ตอนที่ 630 ตู๋กูซิงหลันตกใจจนฉี่ราดแล้ว?

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

พอมองเห็นว่าในมือของนางมีเขากวางอยู่ข้างหนึ่ง จื่อเวยซิงจุนก็มีโทสะจนเกือบหน้ามืดแล้ว 

 

 

นี่….เกรงว่าคงจะปฏิเสธไม่พ้นแล้ว! 

 

 

ในตำหนักของเขากลับมีนักรบเทพอยู่คนหนึ่ง 

 

 

แถมช่างเป็นเรื่องบังเอิญที่ในมือของนักรบเทพผู้นี้ก็มี ‘อาวุธสังหาร’ พอดี 

 

 

“เทียนตี้ นี่จะต้องเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันแน่ ในหกภพภูมินี้ ต่อให้มีผู้ที่คิดฆ่าพระองค์ แต่ใครเล่าจะโง่เขลาถึงขนาดใช้เขากวางมาเป็นอาวุธสังหาร…” 

 

 

จื่อเวยซิงจุนปาดเช็ดเม็ดเหงื่อบนใบหน้า ท่าทางที่หวั่นเกรงจนสั่นสะท้านของเขา ไม่มีค่าอะไรในสายพระเนตรของตี้เสียทั้งสิ้น 

 

 

ในแดนสวรรค์นี้ ไม่มีผู้ใดที่สามารถจะคาดเดาน้ำพระทัยของเทียนตี้ได้ทั้งนั้น 

 

 

ขณะที่พยายามจะพูดแก้ตัวออกมา น้ำเสียงก็จางหายไปเรื่อยๆ 

 

 

นับตั้งแต่ที่เขากวางพุ่งออกมาจนถึงพวกเขาพบเห็นตู๋กูซิงหลัน ก็เป็นเพียงช่วงระยะเวลาสั้นๆแวบเดียว 

 

 

ในขณะที่มือข้างหนึ่งของตู๋กูซิงหลันกำเขากวางเอาไว้ นางก็รู้สึกได้ถึงสายตาที่มีพลังรุนแรงขนาดสามารถทะลวงผ่านร่างคนได้ขึ้นมา 

 

 

พอเงยหน้าขึ้นไปบนหอสูง นางก็สามารถมองเห็นละอองแสงสีทองที่รวมกันอย่างแน่นหนา โดยมิต้องใช้พลังวิญญาณในการมองเลยด้วยซ้ำ 

 

 

ทันทีที่นางเงยหน้าขึ้นไป ก็ได้ยินพระสุรเสียงของตี้เสียตรัสว่า “มาพูดกันที่ตรงหน้านี่” 

 

 

พระสุรเสียงถึงกับดังกังวานไปทั่วทั้งตำหนักจื่อเวยกง แม้แต่ศิษย์รับใช้ที่เฝ้าประตูอยู่ได้ยินแล้วก็ยังต้องขนลุกชัน 

 

 

พวกเขารู้ได้ทันทีเลยว่าสถานการณ์ทำท่าจะไม่ดีเสียแล้ว 

 

 

หรือว่าเทียนสี่ซิงจุนจะก่อเรื่องใดขึ้นมา? 

 

 

พอคิดถึงปัญหานี้ขึ้นมา ศิษย์รับใช้ทั้งสองก็สมองบวมพอง พวกเขาสมควรจะขึงขังให้มากกว่านี้ หาทางกันให้เทียนสี่ซิงจุนรออยู่แต่ที่ด้านนอกจึงจะถูก 

 

 

ทันทีที่ตี้เสียตรัสออกมา จื่อเวยซิงจุนก็ลงมือ เห็นปลายนิ้วของเขาขยับเพียงเล็กน้อย ไอสีม่วงที่ล่องลอยอยู่รอบกายตู๋กูซิงหลันก็กักขังนางเอาไว้ จากนั้นคนก็ถูกกระชากออกมาทั้งร่าง 

 

 

