บทที่ 843 พวกเราควรดีใจไม่ใช่หรือ

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 843 พวกเราควรดีใจไม่ใช่หรือ?

บรรยากาศภายในนครเจาฮุยเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว

ทุกคนตกอยู่ในความตื่นเต้น

แต่เมื่อรายละเอียดเกี่ยวกับสัญญาการสงบศึกถูกเปิดเผยออกมา ทุกคนก็ถึงกับตกตะลึง

เพราะมันเป็นสัญญายอมยกมณฑลเฟิงอวี่ให้แก่ชาวทะเลเพื่อแลกกับการไม่ถูกโจมตี และพวกเขามีเวลาเพียงสิบวันเท่านั้นในการอพยพมนุษย์ออกไปให้หมดจากมณฑลแห่งนี้

มิฉะนั้น ไม่ว่าใครก็ตามที่อยู่เกินเวลาสิบวัน ถ้าไม่กลายเป็นทาสรับใช้ของพวกชาวทะเล ก็จะต้องกลายเป็นอาหารของพวกมันทั้งหมด

ความตื่นเต้นเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัว

ความหวาดกลัวเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น

ไฟแห่งความโกรธแค้นลุกโชติช่วงชัชวาล

“เจ้าสุนัขเจิ้งหลงเซียงมันไม่ใช่มนุษย์”

“ใช่แล้ว เขาคิดอะไรอยู่ถึงได้ยอมศิโรราบต่อพวกชาวทะเลและยกมณฑลเฟิงอวี่ให้กับพวกมันเช่นนี้ คิดไม่ถึงเลยว่าเจิ้งหลงเซียงจะเป็นผู้ทรยศ องครักษ์ผู้นี้ก็เป็นเพียงเศษสวะคนหนึ่งเท่านั้นเอง…”

“จะให้พวกเราอพยพออกจากมณฑลเฟิงอวี่อย่างนั้นหรือ ให้ข้าตายที่นี่เสียยังดีกว่า…”

“ตระกูลของข้าอยู่ที่นี่มา 18 ชั่วอายุคนแล้ว กระดูกของพวกท่านถูกฝังอยู่ในสุสานประจำเมืองนี้! แล้วจะให้ข้าละทิ้งบรรพบุรุษอพยพหนีไปได้อย่างไร?”

“แต่ถ้าเจ้าไม่อพยพ เจ้าก็ต้องตายนะ”

“งั้นก่อนตาย พวกเราไปไล่ล่าสังหารเจิ้งหลงเซียงกันก่อนดีหรือไม่ ข้าเตรียมกระบี่ไว้พร้อมแล้ว”

“พวกเราไปด้วยกัน”

“ช้าก่อน ข้าว่าหลินเป่ยเฉินน่าจะเป็นคนที่รับผิดชอบการเจรจามากกว่านะ…”

“เจ้าอยากตายหรืออย่างไร คิดว่าคุณชายหลินจะทรยศประเทศชาติได้ลงคอเชียวหรือ? เจ้ามีสมองหรือไม่”

“ถูกต้อง คุณชายหลินก็แค่ยอดฝีมือที่มีพลังระดับเซียนคนหนึ่งเท่านั้น เขาไม่ได้เป็นขุนนางจากวังหลวงสักหน่อย เจิ้งหลงเซียงนั่นแหละที่เดินทางมาทำภารกิจนี้ตั้งแต่แรก เขาคือผู้ร้ายตัวจริง เจ้าตาบอดหรืออย่างไร?”

“ใช่แล้ว คุณชายหลินต้องเสียสละมากมายเท่าไหร่เพื่อช่วยปกป้องเมืองของเราตลอดมา เจ้าไม่เคยฟังเรื่องเล่าของอาจารย์เถียนเถียนในสถานศึกษาหรือ? ครั้งที่แล้ว หากไม่ได้เป็นเพราะคุณชายหลินออกไปแสดงฝีมือปั่นป่วนค่ายทหารของพวกชาวทะเล เกรงว่ากองทัพของพวกมันคงทลายกำแพงเมืองของเราและยึดครองนครเจาฮุยได้สำเร็จไปนานแล้ว”

