ตอนที่ 627 ตำหนักจื่อเวยกง

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ตู๋กูซิงหลันย่อมสังเกตเห็นความผิดปกติในจุดนี้

 

 

หากพูดถึงพลังอำนาจ เกรงว่าซือเป่ยคงจะอยู่ใต้คนเพียงผู้เดียวแต่อยู่เหนือผู้คนนับหมื่น

 

 

เพราะว่าแม้แต่คนอย่างเยี่ยเฉินเขาก็ยังสามารถนำขึ้นมาเป็นลูกน้องของตนเองบนสวรรค์ได้เลย

 

 

นับตั้งแต่ที่นางขึ้นมาบนสวรรค์ นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินใครสักคนเรียกชื่อ ‘ซือเป่ย’ ของเขาตรงๆ

 

 

ท่านเทพเทียนสี่ซิงจุนผู้นี้ เกรงว่าจะไม่ใช่ธรรมดาเสียแล้ว

 

 

ค่อนไปทางผู้สูงส่งที่ชอบความสันโดษและมีนิสัยแปลกประหลาดเสียมากกว่า

 

 

แม้แต่ตำแหน่งของตน ก็ไม่คิดจะเก็บมาใส่ใจ

 

 

ในโลกปัจจุบัน ไต้ซือกวาดพื้น ที่มาจากปลายปากกาของกิมย้งนับเป็นบุคคลตัวอย่างที่ชัดเจน

 

 

นางก้มศีรษะลงไปมองดูประกายสดใสในสายธารดวงดาว

 

 

“ไม่ขอปิดบังท่านเทพ ผู้น้อยมีนามว่าเยี่ยเฉิน” ตู๋กูซิงหลันไม่จำเป็นต้องอธิบายฐานะของเยี่ยเฉินให้มากความ

 

 

ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่ตำหนักหลิงเซียนเป่าเตี้ยน นางก็เคยถูกพวกเทพทั้งหลายกลุ้มรุมดูถูกมายกหนึ่งแล้ว เพราะแค่ประกาศชื่อว่าตนคือเยี่ยเฉินลูกน้องในสังกัดของเทพสงครามออกไป คนรอบด้านต่างก็รู้ฐานะและที่มาที่ไปของนางกันหมดแล้ว

 

 

ที่ตู๋กูซิงหลันเปิดเผยตนเอง ก็เพราะอยากให้เทพเทียนสี่ซิงจุนเห็นนางเป็นที่ขัดหูขัดตา จะได้ไล่ตนจากไป ทำให้นางลดทอนความยุ่งยาก

 

 

แต่คิดไม่ถึงว่าพอเขาได้ยินชื่อนี้แล้ว กลับมีปฏิกริยาไม่เหมือนกับเทพเซียนองค์อื่นๆ

 

 

“ที่แท้ก็เป็นผู้ที่มาจากเผ่ามังกรทมิฬผู้นั้น มิน่าเล่าถึงได้รู้สึกว่า กลิ่นไอบนร่างของเจ้ามีอะไรแปลกๆอยู่”

 

 

คำพูดนี้ของเทียนสี่ซิงจุน ทำเอาตู๋กูซิงหลันรู้สึกตื่นตัวขึ้นมา

 

 

ในโลกเบื้องล่าง ก็มีเรื่องของภูติผีสิงร่างอยู่แล้ว

 

 

ตอนนี้การที่นางยึดครองร่างของเยี่ยเฉินเอาไว้ก็ไม่ต่างอะไรกับการสิงร่าง

 

 

โดยปกติร่างที่ถูกสิง ปรมาจารย์คุณไสยทั่วไปย่อมสามารถมองออก เพียงแต่วิธีการที่นางใช้สิงร่างของเยี่ยเฉิน คือวิชาถอดวิญญาณของตนเอง และเข้าควบคุมดวงจิตของเยี่ยเฉิน ซึ่งแตกต่างกับวิธีการชั้นต่ำอย่างการสิงร่าง

