ภายในระยะเวลาสองปีสั้นๆ หลี่ชุ่ยฮวาไม่เพียงแต่ผมขาวโพลนทั้งศีรษะ แต่ร่างกายก็ยังซูบผอมราวกับไม่ใช่คนบวกกับกินไม่อิ่มและสวมเสื้อผ้าไม่อุ่นเป็นระยะเวลานานจึงมีอาการป่วยติดตัว ยามนี้เหลือเพียงแค่ลมหายใจเฮือกสุดท้ายที่ประคองเอาไว้ได้แล้ว 

 

 

เมื่อได้ยินวาจาของหลี่เซิ่งก็ฝืนลืมตาขึ้นมา นัยน์ตาทอประกายสว่างวาบ “พี่ใหญ่ ท่านพูดจริงหรือ” 

 

 

หลี่เซิ่งพยักหน้าอย่างบ้าคลั่ง “จริง เป็นความจริง คนบนถนนล้วนพูดเช่นนี้ เจ้าก็รีบลุกขึ้นมาเสีย พวกเรารีบไปกัน ถ้าหากว่าไปสายก็จะไม่ได้พบเขาแล้ว” 

 

 

หลี่ชุ่ยฮวาที่ผมเผ้ายุ่งเหยิงพยายามยันตัวลุกขึ้น แต่จนปัญญาที่ร่างกายไร้เรี่ยวแรง ดิ้นรนอยู่หลายครั้งก็ยังลุกไม่ขึ้น 

 

 

“พวกเจ้าหลายคนยังไม่รีบเข้ามาช่วยอีก!” 

 

 

หลี่เซิ่งประคองอยู่หลายครั้งก็ยังประคองให้ลุกขึ้นไม่ได้ จึงหันหน้าไปตำหนิภรรยาของตนเอง ครอบครัวของหลี่เหล่าเอ้อร์และครอบครัวหลี่เหล่าซานด้วยความโมโห 

 

 

ภรรยาของหลี่เซิ่งเบ้ปากเดินเข้าไปอย่างไม่ยินยอม ปากก็บ่นพึมพำ “นางมันตัวซวย นี่มันเวลาใดกันแล้วยังจะมีท่าทีเช่นนี้อยู่อีก ยังจะถือว่าตัวเองเป็นฮูหยินผู้ร่ำรวยอยู่อีก” 

 

 

หลี่เซิ่งแทบจะถีบออกไปฝ่าเท้าหนึ่ง นี่มันเวลาใดกันแล้ว ไม่เข้าใจสถานการณ์ในยามนี้แล้วยังจะเอ่ยวาจาเช่นนี้ออกมาอีก รออีกครู่หนึ่งเมื่อหลี่ชุ่ยฮวาได้พบกับชิงเอ๋อร์ ชิงเอ๋อร์เห็นสภาพอันน่าเวทนาของนางจะต้องใจอ่อนและให้เงินอีกหลายหมื่นตำลึง พวกเขาทั้งตระกูลก็จะกลับไปสวมใส่เสื้อผ้าและกินอยู่อย่างไร้ความกังวลอย่างในวันวานเช่นเดิมได้ 

 

 

แต่เขาก็ไม่กล้าพูด นับตั้งแต่พวกเขาสามพี่น้องใช้เงินจนหมดเพราะพ่ายแพ้อย่างหมดรูปและย้ายมาอยู่ที่นี่ พวกนางสามคนก็เหมือนกับมีความกล้ามากขึ้น ทุกวันไม่เพียงแต่เอ่ยวาจาเย็นชากับพวกเขาสามพี่น้อง ยังบีบบังคับพวกเขาบ่อยๆ ด้วยเช่นกัน ถ้าหากกล้าชักสีหน้าใส่พวกนาง พวกนางก็จะพาลูกๆ จากไปให้ไกลทันทีและไม่ยอมรับความลำบากนี้กับพวกเขาอีก สถานการณ์ในยามนี้หลี่เซิ่งสามพี่น้องจึงไม่กล้าถลึงตาดุร้ายใส่พวกนาง ที่ต้องคอยเอาใจอยู่ทุกวันนี้ก็ยังไม่ทันเลย 