“ไม่ผิด แล้วไหนจะโอสถเป่ยเฉิน เครื่องทำความร้อนเป่ยเฉิน ผงแป้งเป่ยเฉิน ผงทองคำเป่ยเฉิน และยามหัศจรรย์อีกหลายชนิดที่คุณชายหลินเป็นผู้คิดค้นขึ้นมาอีกล่ะ โดยเฉพาะโอสถเป่ยเฉิน ข้าไม่รู้เลยว่ามีผู้คนมากมายเท่าไหร่ที่รอดตายได้เพราะยาลูกกลอนชนิดนี้…”

“ถูกต้อง ถูกต้อง ยังไม่ต้องกล่าวถึงตลาดค้าอาหารทะเลเป่ยเฉิน ถ้าไม่ได้เป็นเพราะคุณชายหลิน เจ้าคิดหรือว่าตนเองจะได้มีวาสนารับประทานอาหารทะเลราคาถูกเช่นนี้? คุณชายหลินจับชาวทะเลมาเป็นอาหารให้พวกเรา แล้วเขาจะไปเป็นพวกเดียวกับพวกมันได้อย่างไร?”

“เจ้าหมอนี่พูดจาสามหาว กล่าวหาให้คุณชายหลินมีมลทิน พวกเราจัดการมันเลยดีกว่า”

“หรือว่าเจิ้งหลงเซียงจะเป็นผู้ว่าจ้างบุคคลผู้นี้ให้มาใส่ร้ายคุณชายหลินกันนะ”

และด้วยความโกรธแค้นของฝูงชน บุรุษหนุ่มผู้ตั้งข้อสงสัยในตัวของหลินเป่ยเฉินจึงถูกรุมสหบาทาจนมีสภาพยับเยินไปทั้งตัว

หลังจากนั้น ปรากฏชาวเมืองจำนวนมากไปปิดล้อมที่พักของคณะตัวแทนจากนครหลวง

พวกเขาพากันตะโกนด้วยความโกรธแค้น และเรียกร้องให้เจิ้งหลงเซียงออกมาขอโทษประชาชน

เฉียนเฟยเซวียผู้มีตำแหน่งเป็นหัวหน้าคณะตัวแทนจากวังหลวงพยายามผ่อนคลายสถานการณ์ให้บรรยากาศเบาบางลง แต่เพียงผู้ตรวจการหนุ่มปรากฏตัวออกมาเท่านั้น ความโกลาหลก็เกิดขึ้น

ไม่ว่าจะเป็นก้อนอิฐ พืชผักทุกชนิด ไข่ไก่ที่เน่าเหม็น และสิ่งของอีกมากมายต่างก็ถูกขว้างปาเข้าไปหาเฉียนเฟยเซวียที่หน้าประตูจวนรับรองอย่างแม่นยำ

นี่คือเหตุการณ์ที่พวกเขาไม่เคยคาดคิดว่าจะเกิดขึ้น…

ไม่กี่ลมหายใจต่อมา พวกของโหลวซานกวนก็ตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกัน ทุกคนต้องยกมือปิดบังใบหน้าและป้องกันศีรษะเป็นพัลวัน

“เรื่องราวเป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร?”

โหลวซานกวนพูดออกมาด้วยความไม่อยากเชื่อ “หลินเป่ยเฉินเป็นผู้รับผิดชอบในการเจรจาสงบศึกไม่ใช่หรือ แล้วทำไมชาวเมืองถึงมาโกรธแค้นได้เจิ้งหลงเซียงเล่า? คนพวกนี้เสียสติไปแล้ว หรือจะเป็นเพราะว่าพวกเขาเคารพเทิดทูนหลินเป่ยเฉินมากเกินไป?”

