ตอนที่ 628 กวางโรซื่อบื้อ

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ที่ด้านหลังของตำหนักจื่อเว่ยกง มีดวงดาวที่มีสีม่วงเข้มอยู่ดวงหนึ่ง เมื่อมีรัศมีสีม่วงเข้มปกคลุมโดยรอบ ตำหนักจื่อเวยกงจึงดูแล้วงดงามปราณีตกว่าคำเล่าลืออีกหลายส่วน

 

 

เทียนสี่ซิงจุนพานางตรงไปยังตำหนักหลังนั้น

 

 

ที่ด้านนอกของตำหนักยังมีศิษย์รับใช้เฝ้าอยู่สองคน

 

 

ศิษย์รับใช้ทั้งสองสวมใส่ชุดสีขาว แต่เพราะรอบนอกตำหนักจื่อเวยกงเต็มไปนด้วยรัศมีสีม่วง ชุดของพวกเขาจึงกลายเป็นสีม่วงจางๆ

 

 

“ข้ารู้สักอยากกินอะไรขึ้นมา จึงนึกถึงผลไม้ทิพย์ของตำหนักจื่อเวยกง อยากจะกินสักหลายๆลูก”

 

 

เทียนสี่ซิงจุนมิได้อ้อมค้อม มือข้างหนึ่งยังคงไพล่หลังเอาไว้ ยามพูดจากับศิษย์รับใช้ทั้งสองก็ไม่มีทีท่าขอร้องเลยสักนิดเดียว

 

 

กลับเป็นศิษย์ทั้งสองเมื่อได้เห็นเขา ก็พากันยกมือขึ้นคำนับค้อมเอวลงมาอย่างนอบน้อม

 

 

ตู๋กูซิงหลันยืนอยู่ข้างกายของเขาโดยมิได้กล่าวอะไร ระหว่างทางที่พวกนางเหาะมานี้ได้พบเจอเทพบุรุษเทพธิดาไม่น้อย ทั้งยังมีนักรบเทพอยู่บ้าง แต่ว่าพวกเทพเหล่านั้นพอได้เห็นเทียนสี่ซิงจุนต่างก็ทำท่าเหมือนอยากจะถอยหลังกลับไปสักสามก้าว

 

 

ตอนแรกนางยังคิดว่าคงจะเป็นเพราะว่าพวกเขารู้จักฐานะของเยี่ยเฉินดี จึงไม่คิดจะเข้ามายุ่งวุ่นวาย

 

 

แต่ว่าจากการแสดงออกของศิษย์รับใช้ทั้งสองในตอนนี้ ต่อให้ตู๋กูซิงหลันเป็นเพียงคนโง่ ก็ยังคงเดาได้ว่า แท้จริงแล้วท่านเทพผู้นี้จะต้องมีที่มาไม่ธรรมดาเป็นแน่

 

 

หรือว่านางจะจับพลัดจับผลูมาเจอเข้ากับคนจำพวก ‘ไต้ซือกวาดพื้น’เข้าแล้วจริงๆ?

 

 

 

 

ถึงแม้ว่าในใจจะมีความสงสัยเต็มไปหมด แต่นางก็ไม่ได้เอ่ยปากถามออกมา เพียงยืนอยู่ด้านข้างนิ่งๆ

 

 

ศิษย์รับใช้ทั้งสองคำนับเรียบร้อยแล้ว ก็ค่อยเอ่ยกับเทียนสี่ซิงจุนว่า “เรียนเทียนสี่ซิงจุน นายท่านของพวกข้าน้อยกำลัง….”