 

 

แต่ตอนนี้คือเวลาใด เป็นช่วงเวลาดีๆ ที่พวกเขาจะได้ฟื้นตัว หลี่เซิ่งถลึงตาใส่ภรรยาตัวเองแวบหนึ่ง “พวกเจ้าจะสามารถใช้ชีวิตดีๆ เหมือนก่อนหน้านี้ได้หรือไม่นั้นก็ต้องดูวันนี้แล้ว เจ้าพูดให้น้อยลงสักสองสามประโยคจะได้หรือไม่” 

 

 

เมื่อคิดถึงวันเวลาดีๆ ในภายหลังแล้ว ภรรยาของหลี่เซิ่งก็หยุดปาก ก้าวเข้ามาดึงหลี่ชุ่ยฮวาไปโอบเอาไว้ ออกแรงดึงนางขึ้นมาอยู่หลายครั้งก็ยังดึงไม่ขึ้นจึงโมโหและโยนนางลงกับพื้นและเตะไปสองครั้งด้วยความโมโห “ทุกวันก็กินมากกว่าพวกเรา ยังจะมาแสร้งทำท่าทำทางเหมือนตายอย่างนี้อีก รีบลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้!” 

 

 

“นี่ เจ้า…” 

 

 

เมื่อเห็นนางลงไม้ลงมือ หลี่เซิ่งก็รีบเข้ามาขัดขวางแต่กลับขัดขวางเอาไว้ไม่อยู่ หลี่ชุ่ยฮวาที่ถูกเตะไปสองครั้งก็ร้องครางออกมาอย่างอดไม่ได้ 

 

 

มารดาของหลี่ชุ่ยฮวาเห็นแล้วก็สงสารแต่ก็ไม่กล้าเข้ามา ยามนี้เท้าของนางก็ไม่ค่อยดี ไม่สามารถออกไปขอข้าวได้ ทุกวันนี้ต้องขอข้าวจากสะใภ้ทั้งหลาย ถ้าหากว่านางส่งเสียงช่วยพูดแทนบุตรสาวของตนเอง ไม่แน่ว่าหลังจากนี้สามวันนางก็ไม่ต้องคิดว่าจะได้กินข้าวสักคำ 

 

 

หลี่ชุ่ยฮวาวิงเวียนศีรษะ ขาไร้เรี่ยวแรงขยับไม่ไหวจริงๆ เมื่อถูกครอบครัวของหลี่เซิ่งโยนลงกับพื้นก็นอนอยู่เช่นนั้น แหงนศีรษะขึ้นมาด้วยความยากลำบาก เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนระโหยโรยแรง “พี่สะใภ้ใหญ่ ข้าไม่มีแรงแล้วจริงๆ รบกวนพวกท่านช่วยประคองข้าไปพบชิงเอ๋อร์ที รอเขามอบเงินให้แล้ว ข้าจะมอบให้พวกท่านทั้งหมด” 

 

 

แบบนี้ค่อยใช้ได้หน่อย เห็นแก่เงินเหล่านั้นจะช่วยนางสักครั้งก็แล้วกัน ครอบครัวหลี่เซิ่งเรียกน้องสะใภ้ทั้งสองคนของตนเอง “น้องสะใภ้รอง น้องสะใภ้สาม พวกเจ้ามาออกแรงช่วยหน่อย” 

 

 

ยามปกติทั้งสองคนล้วนให้นางเป็นผู้นำ นางพูดอันใดก็เป็นเช่นนั้น ตอนนี้เมื่อได้ยินวาจาของนางก็รีบเข้ามาช่วยดึงหลี่ชุ่ยฮวาให้ลุกขึ้นทันที 

 

 

ภรรยาหลี่เซิ่งถลึงตาใส่หลี่เซิ่งแวบหนึ่ง “เป่ยเฉิงอยู่ที่ใด ยังไม่รีบนำพวกข้าไปอีก!” 

