ตอนที่ 629 ตี้เสียในตำนาน

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

“หากพูดถึงการเล่นหมากรุก ฝีมือของเทียนตี้ย่อมล้ำเลิศกว่านัก” 

 

 

ผู้ที่พูดออกมา ก็คือจื่อเวยซิงจุนที่สวมใส่ชุดสีม่วงตลอดทั้งร่าง 

 

 

ยามนี้เขากำลังคุกเข่าอยู่ที่ข้างโต๊ะเตี้ย หรี่ดวงตาลง มองดูกระดานหมากตรงหน้า “เทียนตี้ทรงเสด็จมายังตำหนักจื่อเวยกง คงมิใช่เพียงเพื่อจะเล่นหมากกระดานกับข้าเท่านั้นสินะ?” 

 

 

บุรุษที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขา สวมใส่ชุดสีทองตลอดร่าง 

 

 

รอบกายของบุรุษผู้นี้แวดล้อมไปด้วยละอองสีทอง เรียวแขนและทรวงอกของเขาเปิดเผยออกมาจนเกือบทั้งหมด 

 

 

ผิวพรรณดุจหยกเนื้อโบราณ ผิวทุกตารางนิ้วมีแสงสว่างเรืองรองออกมา 

 

 

รอบท่อนแขนมีผ้าคาดสีทองเส้นหนึ่งล้อมรอบอยู่ และแม้ว่าจะไม่มีสายลมเกื้อหนุน แต่ผ้าคาดเส้นนั้นก็ยังคงลอยพลิ้วอยู่ได้ เช่นเดียวกับเส้นผมสีทองยาวสลวยที่พลิ้วขึ้นไปในอากาศอยู่ตลอดเวลา 

 

 

แต่เพราะรอบกายของเขามีรัศมีสีทองสุกสว่างอยู่ตลอดเวลา จึงทำให้ไม่อาจมองเห็นว่ามีรูปโฉมเช่นใดกันแน่ 

 

 

เห็นแต่เพียงเค้าโครงภายนอกเท่านั้น แต่ก็ยังสามารถคาดเดาได้ว่าจะต้องงดงามอย่างยิ่ง 

 

 

คนผู้นี้ ย่อมจะต้องเป็นผู้ที่มีฐานะสูงส่งที่สุดในแดนสวรรค์—ตี้เสีย 

 

 

พอได้ฟังคำพูดของจื่อเวยซิงจุน พระหัตถ์ที่คีบเม็ดหมากเอาไว้ จึงค่อยวางลงไปบนกระดาน 

 

 

ปลายนิ้วเรียวยาวขยับเบาๆ ก็ได้ยินเสียง ‘เพี้ยะ’ครั้งหนึ่ง ทั่วทั้งกระดานก็แตกสลาย 

 

 

จากนั้นทั้งหมดก็กลายเป็นฝุ่นผง 

 

 

ฝ่าพระหัตถ์ใหญ่โตนั้นโบกเบาๆ “จื่อเวย ดาวจักรพรรดิมืดครึ้มมาหลายวัน ในฐานะที่เป็นผู้นำของเทพเจ้าประจำดวงดาวต่างๆ เจ้ากลับไม่มีเรื่องใดจะรายงานกระนั้นหรือ?” 

 

 

น้ำเสียงที่ตรัสถาม เย็นชาสุดหยั่ง 

 

 

จื่อเวยซิงจุนนั่งคุกเข่าอยู่ที่ข้างโต๊ะเตี้ย มองดูกระดานหมากที่แหลกละเอียดเป็นผุยผง แม้แต่ตัวหมากบนกระดานก็กลายเป็นฝุ่นละอองไปด้วย ขนตาของเขากระพริบน้อยๆ 

 

 

“เทียนตี้….” นานพักใหญ่ จื่อเวยซิงจุนจึงได้เอ่ยปากขึ้นมา ริมฝีปากของเขาแทบจะผนึกติดกันไปแล้ว พอเอ่ยออกมาคำหนึ่งแต่ก็ยังพูดอะไรไม่ออกอยู่ดี 

 

 