นางเองก็มิได้ต่อต้าน 

 

 

พอถูกลากมาถึงเบื้องหน้าตี้เสีย ร่างกายนี้ก็เหมือนดังถ้วยแก้วที่ถูกบีบจนใกล้จะแตกร้าวได้ทุกเมื่อ 

 

 

เยี่ยเฉินอ่อนแอว่าร่างของนางมากนัก 

 

 

ตู๋กูซิงหลันเหลือบตามองดูแวบหนึ่ง ก็ถูกแสงทองวิบวับเหล่านั้นบาดตาจนตาแทบจะบอดไป 

 

 

จากความทรงจำของเยี่ยเฉิน เขาเคยมองเห็นตี้เสียจากที่ไกลๆครั้งหนึ่ง ดังนั้นยามที่ตู๋กูซิงหลันถูกลากเข้าไปจนใกล้ตี้เสีย เขาจึงสามารถยืนยันฐานะของพระองค์ได้ตั้งแต่ในแวบแรก 

 

 

แม้จะเคยคิดเอาไว้ว่า จะช้าเร็วพวกนางก็จะต้องได้พบกับเขา แต่คิดไม่ถึงว่า นางพึ่งจะอยู่ในแดนสวรรค์เป็นวันที่สองก็ได้เจอกันแล้ว 

 

 

เมื่อครู่นี้นางยังได้เห็นพวกมังกรเขียวหยกลากพระตำหนักหลิงเซียวเป่าเตี้ยนผ่านไป เช่นนี้ดูท่าจะมีปัญหาเสียแล้ว เทียนตี้ไม่ได้อยู่ในพระตำหนักหลิงเซียวเป่าเตี้ยน กลับมาขลุกอยู่ในตำหนักจื่อเวยกง เพราะอะไร? 

 

 

สมองของตู๋กูซิงหลันหมุนวนอย่างรวดเร็ว 

 

 

นางไม่ได้มองดูตี้เสียอย่างเต็มตา มิว่าจะอย่างไร คนผู้นี้ก็คือผู้ที่มีอำนาจชี้ขาดสูงสุดในแดนสวรรค์ ไม่ว่าผู้ใดได้พบเขาเป็นต้องคุกเข่ากราบกราน 

 

 

ตอนนั้นเยี่ยเฉินขนาดมองเห็นจากที่ไกลๆ สองขายังสั่นสะท้านขึ้นมาเลย 

 

 

ดังนั้นตู๋กูซิงหลันในตอนนี้จึงแสดงท่า ‘ขาสั่น’ ได้อย่างสมบทบาทที่สุดแล้ว 

 

 

ท่าทางของนางเหมือนคนที่ตกใจจนวิญญาณแทบจะหลุดลอยออกไป 

 

 

ในเมื่อพวกเขายังไม่ได้เอ่ยปาก นางก็ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนพูดอะไรออกไป 

 

 

รอบวรกายของตี้เสียแวดล้อมไปด้วยรัสมีสีทองส่องสว่าง ตู๋กูซิงหลันยิ่งไม่ได้แอบมองดูเขา ย่อมไม่รู้ว่าเขามีรูปโฉมเช่นใด 

 

 

สายตาของจื่อเวยซิงจุนและตี้เสียจับจ้องอยู่ที่บนร่างของนาง จากนั้นก็มองไปยังเขากวางที่อยู่ในมือของนาง 

 

 

ตู๋กูซิงหลันไม่ต้องแอบมองดูก็รู้สึกได้ว่า แววตาทั้งสองสายคิดจะตัดมือของนางทิ้ง 

 

 

นางยิ่งกำเขากวางเอาไว้แนบแน่น ร่างสั่นสะท้านราวกับตระแกรงร่อนแกลบ 

 

 

ท่ามกลางรัศมีสีทอง ตี้เสียที่ทอดพระเนตรไปยังนาง ตรัสว่า “เขากวาง…” 

 

 

