บทที่ 841 กลับมาแล้ว

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 841 กลับมาแล้ว

เจิ้งหลงเซียงอยากจะร้องไห้

อันที่จริงเขาก็กำลังร้องไห้อยู่

ก่อนเดินทางมามณฑลเฟิงอวี่ในครั้งนี้ เจิ้งหลงเซียงถึงกับลองเข้าไปเสี่ยงเซียมซีในวิหารประจำนครหลวงเพื่อตรวจสอบโชคชะตาของตนเอง

ผลการเสี่ยงเซียมซีออกมาว่า ‘เจิ้งหลงเซียงโชคดีและกำลังจะมีลาภลอย’

แต่บัดนี้ หัวหน้าองครักษ์หลวงกลับพบว่าตนเองกำลังต้องติดตามเด็กหนุ่มผู้บ้าคลั่งเข้าสู่ค่ายทหารของชาวทะเล เพื่อเจรจาเรื่องการสงบศึก

โอกาสที่จะได้กลับออกมาอย่างมีชีวิต มีน้อยมากกว่าที่จะได้กลับออกมาอย่างเป็นซากศพ

หลินเป่ยเฉินบอกเขาว่าการเจรจาครั้งนี้มีความเสี่ยงมาก เจิ้งหลงเซียงจำเป็นต้องระมัดระวังทุกคำพูด เพราะเขาต้องไม่ลืมว่าตนเองในขณะนี้เป็นตัวแทนของผู้คนนับสิบล้านคนในนครเจาฮุย ซึ่งมันควรจะเป็นหน้าที่ของเด็กหนุ่มแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น ทำไมหลินเป่ยเฉินถึงต้องลากเขามาเกี่ยวข้องด้วยนะ?

แต่ที่น่ารังเกียจที่สุดก็คือหลินเป่ยเฉินขี่ม้าสบายใจเฉิบและปล่อยให้เขาต้องเดินตามหลังด้วยสองเท้า

เจิ้งหลงเซียงผู้นี้เป็นถึงหัวหน้าหน่วยองครักษ์หลวง เหตุไฉนเด็กหนุ่มถึงไม่ไว้หน้ากันบ้าง?

“เราขี่ม้าขาว สวมใส่เสื้อผ้าสะอาดสะอ้าน หน้าตาก็ออกจะหล่อเหลา สมควรไปรับสาวงามถึงจะถูกต้อง ทำไมต้องมาทนอยู่กับเจ้าคนพรรค์นี้ด้วยนะ…”

หลินเป่ยเฉินสะบัดสายแส้ในมือพร้อมกับส่ายศีรษะพูดพึมพำ

เจ้าคนพรรค์นี้?

หลินเป่ยเฉินกำลังหมายถึงใคร?

เจิ้งหลงเซียงได้แต่คิดแล้วก็สงสัย

คงไม่ใช่เขาหรอกกระมัง?

ยิ่งรับฟังคำพูดของหลินเป่ยเฉินมากเท่าไหร่ เจิ้งหลงเซียงก็ยิ่งเกิดคำถามมากเท่านั้น

“ช่างสง่างามจริงๆ”

บนกำแพงเมือง เฉียนเฟยเซวียที่ยืนมองแผ่นหลังของหลินเป่ยเฉินห่างไกลออกไปเรื่อยๆ อดพูดออกมาด้วยความชื่นชมไม่ได้

ทุกคนล้วนเห็นพ้องต้องกัน

หลินเป่ยเฉินต้องแบกรับความหวังของคนทั้งเมืองไว้ด้วยตัวเพียงคนเดียว

เด็กหนุ่มคงกลัวว่าการเจรจาอาจเกิดอันตราย จึงเลือกที่จะพาเจิ้งหลงเซียงติดตามไปด้วยเพียงคนเดียว เพราะไม่อยากให้คนอื่นต้องไปเสี่ยงอันตรายโดยไม่จำเป็น

บุคคลที่มีจิตใจดีงามเช่นนี้จะสามารถหาจากที่ไหนได้อีก?

