บทที่ 842 กลอุบายแสนแยบยล

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 842 กลอุบายแสนแยบยล

เขากลับมาแล้ว เขากลับมาแล้ว

เด็กหนุ่มผู้ขี่ม้าขาวกลับมาแล้ว

กลับมาอย่างปลอดภัย

เมื่อได้ยินเสียงตะโกนของเสี่ยวเย่ เสียงโห่ร้องด้วยความดีใจก็ดังกึกก้องทั่วกำแพงเมืองนครเจาฮุย

หลินเป่ยเฉินผู้ขี่ม้าขาวกลับมาแล้ว

เหล่านายทหารดีใจสุดขีด บางคนถึงกับถอดหมวกเหล็กของตัวเองโยนขึ้นไปในอากาศ

พื้นดินสั่นสะเทือน

เสียงโห่ร้องดังกึกก้องทั่วเมืองพื้นที่เขตหนึ่ง

ก่อนจะตามด้วยเสียงโห่ร้องในพื้นที่เขตอื่นๆ

เสียงโห่ร้องด้วยความดีใจเหล่านี้ดังไล่กันไปเป็นระลอกคลื่น

บรรยากาศในตัวเมืองคึกคักราวกับมีงานเทศกาล

หากมองดูจากระยะไกล ก็จะพบว่าก้อนเมฆที่ลอยตัวอยู่เหนือนครเจาฮุยถึงกับแตกสลายหายไปเพราะคลื่นเสียงของประชาชน แสงอาทิตย์ยามเย็นส่องลอดผ่านช่องว่างในหมู่เมฆกลายเป็นลำแสงสีแดงสดราวโลหิต

ในที่สุด หัวคิ้วที่ขมวดมุ่นตลอดเวลาของเกาเฉิงฮั่นก็สามารถคลายออกจากกันได้แล้ว

นับตั้งแต่ที่เลื่อนระดับขึ้นมามีพลังอยู่ในขั้นเซียน เกาเฉิงฮั่นไม่เคยต้องเคร่งเครียดขนาดนี้มาก่อน

ขณะเดียวกันนี้ เฉียนเฟยเซวีย โหลวซานกวนและขุนนางใหญ่คนอื่นๆ ต่างก็มีสีหน้าผ่อนคลายเช่นกัน

สุดท้าย พวกเขาก็สามารถถอนหายใจออกมาได้อย่างโล่งอก

หัวใจที่เคยเต้นระทึกก็กลับมาเต้นเป็นจังหวะปกติอีกครั้ง

แต่ทันใดนั้น แววตาของสองหนุ่มผู้มาจากนครหลวงก็ทอประกายเศร้าโศกเล็กน้อย

ช่างน่าสงสารยิ่งนัก

หลินเป่ยเฉินมีความสง่างามและมีจิตใจที่ห้าวหาญถึงเพียงนี้ เขาสมควรมีอนาคตที่ยาวไกล ไม่สมควรต้องมารับหน้าที่เป็นผู้เจรจาสงบศึกเช่นนี้เลย

นับจากนี้ ชีวิตของเด็กหนุ่มคงลำบากมากแล้ว

เปรียบดั่งนกน้อยที่ยังไม่เคยโผบิน ก็ถูกเด็ดปีกทิ้งไปเสียก่อน

ทั้งๆ ที่หลินเป่ยเฉินสามารถสร้างประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติได้มากมายหลังจากนี้ ทว่าอนาคตของเขากลับต้องดิ่งลงเหวอย่างไม่มีทางเลือก

ช่างน่าเสียดายเหลือเกิน

นักรบชาวทะเลที่อยู่ห่างไกลออกไปจากกำแพงเมืองรู้สึกได้ถึงคลื่นเสียงที่สั่นสะเทือนจากเมืองมนุษย์

พวกมันจ้องมองไปยังทิศทางของนครเจาฮุยด้วยแววตาประหลาดใจ

นับตั้งแต่ที่บุกโจมตีนครเจาฮุย ชาวทะเลไม่เคยพบกับบรรยากาศครึกครื้นเช่นนี้มาก่อน

นี่คือครั้งแรกที่พวกมนุษย์ตื่นเต้นและดีใจขนาดนี้

เด็กหนุ่มผู้ขี่ม้าขาวกลับออกไปจากม่านพลังของพวกมันคือผู้ที่สามารถสร้างบรรยากาศแห่งความดีใจให้แก่หมู่มวลมนุษย์ได้ถึงขนาดนี้เชียวหรือ?