กลับเป็นตี้เสียที่ทรงโบกพระหัตถ์ครั้งหนึ่ง ก็ทำให้จุดที่เดิมวางกระดานหมากบนโต๊ะ กลายเป็นแผนที่ดวงดาว 

 

 

บนแผนที่ดวงดาวมีตำแหน่งของดวงดาวต่างๆกระจายอยู่นับไม่ถ้วน 

 

 

ดวงดาวที่ใหญ่ที่สุดในหมู่ดาวทั้งหลาย กลับมิใช่ดวงดาวที่สว่างที่สุด 

 

 

เพราะมีดวงดาวมืดทึบที่อยู่ด้านข้าง คอยดูดกลืนแสงสว่างของมันเอาไว้ 

 

 

แต่ว่าดาวที่มืดมิดดวงนั้นก็มิได้สว่างไสวขึ้นมาเช่นกัน มันดูไปแล้วกลับเหมือนหลุมดำแห่งหนึ่งมากกว่า 

 

 

มันไม่เพียงแต่ดูดซับแสงสว่างของดาวจักรพรรดิ์ แต่ยังดูดซับแสงสว่างจากดาวอื่นๆเข้าไปด้วย แค่ได้มองเห็นเพียงแวบเดียวก็ทำให้ผู้คนรู้สึกไม่สบายใจ 

 

 

ปลายดัชนีของตี้เสียไล้ผ่านเหนือแผนที่ดวงดาว “เราต้องการคำอธิบายจากเจ้า” 

 

 

จื่อเวยซิงจุนนั่งหลังตรง จ้องมองดูแผนที่ดวงดาว  

 

 

ชั่วขณะนั้น ทุกอย่างรอบกายราวว่ามีแต่ความเงียบงัน จนทำให้เขาได้ยินแม้แต่เสียงลมหายใจของตนเอง 

 

 

“เทียนตี้ สรรพชีวิตในโลกหล้าล้วนต้องมีความเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ แม้แต่ดวงดาวก็มียามที่สุกสกาวและอับแสง” 

 

 

พอกราบทูลเช่นนี้ออกไป จื่อเวยซิงจุนก็รู้สึกได้ถึงประกายตาเฉียบคมที่มองวาบลงมาบนศีรษะ แทบจะผ่าเขาออกเป็นสองส่วน 

 

 

“ถึงแม้ว่าข้าจะเป็นเทพประจำดาวจื่อเวย ที่ชี้นำดาวดวงอื่นๆ แต่ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงลิขิตของดวงดาวได้” 

 

 

ขณะที่พูดออกไป หน้าผากของจื่อเวยซิงจุนก็ปรากฏเหงื่อบางๆชั้นหนึ่ง 

 

 

ตี้เสียทรงพระสรวลออกมาอย่างเย็นชา “หากเป็นดังที่เจ้าว่า แล้วเกิดมีคนในหกภพภูมิคิดก่อกบฏต่อแดนสวรรค์ เราก็ควรนั่งมองดูโดยไม่ต้องสนใจ แล้วก็ส่งมอบแดนสวรรค์นี้ออกไปให้กระนั้นหรือ! 

 

 

ด้วยอำนาจบารมีของพระองค์ เพียงตรัสออกมาเบาๆไม่กี่ประโยคก็ทำให้ตำหนักจื่อเวยทั้งหลังสั่นสะท้านได้แล้ว 

 

 

ในป่าเซียน ตู๋กูซิงหลันพึ่งจะเก็บผลไม้เสร็จ พอตำหนักจื่อเวยสั่นสะเทือน จึงทำให้ผลไม้ทิพย์ในมือของนางร่วงลงไปบนพื้น 

 

 

ถึงแม้ว่าจะอยู่ไกลออกมา แต่นางก็ยังรู้สึกได้ถึงพลังที่แข็งแกร่งอย่างน่ากลัว 

 

 

ด้วยสภาพร่างกายของเยี่ยเฉิน จึงเหมือนกับเผชิญแรงกดดันที่กระแทกเข้าสู่หัวใจจนสั่นสะท้าน 

 

 

อวัยวะภายในทั้งหมดกระดอนขึ้นจนเกือบจะกระอักเลือดออกมา 

 