โบราณเคยมีผู้คนกล่าวเอาไว้ว่า ‘สองไหล่แข็งแกร่งด้วยคุณธรรม พร้อมแบกรับจิตวิญญาณแห่งประเทศชาติ’

นับว่าคำพูดประโยคนี้เหมาะสมกับหลินเป่ยเฉินเป็นอย่างยิ่ง

น้ำตาของทุกคนไหลพราก

บรรดาขุนนางคนใหญ่คนโตมารวมตัวกันอยู่บนกำแพงเมืองอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา เพื่อจ้องมองแผ่นหลังอันแข็งแกร่งของหลินเป่ยเฉินด้วยความซาบซึ้งใจในความเสียสละของเด็กหนุ่ม

เกล็ดหิมะโปรยปราย

อากาศหนาวเย็นในชนิดที่มีควันลอยออกมาเวลาหายใจ

ค่ายทหารของชาวทะเลตั้งอยู่ห่างออกไปจากกำแพงเมืองประมาณสิบลี้ เส้นทางไม่วกวนคดเคี้ยว ท้องฟ้าเบื้องบนมีเมฆดำลอยปกคลุม ก่อเกิดเป็นเงาดำขนาดใหญ่ทาบทับลงมาบนพื้นดิน

นับตั้งแต่ที่มีค่ายทหารของชาวทะเลแห่งนี้ปรากฏขึ้น ชาวเมืองเจาฮุยก็ไม่เคยได้นอนหลับอย่างสงบสุขอีกเลย

ในหัวใจของทุกผู้คนเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

ไม่มีใครกล้าออกจากเมืองเพียงลำพัง

แม้แต่นายทหารระดับสูงประจำกองทัพ ก็ยังไม่กล้าเข้ามาใกล้ค่ายทหารของชาวทะเลมากเกินไป

เพราะสถานที่แห่งนั้นมีแต่ความมืดมิด ไม่มีใครรู้เลยว่าต้องมีมนุษย์สังเวยชีวิตให้แก่นักรบชาวทะเลในค่ายทหารของพวกมันมากมายขนาดไหน

ไม่เคยมีใครกล้าไปที่นั่น นอกจากหลินเป่ยเฉิน

เด็กหนุ่มชื่อดังจากเมืองหยุนเมิ่งเคยไปที่นั่นมากกว่าหนึ่งครั้ง

และวันนี้ เขาก็กำลังกลับไปอีกครั้ง

ภายใต้การจ้องมองของผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วน หลินเป่ยเฉินขี่ม้าขาวผ่านซุ้มประตูค่ายที่พักเข้าไป โดยที่มีเจิ้งหลงเซียงผู้ตัวสั่นงันงกเดินตามหลังไปไม่ห่าง

ในอากาศหนาว ทุกคนกำลังรอคอย

ข่าวแพร่กระจายไปทั่วเมือง

ยิ่งเวลาผ่านไปนานมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีกลุ่มนายทหารมารวมตัวกันบนกำแพงเมือง เพื่อจ้องมองไปยังค่ายทหารของชาวทะเลมากเท่านั้น

ถึงกับมีผู้สร้างค่ายอาคมจัดการถ่ายทอดสดบรรยากาศเข้าไปยังภายในตัวเมืองอีกด้วย

ภายในตัวเมืองเจาฮุย หน้าจอขนาดใหญ่ถูกติดตั้งใจกลางพื้นที่สาธารณะ

เป็นการถ่ายทอดสดภาพค่ายทหารของชาวทะเลจากระยะไกล

ชาวเมืองจำนวนมากมารวมตัวกันอยู่หน้าจอใหญ่ แทบทุกคนยกมือขึ้นมาพนมมือแนบอกและก้มหน้าสวดภาวนา

และก็มีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่ขึ้นไปสวดภาวนาบนวิหารประจำเมือง เพื่อขอให้เทพีกระบี่คอยคุ้มครองหลินเป่ยเฉิน พวกเขาไม่เคยรู้สึกต้องการปาฏิหาริย์ขององค์เทพีมากเท่านี้มาก่อน

ในค่ายที่พักของผู้อพยพ ผู้คนมากมายก็กำลังสวดภาวนาอยู่เช่นกัน

“ขอให้คุณชายหลินกลับมาอย่างปลอดภัยด้วยเถิด…”

บรรดาสมาชิกระดับสูงของค่ายผู้อพยพจ้องมองหน้าจอถ่ายทอดสดที่ถูกติดตั้งขึ้นชั่วคราวด้วยความเชื่อมั่น