 

 

หลี่เซิ่งลนลานเดินนำอยู่ด้านหน้า ภรรยาของหลี่เซิ่งดึงหลี่ชุ่ยฮวาก้าวเดินตามอยู่ด้านหลัง 

 

 

พวกเขาหลายคนผมเผ้ายุ่งเหยิง สวมเสื้อผ้าซอมซ่อ ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นโชยออกมา แค่เห็นก็รู้แล้วว่าเป็นขอทาน คนทั้งหมดบนถนนล้วนเห็นพวกนางดึงคนๆ หนึ่ง ก็ไม่ได้สนใจกลับเปิดทางให้พวกนางเส้นหนึ่ง 

 

 

ในตอนที่หลายคนไปถึงประตูเป่ยเฉิงก็เหนื่อยจนแทบจะขาดอากาศหายใจ ครอบครัวของหลี่เซิ่งเตะหลี่ชุ่ยฮวาอีกสองครั้ง “วันนี้หากเจ้าไม่ได้เงินมาก็ตายอยู่ที่นี่ ไม่ต้องกลับไปแล้ว” 

 

 

นัยน์ตาของหลี่ชุ่ยฮวาเอ่อคลอไปด้วยหยดน้ำตา เพียงแค่ร้องครางออกมา นึกถึงคราแรกในตอนที่นางมีเงิน พี่สะใภ้ประจบประแจงนางเป็นอย่างมาก ทุกวันล้วนประจบสอพลอ ให้การต้อนรับนางเพื่อหลอกเอาเงินไป ยามนี้เมื่อตกอยู่ในสภาพแบบนี้กลับระบายความแค้นทั้งหมดลงบนตัวนาง 

 

 

หน้าประตูเป่ยเฉิงมีผู้คนล้นหลามมืดฟ้ามัวดิน เหล่าองครักษ์ลับทั้งหมดและทหารที่ได้รับบาดเจ็บจนพิการจากโรงหัตถกรรมล้วนถูกโยกย้ายมาที่นี่ ในมือแต่ละคนมีตะกร้าสานคนละหนึ่งใบที่ด้านในใส่เหรียญทองแดงเอาไว้ไม่น้อยเตรียมจะโปรยให้กับเหล่าชาวบ้านที่มามุงดู 

 

 

เสียงแตรสั่วน่า[1]ดังลอยมาแต่ไกล ผู้คนพากันเงยหน้ามองไปทางนั้นและขยับเปิดเส้นทางเส้นหนึ่งให้โดยพลัน เพื่อให้ขบวนรับตัวเจ้าสาวผ่านไปได้ 

 

 

เมิ่งชิงขี่ม้าตัวใหญ่ ใบหน้าเต็มไปด้วยความยินดีเดินนำอยู่ด้านหน้า มีเกี้ยวขนาดใหญ่อีกแปดหลังเดินตามอยู่ด้านหลังอย่างมั่นคง และสุดท้ายก็เป็นสินเดิมเจ้าสาวที่มองเห็นปลายแถว 

 

 

ขบวนรับตัวเจ้าสาวค่อยๆ เคลื่อนมาอย่างเชื่องช้า เมื่อเห็นว่าใกล้จะถึงประตูเมืองแล้วก็มีเงาร่างคนคนหนึ่งวิ่งพรวดพราดออกมาจากด้านข้าง สามารถเอ่ยได้อย่างมั่นใจว่าถูกโยนออกมา และโยนลงตรงหน้าม้าของเมิ่งชิงพอดี 

 

 

เกิดความเงียบงันบริเวณประตูเมืองบานใหญ่ ผู้คนทั้งหมดล้วนเบิกตากว้างมองภาพเบื้องหน้า กระทั่งนักดนตรีบรรเลงก็ลืมเป่าแตรสั่วน่าในมือของตนเอง 

 

 