 

พวกกวางน้อยในป่าก็พากันตกใจ ต่างวิ่งหนีอย่างกระเจิดกระเจิง ตัวที่ขี้กลัวสักหน่อยถึงกลับวิ่งจนหกล้มหัวปักลงไปในโคลนก้นที่โผล่อยู่ก็ยังสั่นสะท้านไม่หาย 

 

 

เจ้าตัวที่ทำเขาติดอยู่ในป่าไผ่ ก็ทำเขาหักดังเปรี้ยะ 

 

 

เขากวางคู่หนึ่งลอยขึ้นมาจากบนพื้น ข้างหนึ่งกระเด็นใส่หน้าตู๋กูซิงหลัน อีกข้างหนึ่งพุ่งขึ้นไปบนหอสูง 

 

 

ตู๋กูซิงหลันสายตาดีมือเท้าว่องไว จึงคว้าเขากวางที่พุ่งเข้าใส่ใบหน้าของตนเองไว้ได้ทัน 

 

 

พอนางตัดสินใจจะพุ่งไปคว้าอีกข้างก็รู้สึกว่า นางชักจะเก่งกาจเกินไปแล้วราวกับปีศาจยักษ์มือเดียวเสียจริงๆ ฮ่า ฮ่า ฮ่า! 

 

 

จิตวิญญาณเยี่ยเฉินที่ถูกกำราบอยู่ในยันต์ “…..” 

 

 

ถึงแม้ว่าจิตมังกรของเขาจะถูกผนึกเอาไว้ แต่ว่าก็ยังรู้สึกได้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นภายนอก 

 

 

อาจบอกได้ว่าเขาถูกผนึกเอาไว้เพียงครึ่งเดียว ตู๋กูซิงหลันจงใจทำเช่นนี้ ก็เพื่อไม่ให้เหล่าเทพในแดนสวรรค์จับพิรุธได้ 

 

 

เขากวางข้างนั้นบินออกไปเร็วมาก ราวกับลูกธนูที่หลุดออกจากแล่ง เพียงพริบตาเดียวก็พุ่งขึ้นไปถึงบนหอสูงแล้ว  

 

 

ทั้งยังพุ่งตรงเข้าหาหว่างคิ้วของตี้เสียอย่างไม่มีผิดพลาด 

 

 

ทั้งที่ยังมองไม่เห็นเขากวางอย่างชัดเจน จื่อเวยซิงจุนก็ได้กลิ่นหอมเฉพาะพิเศษจากกวางโรของตนเองลอยมาก่อนแล้ว 

 

 

หัวใจของเขาร้องตะโกนออกมา รู้สึกได้ว่ากำลังจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว! 

 

 

จริงเสียด้วย พอมองไป ซวยแล้ว……หน้าผากของเขาแทบจะมุดจมลงไปบนพื้น 

 

 

ใครจะไปคิดว่า อยู่ดีๆกลางวันแสกๆ จะมีเขากวางของเขาบินออกมาถึงที่นี่? 

 

 

บินออกมาก็แล้วไปเถอะ….. 

 

 

แต่ว่ามันดันพุ่งเข้าใส่พระเศียรของตี้เสียนี่น่ะสิ 

 

 

แม้จื่อเวยซิงจุนรักษาเนื้อรักษาตัวเอาตัวรอดมาได้ตลอดหลายปี แต่เกรงว่าวันนี้คงต้องถูกกลบฝังเพราะเขากวางข้างหนึ่งเสียแล้ว 

 

 

ในใจของเขาเกิดภาพอย่างชัดเจน ช่วงเวลาเช่นนี้เขาสมควรพุ่งออกไปใช่ร่างกายตนเองสกัดเขากวางข้างนั้นเอาไว้ แต่ว่าร่างกายกับแข็งทื่อขึ้นมา กว่าที่สมองจะกระตุ้นเตือน ก็กลายเป็นสละโอกาสให้เขากวางข้างนั้นไปเสียแล้ว 

 

 

หากเขาไม่ได้ชักช้าไปชั่ววูบ เขากวางข้างนั้นย่อมไม่มีทางลอยไปถึงหน้าผากของเทียนตี้อย่างแน่นอน 