“องค์หญิงเพคะ เราจะปล่อยให้หลินเป่ยเฉินลอยนวลต่อไปอีกไม่ได้เด็ดขาด เขาได้รับความเคารพจากพวกมนุษย์มากเกินไป อีกไม่นานต้องกลายเป็นตัวปัญหาสำหรับพวกเราชาวทะเลแน่นอน”

นักบวชหรงยืนอยู่บนแท่นสังเกตการณ์ จ้องมองดวงอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้าห่างไกลออกไป ทุกสิ่งทุกอย่างถูกย้อมด้วยสีโลหิต หัวใจของนางกำลังร้อนรน หญิงชราจึงให้คำแนะนำออกไปโดยไม่รู้ตัว

รถเข็นของเหยียนอิงลอยตัวอยู่ในอากาศ เมื่อได้ยินคำพูดของนักบวชหรง เด็กสาวก็หันกลับมาก้มมองนักบวชชราด้วยแววตาทิ่มแทงราวคมกระบี่ ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงเนิบนาบว่า “ท่านอยากตายหรือไม่?”

นักบวชหรงชะงักกึก รีบตอบรับเร็วไว “ข้าน้อยสมควรตาย ข้าน้อยมิควรบังอาจให้คำแนะนำองค์หญิง ต่อจากนี้ไป ข้าน้อยจะขอทำตัวเป็นผู้ติดตามที่ซื่อสัตย์ คอยรับใช้องค์หญิงเงียบๆ ไปตลอดชีวิตเพคะ”

เดิมที หญิงชราไม่ได้มีความเชื่อมั่นในตัวเด็กสาวบนรถเข็นเลยสักนิด แต่ใครจะรู้เลยว่าเพียงชั่วข้ามคืนเท่านั้น เหยียนอิงผู้เป็นศิษย์เอกจากวิหารทมิฬกลับสามารถยึดครองมณฑลเฟิงอวี่ได้โดยไม่ต้องสูญเสียเลือดเนื้ออีกแม้แต่หยดเดียว

ด้วยเหตุนี้ สถานการณ์ทุกอย่างจึงเปลี่ยนไป ไม่ว่าจะเป็นศาลสมุทรหรือวิหารใต้สมุทรต่างก็ต้องสนับสนุนองค์หญิงเหยียนอิงอย่างแน่นอน การไต่สวนคดีเพื่อปลดนางออกจากตำแหน่งผู้บัญชาการรบถูกล้มเลิก และบัดนี้ เหยียนอิงก็มีอำนาจสามารถสั่งงานกองทัพชาวทะเลบนแผ่นดินใหญ่ได้อย่างเด็ดขาดแต่เพียงผู้เดียว

นักบวชหรงย่อมรู้ดีว่าหากนางไม่รีบเลือกข้างอยู่ฝ่ายเดียวกับองค์หญิงเหยียนอิงในตอนนี้ นางก็จะไม่มีโอกาสที่สองอีกแล้ว

แววตาของเด็กสาวทอประกายวูบวาบเล็กน้อย ก่อนที่นางจะหันหน้ากลับไป และไม่เหลียวมองมาที่นักบวชชราอีกเลย

นักบวชหรงตัวสั่นเทา

นางไม่เข้าใจเลยว่าแววตาขององค์หญิงเหยียนอิงเมื่อสักครู่นี้หมายความว่าอย่างไรกันแน่?

นับว่าในช่วงเวลาเพียงข้ามคืน เหตุการณ์ทุกอย่างกลับพลิกกลับตาลปัตรไปแล้วจริงๆ

“เราขี่ม้าขาวกลับเข้าเมืองอย่างสง่างาม… เราสามารถปกป้องนครเจาฮุยเอาไว้ได้สำเร็จ เรานี่มันอัจฉริยะจริงๆ ทำถึงขนาดนี้แล้ว ผู้คนจะไม่กราบไหว้บูชาก็ให้มันรู้ไปสิ…”