 

 

วาจายังมิทันได้กล่าวออกมา เทียนสี่ซิงจุนก็ชิงโบกมือ “ข้าไม่ได้มาหาเจ้านายของพวกเจ้า ข้าจะไปที่ป่าเซียนเด็ดผลไม้ทิพย์สักหลายลูกแล้วก็จากไป ไม่รบกวนแล้ว”

 

 

“นี่อ่อ….” ศิษย์รับใช้ทั้งสองลังเลอยู่บ้าง แต่พอเห็นท่าทางของเขา ก็ไม่กล้าขัด

 

 

ตอนนี้พวกเขาไม่กล้าไปรบกวนนายท่านจริงๆ

 

 

ดังนั้นหลังจากที่ลังเลอยู่เล็กน้อย พวกเขาก็เปิดทางให้ “เทียนสี่ซิงจุน ผู้น้อยจะนำท่านไปที่ป่าเซียน”

 

 

ศิษย์รับใช้ทั้งสองมีทีท่าเคารพนอบน้อม ทั้งยังไม่แม้แต่จะไต่ถามถึงฐานะของตู๋กูซิงหลัน

 

 

บนแดนสวรรค์ แม้ว่าคนส่วนใหญ่ต่างก็เคยได้ยินชื่อของเยี่ยเฉินมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาเคยพบเจอเยี่ยเฉิน

 

 

ศิษย์รับใช้ทั้งสองรู้สึกได้ว่ากลิ่นอายบนร่างของนางแตกต่างจากผู้อื่น แต่เนื่องเพราะเกรงในตัวเทียนสี่ซิงจุน จึงไม่กล้าไต่ถามมากความ

 

 

“ไม่จำเป็นต้องรบกวนพวกเจ้าให้ลำบาก ข้าไปของข้าเองได้”

 

 

เทียนสี่ซิงจุนเอ่ยจบก็ขยับร่างผ่านเข้าไปในประตูใหญ่ของตำหนักจื่อเวยกง

 

 

ศิษย์รับใช้ทั้งสองแม้มีสีหน้าลังเลแต่ก็ไม่กล้าขัดขวาง

 

 

ตู๋กูซิงหลันก็ถือโอกาสติดตามเข้าไปเช่นกัน

 

 

ศิษย์รับใช้ทั้งสองคิดจะรั้งนางไว้ที่ภายนอก แต่พอพึ่งจะขยับมือ สายตาของเทียนสี่ซิงจุนก็กวาดมาในทันที

 

 

แววตานั้นคมกริบดุจใบมีดบนด้ามหอก ทิ่มแทงคนจนเจ็บปวด

 

 

ทำเอามือร้อนลวกขึ้นมา!

 

 

ศิษย์รับใช้ทั้งสองหัวใจกระตุกวูบ ได้แต่ถอยไปหลบด้านข้าง

 

 

ตู๋กูซิงหลันติดตามเทียนสี่ซิงจุนเหาะเข้าไปภายในเป็นระยะทางช่วงหนึ่ง

 

 

นางจ้องมองดูเงาหลังของเขาอยู่ตลอด ในใจก็ครุ่นคิดไปว่าเทียนสี่ซิงจุนผู้นี้มีที่ถือดีในที่ใด?

 

 

รังสีสีม่วงในตำหนักจื่อเวยกง คือละอองไอทิพย์ชั้นเลิศ ยิ่งเข้าสู่ภายใน ละอองแสงสีม่วงนี้ก็ยิ่งเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ

 

 

ยิ่งสูดลมหายใจเข้าไปมากเท่าไหร่ ร่างกายก็เหมือนได้รับผลสะท้อนมากขึ้นเท่านั้น

 

 

เยี่ยเฉินฝึกปรือมาเนิ่นนานก็ยังไม่อาจทะลวงคอขวดของตนเองไปได้ ตู๋กูซิงหลันรู้สึกได้ถึงจุดที่ติดขัดในเส้นชีพจรของเขาได้อย่างชัดเจน ไอทิพย์สีม่วงเหล่านี้พอสูดเข้าไปในร่างกายจุดที่อุดตันอยู่ก็สลายออกมาได้เองอย่างรวดเร็ว

 

 

