิตที่กินอาหารอุดมสมบูรณ์เหมือนก่อนที่จะเข้าเมืองหลวงเช่นนั้นไม่มีแล้ว ขณะที่กำลังอึดอัดหาที่ระบายไม่ได้ก็ได้ยินข่าวคราวที่คนตระกูลหลี่กลับมา จึงพลิกโต๊ะอย่างมีโทสะทันที “พวกเขายังกล้ากลับมาอีก คอยดูสิว่าข้าจะจัดการพวกเขาให้ตายได้อย่างไร!”
สิบวันหลังจากนั้น คนตระกูลหลี่ที่อกสั่นขวัญแขวนก็วางใจและนอนหลับได้อย่างสงบในที่สุด แต่คิดไม่ถึงว่าดึกดื่นค่อนคืนบ้านจะเกิดไฟไหม้กะทันหัน บางทีเป็นเพราะหลับลึกเกินไป จึงไม่ทันได้สังเกตเห็นเพลิงไหม้ รอจนรู้สึกว่าถูกเผาจนร้อนแล้ว เพลิงไฟก็ล้อมรอบทั้งบ้านแล้ว คนทั้งครอบครัวกรีดร้องหนีออกไปข้างนอก หลี่เหล่าฮั่นที่ได้รับความตื่นตระหนกก็แข้งขาอ่อนแรงล้มลงกับพื้น ถูกท่อนไม้ที่หล่นลงมาทับลงเข้าพอดี จึงถูกเผาตายทั้งเป็นอยู่ในตัวบ้าน
คนที่เหลือล้วนวิ่งหนีออกมาได้ แต่เมื่อเห็นว่าเพลิงไหม้กลืนกินตัวบ้านไปในพริบตาเดียว คนทั้งหมดก็คุกเข่าร้องไห้อยู่บนพื้นด้วยความเจ็บปวด
เมื่อไฟดับลง หลี่เหล่าฮั่นก็ถูกเผาจนกลายเป็นฝุ่นผง สามพี่น้องไม่ทันจะจัดพิธีงานศพให้กับเขาก็ต้องรีบซ่อมแซมบ้านเสียก่อน และอาจจะเป็นเพราะรีบร้อนเกินไป หรืออาจจะเกิดความหวาดกลัวในใจ ในตอนที่หลี่เหล่าซานกำลังวางท่อนไม้บนหลังคาบ้าน ก็ไม่ระวังตกลงมากระแทกกับพื้น กะโหลกศีรษะแตกขาดใจตายอยู่ตรงนั้น
คนที่เหลืออยูก็ตกตะลึง คนในหมู่บ้านรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องอัปมงคล ไม่รู้ว่าใครพูดว่าเป็นเพราะหลี่เหล่าฮั่นถูกเผาตาย สามพี่น้องกลับไม่ได้จัดพิธีไหว้ศพให้กับเขา แรงอาฆาตแค้นมากเกินไป จึงมาเอาชีวิตของพวกเขาไปด้วย
เมื่อคำพูดนี้ลอยเข้าหูคนตระกูลหลี่ พวกเขาก็หวาดกลัวกันไปพักหนึ่ง มีความคิดที่จะไม่ต้องการบ้านหลังนี้แล้ว แต่พวกเขาก็ไม่มีที่ให้ไป จึงทำได้เพียงแค่ซ่อมแซมบ้านอีกครั้งอย่างระมัดระวัง ในครานี้กลับปลอดภัยราบรื่น พวกเขาทั้งครอบครัวก็เข้าไปอยู่อาศัย แต่ในตอนที่หลี่เซิ่งและหลี่เหล่าเอ้อร์ไปรับงานเล็กๆ ทำที่ในเมือง เพราะอึดอัดใจที่ไม่มีเงินสักเหวินเดียว ก็โชคร้ายที่ได้พบกับการดักปล้นกลางทาง หัวหน้าโจรที่ค้นหาไปตามตัวพวกเขาทั้งสองแล้วไม่พบเงินแม้แต่เหวินเดียวก็โมโห ตัดขาดของทั้งสองคนในที่เกิดเหตุทันที ทั้งสองคนสลบไป หลังจากฟื้นขึ้นมาแล้ว ก็ฝืนร่างกายคลานไปถึงหน้าประตูบ้าน หลี่เซิ่งที่เหลือลมหายใจเฮือกสุดท้ายอิงร่างอยู่ในอ้อมกอดของภรรยาตนเอง เอ่ยวาจาขาดๆ หายๆ “รีบพาลูกๆ กลับไปอยู่บ้านแม่เจ้าเสีย จะได้ไม่ต้องพบกับเรื่องไม่คาดวัน” ก่อนที่ศีรษะจะหักพับและหมดลมหายใจไปตรงนั้น
หลี่เหล่าเอ้อร์กลับไม่ทันได้เอ่ยอันใดสักประโยค ก็ตายอยู่ในอ้อมแขนของภรรยาตนเองเสียแล้ว
ภายในไม่กี่วันพ่อลูกตระกูลหลี่ล้วนตายหมดแล้ว คนในหมู่บ้านแต่ละคนล้วนหวาดกลัว แต่เศรษฐีหวังกลับยังไม่คลายโทสะ สั่งพ่อบ้านว่า “ไป ไปหาคนมาตัดขาพวกเขาทั้งตระกูลเสีย ข้าอยากเห็นพวกเขาใช้ชีวิตที่เหมือนกับสุนัข!”
เพียงแต่ว่าเขาช้าไปก้าวหนึ่ง ในตอนที่คนที่พ่อบ้านหาคนมาแฝงตัวเข้าไปในบ้านตระกูลหลี่เงียบๆ นั้น ก็พบว่าคนที่อยู่ภายในบ้านจากไปหมดแล้ว ส่วนที่ว่าคนไปที่ใด กระทั่งบ้านมารดาของแต่ละคนอยู่ที่ใดนั้นก็มิอาจทราบได้
(จบตอนพิเศษ)
[1] ลี้ คือมาตราวัดระยะทางของจีน 1 ลี้ ยาวประมาณครึ่งกิโลเมตร
ตอนต่อไป →