เฉียนเฟยเซวียตอบทันทีว่า “มีบางอย่างไม่ชอบมาพากล ส่งคนออกไปสืบสวนเรื่องนี้เถอะ”

“จัดการตามนั้น”

หนึ่งชั่วยามต่อมา

ผลการสืบสวนก็ปรากฏ

ในห้องพักของคณะผู้แทนจากวังหลวง

หลังจากรับชมเหตุการณ์ที่ถูกบันทึกไว้ในศิลาบันทึกภาพจบลง ทั้งเฉียนเฟยเซวียและโหลวซานกวนต่างก็พูดอะไรไม่ออกเมื่อเห็นกับตาว่าเจิ้งหลงเซียงเป็นคนที่พูดออกมาจากปากเองว่า เขาคือผู้รับผิดชอบในการลงนามสัญญาสงบศึกครั้งนี้

ไม่ได้เป็นเพราะชาวเมืองเข้าใจผิดไปเอง

แต่เห็นได้ชัดว่า

เจิ้งหลงเซียงถูกสวมรอย

ศิลาบันทึกภาพนี้ถูกแจกจ่ายไปทั่วนครเจาฮุย

ต้องมีใครสักคนชักใยอยู่เบื้องหลังเป็นแน่แท้

แต่เป็นใครกันล่ะ?

คงไม่ยากที่จะตอบคำถามนี้กระมัง?

“นี่ต้องเป็นฝีมือของหลินเป่ยเฉินแน่นอน” โหลวซานกวนถอนหายใจออกมาด้วยความรู้สึกอันหลากหลาย “ข้าประเมินเขาต่ำมากเกินไป คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะเจ้าเล่ห์ขนาดนี้”

“นั่นสินะ นี่คือแผนการที่ถูกวางไว้อย่างดี รอบตัวเขาเต็มไปด้วยยอดฝีมือ ต้องไม่ลืมว่าเจิ้งหลงเซียงมีระดับพลังไม่ต่ำต้อย แต่กลับถูกสกัดจุดจนไม่สามารถพูดออกมาได้ และเสียงที่เลียนแบบเสียงพูดของเขาก็เหมือนตัวจริงเสียเหลือเกิน หากพวกเราไม่รู้มาก่อนว่าเจิ้งหลงเซียงไม่มีทางทำเช่นนี้เด็ดขาด เจ้ากับข้าก็คงต้องหลงเชื่อเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน”

เฉียนเฟยเซวียยกมือขึ้นจับคางพลางพูดอย่างใช้ความคิด

“แล้วใครกันนะที่บอกว่าหลินเป่ยเฉินมีดีเพียงหน้าตา หาได้มีมันสมองไม่? เด็กหนุ่มคนนี้ชักทำให้ข้ากลัวขึ้นมาแล้วสิ ยิ่งเขามีพลังระดับเซียน เขาก็สามารถทำได้ทุกอย่างทั้งนั้น…”

ดวงตาของราชองครักษ์โหลวซานกวนปรากฏความหวาดกลัวชัดเจน

เพราะด้วยความสามารถของพวกเขา ย่อมไม่สามารถรับมือกับผู้มีพลังระดับเซียนเด็ดขาด

เฉียนเฟยเซวียพยักหน้าอย่างเห็นด้วย

ยิ่งเขาได้ล่วงรู้ความจริงมากเท่าไหร่ ยิ่งเขาได้เห็นด้วยตาของตนเองมากเท่าไหร่ ผู้ตรวจการหนุ่มก็ยิ่งเข้าใจในตัวตนของหลินเป่ยเฉินน้อยลงมากเท่านั้น

เฉียนเฟยเซวียไม่รู้เลยว่าเด็กหนุ่มคิดจะทำอะไรต่อไป

“พวกเราจะทำอย่างไรกันดี?” โหลวซานกวนถามออกมา “เจิ้งหลงเซียงยังคงสลบไสลไม่ได้สติ ไม่มีทางลุกขึ้นมาอธิบายได้แน่ๆ ในระหว่างที่เขายังไม่ฟื้นขึ้นมา เจิ้งหลงเซียงคงต้องกลายเป็นคนบาปในสายตาทุกคนแล้ว”

เฉียนเฟยเซวียตอบว่า “แล้วข้าจะทำอย่างไรได้? ฮ่าฮ่าฮ่า ซานกวน พวกเราควรดีใจไม่ใช่หรือ? อย่างน้อย… เจ้าก็ไม่ต้องไปนอนสลบอยู่บนเตียงเฉกเช่นเจิ้งหลงเซียงผู้นั้น”