หลินเป่ยเฉินคิดอย่างมีความสุข

วิกฤตการณ์ผ่านพ้นไปแล้ว

หลินเป่ยเฉินนึกชื่นชมในความฉลาดของตัวเอง

วิกฤตการณ์ที่หลายคนตื่นตระหนก เขากลับสามารถจัดการได้ราวกับเป็นเพียงสายลมวูบหนึ่ง

ส่วนเจิ้งหลงเซียงผู้ที่ติดตามมาทางด้านหลัง ขณะนี้ต้องเดินกะเผลก ใบหน้าบวมช้ำ สภาพสะบักสะบอม

เพราะนับตั้งแต่ที่เข้าไปอยู่ในค่ายทหารของชาวทะเล ชายหนุ่มก็ถูกปลดอาวุธออกทั้งหมด เขาไม่ได้เข้าไปเจรจาในกระโจมด้วย เพราะถูกนักรบชาวทะเลที่มีหน้ากากแปดรูลากตัวมาทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส หลังจากนั้น จอมเวทย์มนุษย์เงือกของชาวทะเลก็มาร่ายมนตร์ช่วยรักษาอาการบาดเจ็บให้เขา เมื่อเจิ้งหลงเซียงฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ เขาก็จะถูกมนุษย์หน้ากากแปดรูลากตัวกลับไปทุบตีต่ออีกครั้ง…

เจิ้งหลงเซียงไม่รู้เลยว่าตนเองถูกทำร้ายและถูกรักษาวนเวียนเช่นนี้อยู่นานเท่าไหร่

รู้ตัวอีกที การเจรจาก็จบลงแล้ว

สรุปว่าหลินเป่ยเฉินเจรจาไปอย่างไรบ้าง?

นั่นคือสิ่งที่เจิ้งหลงเซียงผู้มีสถานะเป็นหนึ่งใน ‘สมาชิกผู้ร่วมการเจรจา’ ไม่ทราบรายละเอียดแม้แต่น้อย

แล้วเขาจะกลับไปพูดคุยกับคนอื่นๆ ได้อย่างไร?

เจิ้งหลงเซียงไม่มีข้อมูลที่เป็นประโยชน์ติดตัวเลยสักอย่างเดียว

เพียงพริบตา พวกเขาก็กลับมาถึงกำแพงเมือง

ประตูเมืองฝั่งตะวันตกเปิดออกกว้าง

เสียงโห่ร้องดังออกมาดั่งเกลียวคลื่น

หลินเป่ยเฉินถูกผู้คนวิ่งเข้ามาห้อมล้อมและจับโยนขึ้นไปในอากาศ

“ท่านวีรบุรุษ”

“ผู้พิทักษ์แห่งนครเจาฮุย”

“ท่านเทพเจ้าหลินเป่ยเฉิน”

เสียงร้องตะโกนด้วยความดีใจดังกังวานทั่วหน้าประตูเมือง

“ข้าไม่ได้เป็นวีรบุรุษเพียงคนเดียวหรอก” หลินเป่ยเฉินพูดออกมาเสียงดัง “ท่านองครักษ์เจิ้งก็อยู่ที่นั่นด้วยเช่นกัน เขาเองก็เป็นวีรบุรุษไม่ต่างไปจากข้า ทุกคนได้โปรดอย่าลืมเลือนเขา…”

นั่นเอง กลุ่มคนถึงได้หันมาสนใจเจิ้งหลงเซียงอีกครั้ง

ชายหนุ่มถึงกับหยุดชะงัก

นี่เขาพลอยได้ความดีความชอบไปด้วยหรือ?

“ท่านองครักษ์เจิ้งต้องต่อสู้อย่างหนักกว่าจะได้ลงนามในสัญญา ทุกคนก็เห็นสภาพของเขาแล้วไม่ใช่หรือ? ใบหน้าบวมช้ำ กระดูกขาน่าจะแตกหัก…” หลินเป่ยเฉินยังคงส่งเสียงตะโกนต่อไป

กลุ่มคนจำนวนมากวิ่งเข้ามาห้อมล้อมเจิ้งหลงเซียงและโยนเขาขึ้นไปในอากาศด้วยเช่นกัน

“ท่านวีรบุรุษเจิ้ง…”

กองทัพนายทหารตะโกนเรียกชื่อเจิ้งหลงเซียงด้วยความสมัครสมานสามัคคี

“เอ่อ…” เจิ้งหลงเซียงพูดออกไปโดยไม่รู้ตัวว่า “ข้าเพียงทำสิ่งที่สมควรทำเท่านั้น”