 

 

ขนาดตอนที่อยู่เบื้องหน้าซือเป่ย ก็ยังมิได้เปิดเผยพิรุธใดๆออกมา

 

 

เห็นได้ชัดว่าผลลัพธ์ของวิธีนี้ปลอดภัยอย่างยิ่ง

 

 

แต่ว่าในแดนสวรรค์ก็อาจจะมีผู้ที่แข็งแกร่งถึงขนาดที่นางเองคิดไม่ถึงอยู่ ดังนั้นจึงไม่แน่ว่าอาจจะถูกมองออกได้อยู่เหมือนกัน

 

 

ดังนั้นคำพูดของเทียนสี่ซิงจุนจึงทำให้ตู๋กูซิงหลันชักจะกังวลใจขึ้นมาแล้ว

 

 

แต่ก็แค่กังวลใจเท่านั้น ยังไม่ถึงกับตื่นตระหนกใดๆ

 

 

นางทำท่า ‘หวาดเกรง’ ออกมา แม้แต่คำพูดก็ติดอ่างไปหมด “ท่านเทพ….ข้า ข้า ข้าเป็นเพียงแค่สายน้ำต่ำต้อยจากโลกเบื้องล่างเท่านั้น เพราะเทพสงครามมีเมตตา จึงได้ขึ้นมาบนแดนสวรรค์….ขอท่านเทพ…ได้โปรด….ได้โปรดปล่อยผู้น้อยไป”

 

 

กริยาการแสดงออกของนางมีทั้งซาบซึ้งต่อซือเป่ย และหวาดเกรงเทียนสี่ซิงจุน ทั้งยังอาลัยอาวรณ์และวาดหวังถึงอนาคตในแดนสวรรค์อีกด้วย

 

 

ไม่เสียทีที่เป็นถึงราชินีจอเงินมาก่อน ตู๋กูซิงหลันรู้สึกนับถือการแสดงที่สมบทบาทอย่างยิ่งของตนจริงๆ

 

 

ยอดเยี่ยม คราวหลังหากว่ามีโอกาสจะต้องไปคว้ารางวัลลูกโลกทองคำมาอีกหลายๆอัน

 

 

เทียนสี่ซิงจุนจดจ้องมองดูนางอยู่เนิ่นนาน เขาพยายามจะดูให้ออก ทั้งๆที่รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างมิใคร่ถูกต้อง แต่สุดท้ายแล้วก็ยังดูอะไรไม่ออกอยู่ดี

 

 

ผ่านไปอีกเนิ่นนานเขาถึงได้เอ่ยว่า “ ทุกชีวิตต่างก็เท่าเทียมกัน ไหนเลยมีสูงมีต่ำ เจ้าไม่จำเป็นจะต้องถ่อมตัวมากไป”

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “? ? ?”

 

 

ว่าตามจริงแล้ว คำพูดเช่นนี้พอออกมาจากปากของเทพบนสวรรค์ ตู๋กูซิงหลันก็รู้สึกว่าเหมือนได้ยินเรื่องเวทย์มนต์ที่ทั้งลึกลับและหลอกหลอนจากนิยายอย่างอาหรับราตรี

 

 

‘ทุกชีวิตต่างมีความเท่าเทียม?’ เทพบนสวรรค์องค์ใดบ้างที่ไม่ดำรงตนอย่างสูงส่ง หรือใช้ชีวิตอยู่เหนือผู้คนทั้งหลาย

 

 

“บรรดาเทพในแดนสวรรค์ เดิมทีก็เคยเป็นมนุษย์เดินดินกันมาก่อน แต่พอผ่านการบำเพ็ญเพียร เข้าสู่ห้วงชีวตที่เพริดแพร้ว จึงลืมเลือนกำพืดของตนไป”

 

 

เทียนสี่ซิงจุนไพล่มือเอาไว้ที่ด้านหลังข้างหนึ่ง เขาหันร่างไปมองดูประกายแสงในสายธารดวงดาว