เมิ่งชิงมีสีหน้าขรึมลงกุมบังเหียนในมือเอาไว้ รอจนเห็นชัดเจนแล้วว่าเป็นขอทานคนหนึ่งก็มองไปยังทิศทางที่ผู้คนมองไม่ออกว่านางถูกผลักออกมาด้วยสายตาคมกริบ มีขอทานหลายคนยืนอยู่ตรงนั้น แสยะยิ้มให้กับเขา 

 

 

เมิ่งชิงหรี่ตาลงถอนสายกลับมา เหลือบมองไปยังองครักษ์ลับผู้หนึ่งส่งสัญญาณให้เขาลากคนออกไป 

 

 

เมื่อเกิดเรื่องโชคร้ายกะทันหันเช่นนี้ องครักษ์ลับก็สะดุ้งตกใจเช่นกัน ยังไม่ทันจะมีปฏิกิริยาใดๆ ก็ได้รับสายตาที่ถูกส่งมาจากเมิ่งชิง ในใจก็สั่นสะท้าน รีบรุดหน้าไปลากตัวขอทานผู้นี้ออกไป 

 

 

คิดไม่ถึงว่าขอท่านผู้นี้จะยื่นมือไปทางเมิ่งชิง ส่งเสียงเรียกออกมาอย่างน่าสลดใจ “ชิง ชิงเอ๋อร์!” 

 

 

เมิ่งชิงชะงักร่าง 

 

 

องครักษ์ลับก็ตกตะลึงหยุดการฉุดกระชากลากถูและเหลือบตาขึ้นมองไปทางเมิ่งชิงทันที 

 

 

“ชิงเอ๋อร์!” 

 

 

หลี่ชุ่ยฮวาเรียกออกมาอีกครั้ง ในครานี้เสียงดังขึ้น ฝูงชนรอบด้านที่ได้ยินล้วนตกตะลึงและไม่กล้าส่งเสียงออกมาแม้แต่น้อย 

 

 

เมิ่งชิงที่นั่งอยู่บนหลังม้าตัวใหญ่เม้มริมฝีปากแน่น จ้องมองใบหน้าของหลี่ชุ่ยฮวาเขม็ง 

 

 

หลี่ชุ่ยฮวาค่อยๆ ยันกายลุกขึ้นยืนอย่างเชื่องช้า เดินกะโผลกกะเผลกไปหยุดอยู่หน้าเขา หลังจากจัดการผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงอยู่ด้านหน้าไปไว้ด้านหลังแล้ว ก็เผยใบหน้าซูบตอบของนางที่มีน้ำตารินไหลออกมา “ชิงเอ๋อร์ ข้าคือแม่เจ้าไง” 

 

 

เมิ่งชิงกำบังเหียนในมือแน่น ควบคุมความหุนหันพลันแล่นที่จะลงจากม้าของตนเองเอาไว้ เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ท่านมาทำอะไร” 

 

 

“ข้า…” 

 

 

หลังจากปากหลี่ชุ่ยฮวาอ้าแล้วหุบ อ้าแล้วหุบครั้งแล้วครั้งเล่า ก็มีเพียงคำเดียวที่หลุดออกมา 

 

 

โทสะในใจของเมิ่งชิงพลุ่งพล่าน ในคราแรกมารดาตนเองนำเงินห้าหมื่นตำลึงไปจากตนเองเพื่อคนตระกูลหลี่ เหตุใดในวันนี้ถึงได้ตกอยู่ในสภาพย่ำแย่เช่นนี้กัน อีกทั้งยังปรากฏตัวขึ้นในวันแต่งงานของตนเองด้วยวิธีการเช่นนี้ นางคิดจะใช้สภาพที่น่าสงสารของตนเองอีกครั้ง เพื่อหลอกให้เขาเห็นอกเห็นใจนางหรือว่าคิดอยากจะมาเอาเงินจากเขาอีก 

 

 

“ชิง ชิงเอ๋อร์…” 

 

 