นางหรี่ดวงตาลง ไม่รู้ว่าบนดวงดาวที่อยู่ด้านหลังจื่อเวยกงดวงนั้น มีจิตวิญญาณหรือชีวิตแบบใดอยู่

 

 

และเพราะกำลังติดตามเทียนสี่ซิงจุน ดังนั้นแม้แต่จุดต่างๆที่มีสถานที่งดงามในตำหนักจื่อเวยกงก็ไม่มีกระใจจะไปมองดู

 

 

เพียงครู่เดียว ทั้งสองก็พากันมาถึงป่าเซียนในตำหนักจื่อเว่ยกง

 

 

ถึงจะบอกว่าเป็นป่าเซียน แต่ว่ามองดูแล้วกลับเหมือนป่าไผ่สีม่วงมากกว่า แม้แต่ใบไผ่ก็ยังเป็นสีม่วงงดงาม

 

 

ละอองรัศมีสีม่วงครอบคลุมไปทั่วทั้งป่าไผ่

 

 

ในป่ายังมีกวางโรน้อยๆหลายตัวกำลังก้มหัวลงมาและเล็มหญ้าอ่อน

 

 

กวางโรเหล่านี้มีรูปร่างเล็ก แต่ว่าเขากวางบนหัวกลับเปล่งประกายระยิบระยับ ดูไปแล้วงดงามราวกับงานศิลปะ ท่ามกลางละอองสีม่วงที่เข้มข้นยังสามารถได้กลิ่นหอมอีกด้วย

 

 

ทั้งๆที่เห็นว่ามีคนเข้ามา แต่ว่ากวางเหล่านั้นก็มิได้ตื่นตระหนก แต่ละตัวเงยหน้าขึ้นมา มองดูพวกเขาอย่างเต็มตา

 

 

แม้แต่ในปากก็ยังคงเคี้ยวหญ้าอ่อนต่อไปด้วยซ้ำ

 

 

ตัวที่กล้าๆหน่อย ก็ก้าวเหยาะๆเข้ามาหาพร้อมกับเขาที่เป็นประกายระยิบระยับ

 

 

ยามที่พวกมันเคลื่อนไหว กลิ่นหอมนั้นก็ยิ่งโชยชายออกมา ทำให้จิตใจคนผ่อนคลาย

 

 

“จื่อเวยซิงจุน เลี้ยงกวางเหล่านี้เอาไว้ นิสัยของพวกมันออกจะโง่และขี้สงสัยมาก ไม่ต้องไปสนใจ” เทียนสี่ซิงจุนเดินนำไปเบื้องหน้า

 

 

กวางน้อยเหล่านั้นก็พากันหันมามองดู บางตัวก็ยืดหัวมอง บางตัวก็นอนราบทั้งสี่ขากับพื้น บางตัวก็ทำเขาติดอยู่ในป่าไผ่

 

 

แต่ละตัวล้วนงดงามอย่างยิ่ง แต่ช่างน่าเสียดายที่ดูโง่งมกันไปหมด

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “…..” ท่านจะบอกว่าพวกมันซื่อบื้อใช่ไหม?

 

 

นางยื่นมือออกไปช่วยกวางโรตัวหนึ่งดึงมุมเขาที่ติดอยู่กับกิ่งไผ่ออกมา

 

 

กวางน้อยตัวนั้นพอได้รับอิสระ ก็กระโดดสูงขึ้นจากพื้นด้วยความยินดี ทั้งยังก้มลงมาเอาใบหน้าถูไถกับแขนของตู๋กูซิงหลันอีกด้วย

 

 

ตู๋กูซิงหลันปล่อยตามใจมัน

 

 

ครู่ต่อมา เทียนสี่ซิงจุนก็เด็ดผลไม้สีม่วงที่มีขนาดเท่าไข่ไก่ลงมาผลหนึ่ง

 

 