แค่เขาเอ่ยปาก ตู๋กูซิงหลันก็ ‘สั่นสะท้าน’ อย่างรุนแรง เท้าของนางอ่อนแรง คนโอนเอนจนหงายลงไปบนพื้น 

 

 

อ้อ นางย่อมไม่มีทางคุกเข่าห้กับตี้เสียอยู่แล้ว 

 

 

พอหงายลงไป ก็สามารถแก้ไขปัญหาเรื่องที่ต้องคุกเข่าได้พอดี 

 

 

นางล้มลงไปบนพื้น ปากสั่นจนฟันกระทบกัน “ถ้า…ข้า ข้า ข้า….ข้าบอกว่า …..ขะ ขะเขากวางนี้….มันพุ่งเข้ามาใส่มือของข้างเอง ….พะพวกท่าน….จะเชื่อ …เชื่อหรือไม่?” 

 

 

นางลงทุนทำท่าทางน่าสงสาร หวาดกลัวจนเสียงสั่น ตกใจกลัวจนถึงขั้นฉี่ราดออกมา 

 

 

อ้อ เอาให้ฉี่มัน ‘สาดเปียก’ กางเกงไปเลย 

 

 

ปัสสาวะสีเหลืองไหลนองออกมาราวกับของให้เปล่า ส่งกลิ่นฉุนไปทั่ว 

 

 

จิตมังกรของเยี่ยเฉิน “…..” 

 

 

ได้โปรด ฆ่าเขาเสียเถอะ! 

 

 

ถึงอย่างไรเขาก็ไม่มีหน้าจะอยู่ต่อไปอีกแล้ว 

 

 

ตู๋กูซิงหลันยึดร่างของเขาไป แล้วยังทำลายชื่อเสียงในแดนสวรรค์ของเขาเสียจนป่นปี้! 

 

 

ถึงแม้ว่าเขาจะมิได้เป็นที่ต้อนรับขับสู้ในแดนสวรรค์ แต่เกรงว่านับจากวันนี้เป็นต้นไปทั่วทั้งแดนสวรรค์คงจะต้องหัวเราะเยาะเขาอย่างบ้าคลั่งเป็นแน่ 

 

 

คนผู้นี้ถึงกับตกใจจนฉี่ราดออกมา! 

 

 

คิดว่าเขาไม่รู้จักรักหน้าตาอยู่บ้างหรือไร? 

 

 

ตู๋กูซิงหลันทางหนึ่งแสดงเป็นตกใจจนฉี่ราดออกมา อีกทางหนึ่งก็โยนเขากวางที่เหมือนกับเผือกร้อนนี้ออกไปไกลๆ 

 

 

แถมยังโยนได้แม่นอย่างยิ่ง ลงไปกองรวมกับเขากวางอีกข้างพอดิบพอดี 

 

 

จื่อเว่ยซิ่งจุน “…..” 

 

 

ทั้งๆที่ในใจของเขาหวาดกลัวแทบตาย แต่ก็ยังไม่วายรู้สึกว่า ภาพเหตุการณ์ตรงหน้าช่างน่าขบขัน 

 

 

บนแดนสวรรค์แห่งนี้ เต็มไปด้วยกฎระเบียบอันเข้มงวดมากมาย ความสัมพันธ์ระหว่างเทพด้วยกันก็มีแต่เย็นชาและห่างเหิน 

 

 

ทุกคนต่างวางตนสูงส่ง ทำตนเป็นศูนย์กลางของผู้อื่นอยู่เสมอ แม้แต่เรื่องธรรมดาอย่าง จะไอจามต่อหน้าผู้อื่นยังไม่มีทางเกิดขึ้นได้เลย 

 

 

เมื่ออยู่เบื้องหน้าเทียนตี้ มีแต่กฎเกณฑ์ที่พึงรักษาไว้ ไม่อาจมีข้อผิดพลาดใดๆ ให้ผู้คนนำไปติฉินนินทาได้แม้แต่น้อย 

 

 