“คุณชายจะต้องทำได้สำเร็จอย่างแน่นอน”

เฉียนเหมยมือหนึ่งชูกำปั้น อีกมือหนึ่งจับมือเฉียนเจินแนบแน่น

ฝ่ามือของพวกนางมีเหงื่อออกเปียกชุ่ม

เถียนเถียนยืนถือสมุดจดอยู่ในมือ ไม่มีใครรู้ว่าชายหนุ่มกำลังคิดอะไรอยู่ เพราะหลังจากนั้น ชายหนุ่มก็รีบหยิบปากกาขนนกออกมาขีดเขียนข้อความยาวเหยียดหลายหน้ากระดาษ…

ส่วนผู้อพยพที่มาทำงานจากหมู่บ้านอื่นล้วนมีใบหน้าขาวซีด พวกเขาคุกเข่าสวดภาวนา พร้อมกับจ้องมองไปยังท้องฟ้าอันมืดมิดนอกค่ายที่พักของผู้อพยพ หากมีใครสักคนมองลงมาจากด้านบน ก็จะเห็นเป็นทะเลมนุษย์ปรากฏตัวยาวไกลสุดลูกหูลูกตา

ผู้อพยพแทบทุกคนต่างก็เคยสูญเสียบ้านเรือนที่อยู่อาศัย เคยผ่านความอดอยาก ผ่านความหิวโหยและความหมดหวังมาแล้วด้วยกันทั้งสิ้น

บัดนี้ พวกเขาล้วนมาสวดภาวนาเพื่อขอร้องให้เด็กหนุ่มผู้นำพาความหวังและแสงสว่างกลับมาสู่ชีวิตของทุกคน ได้มีชีวิตอยู่รอดปลอดภัยเช่นกัน

เพราะหากหลินเป่ยเฉินเป็นอะไรไปสักคน ชีวิตของพวกเขาก็คงต้องกลับไปมืดมนเช่นเดิมเป็นแน่แท้

ณ วิหารประจำเมือง

นักพรตใหญ่หลงเยว่เปิดประตูและถือถาดอาหารเช้าเดินเข้าไปในส่วนลึกของวิหาร

“พระองค์ท่านเจ้าคะ? พระองค์ท่าน? เอ๋? หายไปไหนแล้วนะ?”

ภายในวิหารมีแต่ความว่างเปล่า

ตลอดหลายวันที่ผ่านมานี้ เยว่เว่ยหยางเอาแต่เก็บตัวนอนอยู่บนเตียงในวิหาร ท่าทางเหนื่อยล้าอ่อนแรง ราวกับว่าสูญเสียพลังมากเกินไปจากการฝึกวิชาอันหนักหน่วง ปกติต้องใช้เวลากว่าครึ่งวันถึงจะมีเรี่ยวแรงกลับคืนมาอีกครั้ง แต่บัดนี้ ไม่ทราบเลยว่าเด็กสาวหายไปไหนเสียแล้ว?

เกิดอะไรขึ้น?

นักพรตใหญ่หลงเยว่ตรวจไม่พบพลังลมปราณของเยว่เว่ยหยางภายในภูเขาลูกนี้อีกแล้ว

แต่ที่สำคัญก็คือ หญิงชราพบว่าชุดเกราะเทพเจ้าที่เคยแขวนอยู่ในส่วนลึกของวิหารก็หายไปด้วยเช่นกัน

พระองค์ท่านสวมชุดเกราะไปที่ไหนกันนะ?

ทันใดนั้น นักพรตใหญ่หลงเยว่ก็เหมือนกับนึกอะไรได้บางอย่าง

ในเวลาเดียวกันนี้

จวนสกุลหลิง

“ฮื่อ เด็กน้อย เจ้าใจเย็นก่อนสิ นี่เจ้าจะดึงหนวดปู่ขาดหมดแล้วนะ…”

หลิงไท่ซวีพูดด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียว

“ท่านต้องรีบไปช่วยพี่เป่ยเฉินเดี๋ยวนี้…”

หลิงเฉินร่ำร้องอย่างร้อนรน

หลิงไท่ซวีตอบกลับมาอย่างจนใจ “เจ้าจะให้ปู่ช่วยอย่างไร? ปู่ก็เป็นแค่คนแก่ที่ป่วยเป็นโรคพิษนารีเรื้อรัง สุขภาพอ่อนแอไม่แข็งแรงดังเดิม หากต้องเข้าไปในค่ายทหารของพวกชาวทะเล ปู่คงไม่รอดกลับมาแน่ๆ…”