หลังจากผ่านไปเนิ่นนาน ในที่สุดหลี่ชุ่ยฮวาก็ส่งเสียงออกมาเสียที “ก่อนหน้านี้แม่ทำผิดไปแล้ว ขอร้องเจ้า เห็นแก่สิบเดือนที่แม่อุ้มท้องเจ้ามาด้วยความยากลำบาก ให้อภัยแม่สักครั้งเถอะนะ แม่รับปากเจ้าว่าหลังจากนี้จะเชื่อฟังคำของเจ้าและไม่สนใจคนตระกูลหลี่อีก” 

 

 

พบเจอกับความลำบากมากมายและได้รับความทุกข์ทรมานมากมายเช่นนี้ ในที่สุดหลี่ชุ่ยฮวาก็เข้าใจแล้วว่าในตอนนั้นนางโง่เพียงใด นอกจากมารดาของตนเองแล้ว คนตระกูลหลี่ทั้งหมดไม่มีใครรักและทะนุถนอมนางจากใจจริงสักคน รวมไปถึงบิดาที่ยืนมองอยู่ข้างๆ ด้วยความเย็นชาเพราะเห็นแก่ประโยชน์ของตนเองนั่นด้วยเช่นกัน 

 

 

พวกหลี่เซิ่งนั้นอยู่ใกล้มากจึงได้ยินวาจาที่นางเอ่ยออกมา ภรรยาของหลี่เซิ่งโมโหจนแทบจะทนไม่ไหวก้าวไปเตะนางอีกหลายฝ่าเท้า เจ้าคนไม่รู้จักบุญคุณคน วันเวลานานขนาดนี้ หากไม่ใช่ว่าพวกนางไปขอข้าวมาให้นางกิน นางจะสามารถมีชีวิตอยู่จนถึงวันนี้หรือ ในยามนี้ลืมไปหมดแล้วว่าเป็นพวกนางที่ทำให้หลี่ชุ่ยฮวาต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ในตอนนี้ 

 

 

“ในคราแรกที่ข้ามอบเงินให้กับท่านก็กล่าวกับท่านอย่างชัดเจนแล้วว่า หลังจากนี้พวกเราไม่มีความเกี่ยวข้องอันใดต่อกันอีก วันนี้เป็นวันที่น่ายินดีเป็นอย่างมากของข้า แต่กลับอาศัยสภาพเช่นนี้มาปรากฏตัวเพราะคิดอยากจะได้รับความเห็นอกเห็นใจจากข้า หรือว่าต้องการให้ข้าถูกคำวิพากษ์วิจารณ์ของฝูงชนยอมรับท่านใหม่อีกครั้งกัน” 

 

 

เมิ่งชิงเอ่ยถามด้วยเสียงเย็นชา 

 

 

หลี่ชุ่ยฮวาส่ายศีรษะไม่หยุด หยาดน้ำตาก็กระเด็นตาม “ไม่ใช่นะ ชิงเอ๋อร์ ไม่ใช่นะ วันนี้แม่ถูกบีบบังคับจนไร้ซึ่งหนทาง แม่…” 

 

 

เมิ่งชิงตัดบทนางอย่างเย็นชา “แม้ว่าท่านจะถูกบีบบังคับจนไร้ซึ่งหนทางก็ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับข้า ขอให้ท่านหลีกทาง อย่าทำให้ข้าล่าช้าจนเสียฤกษ์งามยามดีในการแต่งงานไป” 

 

 

เมื่อเห็นสีหน้าเด็ดเดี่ยวของเขา หลี่ชุ่ยฮวาก็รู้ว่าหากปล่อยให้เขาไปในวันนี้ ภายหลังก็ไม่มีโอกาสอีกแล้ว ในใจจึงเกิดความหวาดกลัวอย่างควบคุมไม่อยู่ ไม่รู้ว่าไปเอาเรี่ยวแรงมาจากที่ใด ยื่นมือสองข้างออกมาขวางเอาไว้เบื้องหน้าเขา ตะโกนออกมาอย่างเสียสติว่า “ข้าไม่ถอย ข้าไม่ถอย ข้าเป็นแม่แท้ๆ ของเจ้า หากเจ้าไม่ยอมรับปากว่าจะยอมรับข้า วันนี้ข้าจะฆ่าตัวตายอยู่หน้าม้าเจ้า” 