 

 

ในสายธารดวงดาวมีระรอกคลื่นเบาๆ สะท้อนเงาของใบหน้าดวงหนึ่งที่ทั้งแปลกและน่าคุ้นเคย

 

 

กี่ปีมาแล้วที่เขาไม่เคยมองดูตัวเอง ดูเหมือนว่านานจนจำไม่ได้แล้วสินะ

 

 

ใบหน้าที่มีแต่หนวดเคราครึ้ม ปิดบังรูปโฉมไปเกือบหมด บางที เขาอาจจะลืมไปแล้วกระมังว่าตนเองมีหน้าตาเช่นไร

 

 

ตอนแรกแค่ได้ยินเรื่องทุกชีวิตมีความเท่าเทียม ตู๋กูซิงหลันก็ต้องตกตะลึงไปแล้ว

 

 

ตอนนี้อยู่ๆก็ได้ยินเขาพูดเช่นนี้ออกมา ก็ต้องรีบเก็บอารมณ์และสีหน้าให้ดี มิฉะนั้นเกรงว่าจะเผลอทำลูกตาตนเองหลุดลงมาด้วย

 

 

นางได้ยินอะไรไป?

 

 

เทียนสี่ซิงจุนมิได้คิดจะสนทนากับนางอีกต่อไป เพียงมองดูเงาในสายธารดวงดาว และเอ่ยอย่างราบเรียบว่า “เจ้านกยักษ์นั่นชื่นชอบผลไม้ทิพย์ในตำหนักจื่อเวยกง ไปเด็ดมาจากตำหนักจื่อเวยกงสักหลายลูกก็ใช้ได้แล้ว”

 

 

ไม่เพียงแต่เอ่ยว่าทุกชีวิตมีความเท่าเทียม แต่ยังชี้หนทางเก็บอาหารให้กับนาง

 

 

ดูๆแล้ว เทียนสี่ซิงจุนผู้นี้น่าจะเป็นคนดีพอสมควร

 

 

“ขอบพระคุณท่านเทพที่ชี้แนะ” แม้ว่าในใจมิได้เชื่อถือ แต่ว่าตู๋กูซิงหลันก็ยังเอ่ยขอบคุณเขาไป

 

 

จากนั้นนางก็ยังยืนอยู่ที่ริมสายธารดวงดาวต่อไป โดยไม่มีทีท่าว่าจะจากไป

 

 

“ยังไม่ไปอีก?”

 

 

“นกยักษ์ตัวนั้นไม่อาจทนหิวได้อย่างเด็ดขาด หากว่าไปช้า จะอันตราย”

 

 

คำพูดนี้ของเทียนสี่ซิงจุนตรงกับที่สองนักรบเทพเคยบอกไว้

 

 

สองคนนั้นคิดจะขุดหลุมพรางใส่ตู๋กูซิงหลัน รอให้นางกระโดดลงไป

 

 

หากว่านางจับปลามังกรขึ้นมา ก็ต้องถูกเทียนโฮ่วเล่นงาน

 

 

หากว่านางไม่จับปลามังกรไป นกยักษ์ก็ต้องหิวโหยจนอาละวาด

 

 

ประด็นสำคัญก็คือปลามังกรนั่นดูแล้วล้ำค่ามาก นางยืนอยู่ริมฝังน้ำตั้งนานสองนาน ก็ยังมองเห็นปลาเพียงไม่กี่ตัว หากต้องจับให้ครบร้อย เกรงว่าคงจะต้องใช้เวลานานหลายวันติดต่อกัน

 

 

แน่นอนว่า ทั้งสองคนนั้นคิดจะเล่นงานนางให้ถึงตาย

 

 

ส่วนเทียนสี่ซิงจุน ดูคล้ายจะเป็นผู้มีบุญคุณที่มอบทางรอดแก่นาง

 

 