“ข้าไม่สน ท่านปู่ใจร้ายเกินไป พี่เป่ยเฉินต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยท่าน ท่านต้องไปเดี๋ยวนี้…”

หลิงเฉินกระทืบเท้าอยู่กับที่ด้วยความงอแง

“เจ้าจะให้ปู่ไปตายเลยหรือ? เจ้าต่างหากที่ใจร้าย เจ้าอยากจะให้เด็กหนุ่มที่ตนเองหลงรักอยู่รอด ถึงขนาดยอมเสียสละชีวิตปู่เลยหรือนี่ เฮ้อ ข้านี่มันน่าสงสารจริงๆ…” หลิงไท่ซวีกล่าวด้วยน้ำเสียงเจ็บปวดใจ

หลิงเฉินพูดสวนกลับมาว่า “ข้ารู้ว่าคนแก่หนังเหนียวอย่างท่านตายยากอยู่แล้ว… ท่านปู่ ท่านต้องรีบไปเดี๋ยวนี้”

หลิงไท่ซวีรีบสวมใส่เสื้อคลุมและวิ่งหนีออกมาจากห้องนอนพร้อมกับพูดว่า “ตัวใครตัวมันนะจ๊ะ หลานรัก…”

จังหวะนั้น หลิงเฉินกำลังจะใช้วิชาตัวเบาติดตามชายชราไปเช่นกัน

“จะไปไหน? หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ”

ชินหลันซูพลันปรากฏตัวออกมาอย่างไม่มีสัญญาณเตือน

ผู้เป็นบุตรสาวมีสีหน้าขมขื่นขึ้นมาทันที

“เจ้าเพิ่งจะฟื้นตัว อยากจะใช้พลังนั้นอีกหรืออย่างไร? เจ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกแล้วหรือ?” ชินหลันซูพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “กลับห้องของเจ้าไปซะ”

“ท่านแม่…”

ใบหน้าที่สวยงามของหลิงเฉินปรากฏความขอร้องอ้อนวอนอย่างชัดเจน

ชินหลันซูตอบกลับมาอย่างสงสารจับใจว่า “เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง… เขาไม่ตายหรอก”

หลิงเฉินชะงักกึก คล้ายกับนึกอะไรขึ้นมาได้ ก่อนพูดด้วยความเหลือเชื่อว่า “ท่านแม่ ท่าน…”

ชินหลันซูแค่นหัวเราะเล็กน้อยและตอบ “ถึงอย่างไรก็ถือว่าสกุลหลิงเป็นหนี้บุญคุณเขาแล้ว”

มีผู้คนมากมายคุกเข่าสวดภาวนาทั่วนครเจาฮุย

ในประวัติศาสตร์เมืองนี้ ไม่เคยมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นมาก่อน

แม้แต่คนที่เคยเกลียดชังหลินเป่ยเฉินก็ยังออกมาสวดภาวนาขอให้เขาปลอดภัย

เพราะถ้าเด็กหนุ่มเป็นอะไรไปสักคน นครเจาฮุยก็คงถูกทำลายไม่เหลือชิ้นดี

และพวกเขาก็จะไม่มีที่อยู่อาศัย

ผ่านไปหลายชั่วยาม

ตั้งแต่ที่ดวงอาทิตย์ขึ้นและดวงอาทิตย์ตก

บัดนี้ แสงตะวันยามเย็นย้อมเส้นขอบฟ้าเป็นสีแดง

หัวใจของทุกผู้คนเต้นระทึกด้วยความกระวนกระวาย

“ดูนั่นสิ มีคนกลับมาแล้ว”

เสี่ยวเย่ตะโกนออกมาเสียงดัง

ทุกสายตาตวัดมองไปทางค่ายทหารของชาวทะเล

พวกเขาเห็นเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาขี่ม้าขาว มุ่งหน้าตรงมาทางกำแพงเมืองภายใต้แสงสลัวยามตะวันตกดินอย่างแช่มช้า

ด้านหลังเดินตามมาด้วยชายหนุ่มผู้มีสภาพสะบักสะบอมคนหนึ่ง