 

 

เสียงฮือฮาของฝูงชนดังขึ้นมาอีกครั้ง สองปีก่อน ภาพที่เมิ่งชิงได้มอบเงินห้าหมื่นตำลึงให้กับหลี่ชุ่ยฮวาต่อหน้าชาวบ้านในเมืองหลวงทั้งหมด เพื่อซื้อขาดความสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูกปรากฏขึ้นในสมองของฝูงชน นั่นเป็นเงินห้าหมื่นตำลึงเชียวนะ เงินที่สามัญชนธรรมดาใช้ไปกี่ชาติก็ไม่หมด คิดไม่ถึงเลยว่าภายในระยะเวลาสั้นๆ เพียงสองปี กลับถูกนางใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่ายจนหมด ไม่เพียงเท่านี้ยังจะขู่บังคับว่าจะฆ่าตัวตายต่อหน้าม้าในวันมงคลของเมิ่งชิงอีก ใต้หล้านี้มีมารดาเช่นนี้ที่ไหนกัน 

 

 

หลี่ชุ่ยฮวาตะโกนประโยคนี้ออกมาภายใต้เหตุการณ์วิกฤต ตะโกนเสร็จแล้วก็รู้สึกเสียใจขึ้นมา รีบอธิบายว่า “ชิงเอ๋อร์ แม่ไม่ได้หมายความว่าเช่นนั้น แม่ป่วยจนเลอะเลือนไปแล้ว เจ้าอย่าเอามาใส่ใจ ตอนนี้แม่ไม่ขอร้องอันใด ขอเพียงแค่เจ้ารับแม่ไปอยู่ด้วย กินอิ่มสวมเสื้อผ้าอุ่นก็พอแล้ว…” 

 

 

“ต้องการเงินเท่าใด” 

 

 

 เมิ่งชิงถามเสียงเย็นชา 

 

 

หลี่ชุ่ยฮวาที่ได้ยินไม่ชัดเจน “อะ อะไรนะ” 

 

 

“ข้าถามว่าครั้งนี้ท่านตั้งใจจะเรียกเงินเท่าใด” 

 

 

เมิ่งชิงเอ่ยซ้ำอีกรอบ น้ำเสียงเจือไปด้วยร่องรอยโทสะแล้ว 

 

 

หลี่ชุ่ยฮวาที่ได้ยินชัดเจนก็โบกมือทั้งคู่ของตนเองอย่างลนลาน “ข้าไม่ต้องการเงิน ไม่ต้องการเงิน เจ้าไม่ได้ฟังสิ่งที่ข้ากล่าวไปเมื่อครู่นี้หรอกหรือ ข้าเพียงแค่ต้องการกินอิ่มและสวมใส่เสื้อผ้าอุ่นๆ ก็พอแล้ว” 

 

 

“นับตั้งแต่ที่ท่านเลือกตระกูลหลี่และรับเงินห้าหมื่นตำลึงนั่นของข้าไป พวกเราก็ได้ตัดขาดความสัมพันธ์แม่ลูกกันแล้ว วันนี้เป็นวันแต่งงานของข้า ข้าไม่อยากจะทำอันใดรุนแรงเกินไป หากท่านต้องการ ข้าจะมอบให้ท่านห้าร้อยตำลึง ถือว่าเห็นแก่ที่พวกเราเป็นคนในบ้านเกิดเดียวกันช่วยเหลือเรื่องเงินท่านสักเล็กน้อย หากว่าท่านไม่เห็นด้วยก็ถอยออกไป อย่าทำให้ข้าพลาดฤกษ์งามยามดี” 

 

 