เขาส่งให้นาง “นี่คือผลไม้ทิพย์ในตำหนักจื่อเวยกง เก็บลงมาสักสิบลูก ก็เพียงพอจะให้เจ้านกยักษ์นั่นกินแล้ว”

 

 

ผลไม้ทิพย์สีม่วงส่งกลิ่นหอมไปทั่วทุกทิศ แม้แต่ตู๋กูซิงหลันได้กลิ่นแล้วก็ยังรู้สึกน้ำลายสอขึ้นมา คิดอยากจะลองชิมสักคำหนึ่ง

 

 

“ลำบากท่านเทพแล้ว” ตู๋กูซิงหลันหันไปก้มศีรษะขอบคุณเขา ว่าตามจริง ตอนนี้นางก็ยังดูไม่ออกว่า ที่เขาให้ความช่วยเหลือนางเพราะมีจุดประสงค์ใด

 

 

นางยังคงคิดว่าเรื่องนี้อาจมีแผนการใดอยู่หรือไม่?

 

 

ขณะที่กำลังคิดอยู่ ก็เห็นว่าเขาหายเข้าไปนั่งอยู่ในเก๋งกลางป่าไผ่แล้ว

 

 

“เจ้าไปเด็ดเอาเอง เด็ดเสร็จแล้วก็รีบไปเสีย ตำหนักจื่อเวยกงไม่มีผู้ใดรั้งเจ้าเอาไว้”

 

 

ขณะที่เขาพูด ก็เหลือบตาขึ้นไปมองดูท้องฟ้าเหนือตำหนักจื่อเวยกงแวบหนึ่ง นั่นเป็นดวงดาวสีม่วงขนาดใหญ่ดวงหนึ่ง

 

 

จากนั้นก็มิได้สั่งอะไรไว้อีก เขากลายเป็นลำแสงสว่างหายไปจากเก๋งน้อยหลังนั้น

 

 

ใจกลางฝ่ามือของตู๋กูซิงหลันยังคงกุมผลไม้ทิพย์สีม่วงเอาไว้

 

 

จนกระทั่งเมื่อกวางตัวน้อยนั่นใช้เขาของมันมาดุนกับขาของนาง นางจึงได้รู้สึกตัวขึ้นมา

 

 

“คนผู้นี้….” นางมองไปยังจุดที่เทียนสี่ซิงจุนหายตัวไป สมองก็ครุ่นคิดไปเรื่อยๆ ว่าทำไมถึงได้รู้สึกเหมือนกับว่าช่างคุ้นเคยเหลือเกิน?

 

 

คิดอยู่เป็นเนิ่นนาน แต่ว่าสมองเหมือนจะตัน คิดอย่างไรก็คิดไม่ออก

 

 

บางครั้ง ยิ่งพยายามก็ยิ่งทำให้คิดอะไรไม่ออก

 

 

เหมือนกับเวลาที่ทำของหาย หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ แต่พอไม่ตามหามันก็ปรากฏขึ้นมา

 

 

นี่เป็นความรู้สึกของนางในยามนี้

 

 

คิดไม่ออกก็คือคิดไม่ออก นางจึงมองออกไปรอบๆ พอสังเกตให้ดีถึงได้เห็นว่าสิ่งที่งอกงามอยู่บนต้นไผ่สีม่วงก็คือผลไม้ทิพย์นั่นเอง

 

 

ตู๋กูซิงหลันรีบเก็บลงมาสิบกว่าลูกเก็บเอาไว้ในอกเสื้อ

 

 

ที่นี่ไม่ควรรั้งอยู่นาน

 

 

……..

 

 

 

 

ที่ด้านนอกป่าเซียน บนหอสูงแห่งหนึ่ง

 

 

พอเสียงพิณที่เพราะพริ้งหยุดลง ก็ได้ยินเสียงนุ่มนวลน่าฟังของบุรุษผู้หนึ่งดังขึ้น “จื่อเว่ยซิงจุน ท่านแพ้แล้ว”