หลินเป่ยเฉินยกมือป้องปากตะโกนว่า “ความดีความชอบครั้งนี้ ต้องยกให้องครักษ์เจิ้งทั้งหมด ส่วนข้าเป็นเพียงผู้ช่วยเหลือเล็กน้อยเท่านั้น…”

“องครักษ์เจิ้งคือวีรบุรุษของพวกเรา”

“คุณชายหลินถ่อมตัวเกินไปแล้ว”

ฝูงชนส่งเสียงโห่ร้องด้วยความยินดี

“รายละเอียดในสัญญาทุกอย่าง เป็นองครักษ์เจิ้งจัดการเพียงผู้เดียว” หลินเป่ยเฉินกล่าวต่อไป “ความดีความชอบทุกอย่างล้วนเป็นขององครักษ์เจิ้ง พวกเราไม่ต้องกังวลเรื่องสงครามอีกต่อไป จะไม่มีการบุกโจมตีกำแพงเมืองอีกแล้ว องครักษ์เจิ้งคือผู้ที่นำความสงบสุขกลับคืนสู่พวกเราอย่างแท้จริง…”

เจิ้งหลงเซียงรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล

เขาไม่ได้เข้าไปร่วมเจรจาด้วยสักหน่อย

แล้วทำไมหลินเป่ยเฉินถึงยกความดีความชอบให้เขาทั้งหมดล่ะ?

ไม่ทราบว่าเจ้าลูกเต่าน้อยไปคุยอะไรกับพวกชาวทะเลกันแน่ ถึงไม่กล้ารับความดีความชอบเอาไว้เองเช่นนี้?

“ไม่ใช่นะ…” เจิ้งหลงเซียงเห็นท่าไม่ดี จึงพยายามปฏิเสธไม่ขอรับความดีความชอบอีกต่อไป

แต่เสียงพูดของเขายังไม่ทันผ่านพ้นออกจากปาก ในกลุ่มคนที่กำลังโยนตัวเขาสูงขึ้นกลางอากาศ กลับมีบุคคลผู้หนึ่งสะกัดจุดบริเวณต้นคอ ทำให้เจิ้งหลงเซียงไม่สามารถเปล่งเสียงพูดออกมาได้ชั่วคราว

และในเวลาเดียวกันนี้ ก็มีใครบางคนปลอมแปลงเป็นเสียงของเขาตะโกนออกไปว่า

“ใช่แล้ว ทั้งหมดเป็นฝีมือของข้าเอง ก็ข้าเป็นตัวแทนจากนครหลวงไม่ใช่หรือ? ทุกท่านไม่ต้องเป็นกังวล เจิ้งหลงเซียงคนนี้ได้ลงนามในสัญญาสงบศึกแทนทุกท่านเรียบร้อยแล้ว แม้จะต้องถูกพวกชาวทะเลทำร้ายร่างกายแทบปางตายก็ตาม…”

“ข้าตรวจสอบรายละเอียดทุกอย่างในสัญญาสงบศึกเรียบร้อย รับรองว่าไม่มีปัญหาตามมาเด็ดขาด”

“ทุกคนปลอดภัยแล้ว”

“ข้าขอรับปากว่าจะพาคณะผู้ติดตามของข้า กลับออกไปจากมณฑลเฟิงอวี่อย่างปลอดภัย”

บุคคลที่ปลอมแปลงเสียงของเจิ้งหลงเซียงสามารถเลียนแบบได้เหมือนมาก

เกิดเสียงโห่ร้องดังขึ้นทั้งด้านในและด้านนอกประตูเมือง

เจิ้งหลงเซียงขนลุกขนชันไปทั่วร่างกาย

เขารู้สึกได้ว่าตนเองตกลงสู่หลุมพรางในกลอุบายแสนแยบยลของใครบางคน

แต่ชายหนุ่มก็ไม่มีเวลาได้ปฏิเสธ เพราะลมหายใจต่อมา ไม่รู้ว่าเป็นตัวชั่วร้ายผู้ใดที่กระแทกหมัดใส่ขมับของเขา และทำให้สติของเจิ้งหลงเซียงดับวูบลงไปทันที