เงินห้าร้อยตำลึงก็นับว่าเป็นเงินเช่นกัน เมื่อเห็นว่าหลี่ชุ่ยฮวายังยืนนิ่งอยู่หน้าม้าของเมิ่งชิงโดยไม่ขยับเขยื้อน หลี่เซิ่งก็ร้อนใจ แหวกผู้คนที่ด้านหน้าตนเองอย่างคิดจะเดินออกมา 

 

 

องครักษ์ลับนายหนึ่งเห็น นัยน์ตาก็ทอประกายวาบ ขยับกายไปถึงด้านหน้าเขาด้วยความรวดเร็ว พร้อมกับตวาดใส่หลี่เซิ่ง “บังอาจ หากกล้าก้าวขึ้นมาข้างหน้าอีกเพียงเล็กน้อย ข้าจะตัดขาของเจ้า” 

 

 

เมื่อครู่พวกเขาไม่ทันได้สังเกตจึงถูกหลี่ชุ่ยฮวาพุ่งตัวผ่านช่องว่างเข้าไปได้ ถ้าหากว่าให้ขอทานผู้นี้ผ่านเข้าไปอีก ซื่อจื่อจะต้องกลับมาจัดการพวกเขาจนปางตายแน่นอน 

 

 

หลี่เซิ่งตื่นตระหนกจนเหงื่อเย็นๆ ไหลโทรมกาย รีบหยุดฝีเท้าทันที โค้งตัวก้มศีรษะ “ไม่กล้า ไม่กล้า ข้าน้อยไม่ขยับ ไม่ขยับ” 

 

 

หลี่ชุ่ยฮวาไม่มีกะจิตกะใจจะไปสนใจความเคลื่อนไหวทางด้านนั้น นางรู้ชัดเจนแก่ใจดีว่า หากเมิ่งชิงไม่ยอมรับนางไปอยู่ด้วย อย่าพูดถึงห้าร้อยตำลึงเลย ถึงแม้จะเป็นห้าพันตำลึง ห้าหมื่นตำลึง สุดท้ายแล้วนางก็ไม่เหลือสักทองแดงเดียว เมื่อคิดได้เช่นนี้ก็คุกเข่าดังตึงต่อหน้าม้าของเมิ่งชิง ร้องไห้สะอึกสะอื้นขอร้อง “ชิงเอ๋อร์ ความผิดมหันต์อันมากมายนี้ล้วนเป็นความผิดของแม่ แม่ขอร้องเจ้า เจ้ารับแม่ไว้เถอะนะ แม่ไม่มีความต้องการอื่นใดจริงๆ ขอเพียงแค่กินอิ่มและสวมเสื้อผ้าอุ่นก็พอแล้ว” 

 

 

ชาวบ้านที่มุงดูอยู่ถูกการกระทำกะทะหันของนางทำให้ตกตะลึงไป ประตูเมืองบานใหญ่ไม่มีเสียงความเคลื่อนไหวใดๆ แม้แต่น้อย 

 

 

หน้าผากของเมิ่งชิงปรากฏเส้นเอ็นปูดออกมา และพยายามควบคุมความหุนหันพลันแล่นที่จะลงจากม้าไปบีบหลี่ชุ่ยฮวาให้ตายคามือเอาไว้ นางเป็นมารดาของตนเองนั้นไม่ผิด แต่ในใต้หล้านี้มีมารดาที่ใดจะทำแบบนี้ บีบบังคับตนเองท่ามกลางสายตาผู้คนมากมายเช่นนี้ 

 

 

เมิ่งชิงลงจากม้าเดินไปถึงเบื้องหน้านางทีละก้าว ทีละก้าว และก้มลงมองหลี่ชุ่ยฮวาคล้ายกับว่ากำลังมองคนแปลกหน้าคนใดคนหนึ่ง 

 

 

เมื่อเห็นเขาลงจากม้า หลี่ชุ่ยฮวาก็เกิดความรู้สึกยินดี รีบคลานคุกเข่าไปด้านหน้าอีกสองก้าว ร้องเรียกอย่างดีใจว่า “ชิงเอ๋อร์!” 