ตู๋กูซิงหลันยืนอยู่ที่ริมน้ำ เอ่ยออกมาด้วยความเก้อเขิน “ท่านเทพ ผู้น้อยพึ่งมาใหม่ จึงไม่รู้เลยว่าตำหนักจื่อเวยกงตั้งอยู่ที่ใด…”

 

 

นางเหาะเหินจากฟากตะวันออกมายังตะวันตกตลอดทาง ได้เห็นตำหนักใหญ่น้อยมานับร้อย แต่ยังไม่เคยเห็นตำหนักใดเรียกว่าจื่อเวยกงมาก่อนเลย

 

 

ในโลกปัจจุบัน อักษรจื่อเวยสองคำนี้ เป็นสัญลักษณ์ที่สื่อถึงองค์จักรพรรดิ

 

 

หากว่านางเดาไม่ผิดละก็ เจ้าของตำหนักจื่อเวยหลังนั้นเกรงว่าคงจะเป็นคนสำคัญอย่างยิ่ง

 

 

เห็นนางทำสีหน้าไม่รู้เรื่องรู้ราวใดๆ เทียนสี่ซิงจุนก็ต้องมองอย่างสงสารอยู่บ้าง

 

 

ทวยเทพบนสวรรค์ต่างก็เป็นผู้ผ่านการฝึกฝนบำเพ็ญเพียรอย่างยากลำบากรับห้าสายฟ้าทัณฑ์สวรรค์มาแล้วด้วยกันทั้งนั้น หรือไม่ก็เป็นชาวสวรรค์โดยกำเนิด มีศักดิ์ฐานะสูงส่งเกินใครเทียบ

 

 

คนที่มาจากโลกเบื้องล่างโดยตรงเช่นนี้ แทบจะมีเป็นคนแรก

 

 

เขามิได้สงสารเยี่ยเฉิน เพียงแต่สงสารเจ้าจิ้งจอกที่เคยอยู่ในโลกเบื้องล่างตัวนั้น

 

 

หากว่าสักวันหนึ่ง นางไปปรากฏตัวขึ้นในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย เขาก็หวังว่าผู้คนที่นางได้พบเจอจะเป็นมิตรสักหน่อยและมีน้ำใจอยู่บ้าง

 

 

คิดได้ดังนั้นแล้ว เทียนสี่ซิงจุนก็เกิดมีเมตตา เอ่ยว่า “เจ้าจงติดตามข้ามาก็แล้วกัน”

 

 

ว่าแล้ว เขาก็สะกิดปลายเท้าเล็กน้อย เหาะออกไปจากสายธารดวงดาว

 

 

ตู๋กูซิงหลันรีบติดตามไปในทันที

 

 

ไม่ใช่เพราะว่านางเชื่อถือเขา เพียงแต่ว่านางไม่รู้สึกถึงการปองร้ายและเกลียดชังจากร่างของเขา

 

 

ยิ่งไปกว่านั้น นางเองก็มิได้หวาดกลัวที่จะติดตามเขาไป

 

 

ทิศทางที่เทียนสี่ซิงจุนนำพานางไป ไม่ใช่ทั้งเส้นทางตะวันตกหรือตะวันออก

 

 

ต้องเรียกว่าออกห่างจากเส้นทางเดิมที่นางเคยใช้

 

 

ทั้งสองผ่านชั้นของก้อนเมฆและตำหนักต่างๆมาได้ครู่หนึ่งจึงค่อยมองเห็นตำหนักที่เป็นสีม่วงหลังหนึ่งแต่ไกล

 

 

ตัวตำหนักสูงสามชั้น แม้ไม่นับว่าอลังการ แต่ก็มีพื้นที่กว้างขวาง

 

 

เมื่อมองจากที่ไกลๆ ก็จะมองเห็นรัศมีสีม่วงเปล่งประกายครอบคลุมตำหนักหลังนั้นทั้งหมดเอาไว้ ทำให้คนรู้สึกได้ถึงความสุขสงบและความผ่อนคลาย

 

 

…………………..