 

 

ตี้เสียยังคงประทับอยู่ที่เดิม แถบผ้าสีทองบนท่อนแขนโบกระบำอย่างรุนแรงขึ้นมา 

 

 

พระองค์จับจ้องด้วยสายพระเนตรเกรี้ยวกราด ลำแสงสีทองสายหนึ่งปรากฏขึ้นมาในทันที จากนั้นก็พุ่งออกไปคว้าเขากวางข้างนั้นเอาไว้อย่างรวดเร็ว นำมาชูอยู่เบื้องหน้าตี้เสียด้วยความคล่องแคล่วราวกับว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายของเขา 

 

 

พระองค์ยังคงนั่งวรองค์ตรงอย่างน่าเกรงขาม หลังจากที่เขากวางข้างนั้นถูกลำแสงสีทองยึดเอาไว้อย่างเหนียวแน่นแล้ว พระหัตถ์ของตี้เสียถึงได้ยื่นออกไปรับมันลงมาที่ระดับสายตา 

 

 

หลังจากพิจารณาดูอยู่ในพระหัตถ์ครู่หนึ่ง จึงค่อยส่งต่อให้กับจื่อเวยซิงจุน 

 

 

“ที่แท้แล้วเขากวางในป่าเซียนแห่งนี้ก็สามารถนำมาใช้เป็นอาวุธสังหารได้ด้วยนี่เอง เรานับว่าได้เปิดหูเปิดตาแล้ว” 

 

 

พอตรัสออกมาเช่นนี้ จื่อเวยซิงจุนก็ถึงกับขนลุกขึ้นมาทั้งร่าง 

 

 

เขารีบลุกขึ้นมาจากข้างโต๊ะ เดินไปคุกเขาลงที่เบื้องหน้าตีเสีย 

 

 

“เทียนตี้โปรดทรงวินิจฉัยด้วย เขากวางพวกนี้แต่ไหนแต่ไรก็ถูกส่งไปยังตำหนักโตวซ่วยกง เพื่อนำไปทำเป็นยาตันอยู่เสมอ วันนี้เกรงว่ากวางพวกนั้นคงซุกซนจนพิเรนทร์ เขากวางข้างนั้นถึงได้พุ่งออกมาถึงเบื้องพระพักตร์ของเทียนตี้อย่างมิได้ตั้งใจ เกือบจะทำให้พระองค์ทรงได้รับบาดเจ็บเข้าแล้ว” 

 

 

แม่เอ้ย คำแก้ตัวผีสางเช่นนี้กระทั้งตัวเขาเองก็ยังไม่มีทางเชื่อเลย 

 

 

เทียนตี้ย่อมมิใช่คนโง่ แน่นอนว่าจะต้องไม่เชื่อ 

 

 

พระองค์ทอดพระเนตรมองดูเขากวางที่วางอยู่ตรงหน้าจื่อเวยซิงจุน ก็เงยพระพักตร์มองออกไปทางป่าเซียนของตำหนักจื่อเวยกง 

 

 

ละอองสีม่วงปกคลุมไปทั่วป่าเซียน กวางน้อยฝูงหนึ่งกำลังตื่นตระหนกตกใจ 

 

 

และท่ามกลางฝูงกวางน้อยเหล่านั้น ก็มีบุรุษหนุ่มเยาว์วัยในเครื่องแบบของนักรบเทพอยู่ผู้หนึ่ง 

 

 

มือข้างหนึ่งของเขา ยังถือเขากวางชิ้นหนึ่งเอาไว้อีกด้วย 

 

 

จื่อเวยซิงจุนก็มองออกไปเช่นกัน แม้ว่าป่าเซียนจะอยู่ห่างจากหอสูงเป็นระยะไม่น้อย แต่ว่าด้วยพลังบำเพ็ญเพียรของพวกเขา ย่อมสามารถมองเห็นสภาพในป่าไผ่ได้อย่างง่ายดายและชัดเจน 

 

 

พอได้เห็นตู๋กูซิงหลันเข้า จื่อเวยซิงจุนก็ถึงกับตกตะลึงพรึงเพริดขึ้นมา