 

 

เมิ่งชิงมองนางด้วยใบหน้าเฉยเมยไร้ความรู้สึกอยู่ครู่หนึ่ง 

 

 

หลี่ชุ่ยฮวาใจสั่น สายตานี้เหมือนกับตอนที่เมิ่งเสียวเถี่ยมอบหนังสือหย่าให้กับนางอย่างกับแกะ นางลนลานร้อนใจ ริมฝีปากที่สั่นระริกนั้นขยับ “ชิง ชิงเอ๋อร์” 

 

 

เมิ่งชิงโค้งตัวลงไปประคองนางให้ลุกขึ้นมา และคุกเข่าลงท่ามกลางสายตาตกตะลึงของนาง พร้อมกับโขกศีรษะให้นางสามครั้งในตอนที่นางไม่ทันได้มีปฏิกิริยาใดๆ หลังจากนั้นก็หมุนกายเดินไปขึ้นหลังม้า โดยไม่พูดอันใดภายใต้เสียงฮือฮาของฝูงชน “ไป ถ้าหากมีใครกล้าขวางเกี้ยวอีก ฆ่าอย่างไม่ต้องปราณี!” 

 

 

ร่างหลี่ชุ่ยฮวาสั่นสะท้าน มองเขาขี่ม้าเดินผ่านตนเองไปอย่างตะลึง จนกระทั่งเกี้ยวชนเข้ากับร่างของนางจนนางเซล้มลงกับพื้น นางถึงได้สติขึ้นมา และตะเกียกตะกายลุกขึ้น วิ่งตามไปหลายก้าว ตะโกนเสียงแหลมเศร้าออกมาโดยไม่รู้ว่าไปเอาแรงมาจากที่ใด “เมิ่งชิง เจ้าไม่สนใจแม่จริงๆ หรือ” 

 

 

เมิ่งชิงขี่ม้าเดินจากไปไกลต่อไป ไม่แม้แต่จะหันศีรษะกลับไปมอง  

 

 

หลี่ชุ่ยฮวากัดฟันเหลือบไปเห็นกำแพงเมืองก็ตะโกนออกมาอย่างมีโทสะว่า “ดี ดี ดี ในเมื่อเจ้าอำมหิตเหมือนพ่อของเจ้า ทอดทิ้งแม่โดยไม่สนใจ แม่ก็จะให้เจ้าเสียใจไปชั่วชีวิต” 

 

 

เอ่ยจบก็วิ่งอย่างบ้าคลั่ง พุ่งไปกระแทกเข้ากับกำแพงเมือง 

 

 

ฝูงชนส่งเสียงกรีดร้องออกมาด้วยความหวาดกลัว บางคนที่ขี้ขลาดหน่อยก็ปิดตาลงอย่างไม่กล้ามอง 

 

 

หลี่เซิ่งโอดครวญในใจ จบแล้ว จบสิ้นแล้ว ทั้งหมดจบสิ้นลงแล้ว ตระกูลหลี่ของเขาไม่มีวันที่จะพลิกตัวขึ้นมาได้อีกแล้ว 

 

 

หลี่ชุ่ยฮวาโอบกอดความหวังที่จะสิ้นชีพ ตัดสินใจพุ่งไปกระแทกกับกำแพง ในครานี้ใช้แรงมาก แต่นางลืมไปแล้วว่าตนเองป่วยมาหลายวัน ทั้งยังไม่ได้กินอาหารมาหลายวันเช่นกัน ทั่วทั้งร่างจึงไร้ซึ่งเรี่ยวแรง เพิ่งจะพุ่งไปถึงข้างกำแพง ร่างกายก็อ่อนยวบทรุดลงกับพื้น ไหนเลยจะมีแรงพุ่งชนกำแพงอีก 

 

 

ฝูงชนส่งเสียงสะอื้นออกมาครู่หนึ่ง 

 

 

 

 

 

 

 

 

[1] แตรสั่วน่า หรือแตรลำโพงเป็นเครื่องดนตรีทางตอนเหนือของจีน