ตอนนี้กลับมีคนฉี่ราดออกมาตรงหน้า พอเห็นภาพนี้แล้ว จื่อเวยซิงจุนก็จำต้องหันไปเหลือบมองดูเทียนตี้แวบหนึ่ง 

 

 

เทียนตี้ทรงจดจ้องไปยังตู๋กูซิงหลัน สายพระเนตรกวาดลงไป มองเห็นฉี่ที่ไหลนองอยู่บนพื้น 

 

 

เมื่อมีละอองสีทองห้อมล้อม ย่อมไม่มีใครมองออกว่าเพราะองค์กำลังมีสีพระพักตร์เช่นไร 

 

 

ตู๋กูซิงหลันนอนหงายอยู่บนพื้น ‘ตัวสั่นสะท้าน’ อย่างน่าสงสาร 

 

 

ครู่ต่อมา เทียนตี้ก็ทรงโบกพระหัตถ์ครั้งหนึ่ง ตู๋กูซิงหลันก็รู้สึกได้ทันทีว่าขากางเกงเปลี่ยนเป็นแห้งผาด แม้แต่กลิ่นเหม็นของปัสสาวะก็สลายหายไปจนหมดสิ้น 

 

 

อืม เทียนตี้ช่างสมกับเป็นเทียนตี้ ขนาดแค่สลายฉี่ยังทำได้จนหมดจดเกลี้ยงเกลา ไม่เหลือร่องรอยแม้แต่น้อย 

 

 

เขาไม่ไปเกิดเป็นเครื่องซักผ้าช่างเป็นเรื่องที่น่าเสียดายจริงๆ! 

 

 

แถมนี่ยังเป็นเครื่องซักผ้าชนิดที่สามารถซักฟอก ล้างน้ำและเป่าแห้งได้อย่างเบ็ดเสร็จจบสิ้นภายในครั้งเดียวอีกด้วย 

 

 

จื่อเวยซิงจุน “…..” ในใจของเขาคิดไปว่า นี่ช่างเป็นเรื่องที่หาได้ยากนัก ว่าตามโทษทัณฑ์ที่บังอาจล่วงเกินเทียนตี้แล้ว หากเป็นปกติ ย่อมต้องถูกโยนลงไปจากลานประหารเซียน ให้ไปเวียนว่ายตายเกิดเป็นสัตว์ชั้นต่ำบนโลก 

 

 

แต่นี่กลับเป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นเทียนตี้ทรง ‘ล้างฉี่’  

 

 

นี่จะไม่ถือเป็นครั้งแรกได้อย่างไร เพราะคนที่กล้าฉี่ออกมาต่อหน้าเทียนตี้ ก็พึ่งจะมีเจ้านักรบเทพผู้นี้เป็นคนแรกนี่หละ 

 

 

เทียนตี้จับจ้องอยู่ที่ตู๋กูซิงหลัน เห็นนางแทบจะเอาหัวมุดในรอยแยกของแผ่นดินลงไป ก็ตรัสขึ้นมาว่า “เงยหน้า บอกสังกัดที่มา เราจะให้โอกาสเจ้าได้อธิบาย” 

 

 

ตู๋กูซิงหลันรู้สึกได้ถึงแรงกดดันจากร่างของเขา ว่ากันตามจริง ตอนนี้ต่อให้เป็นเยี่ยเฉินมาควบคุมร่างกายด้วยตนเอง ก็ไม่แน่ว่าจะฉี่ราดออกมาเหมือนกัน 

 

 

ตี้เสียเพียงประทับนั่งเฉยๆ ตรัสเพียงไม่กี่ประโยคก็สามารถทำให้ผู้คนเหน็บหนาวจากในกระดูกและแข็งทื่อทั่วร่างได้แล้ว 

 

 

ศัตรูเช่นนี้ ต้องถือว่าเข็มแข็งอย่างยิ่ง 

 

 

ตู๋กูซิงหลัน ‘สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆติดๆกัน’ นางเองก็เกือบจะ ‘หายใจหืบหอบออกมา’ ต้องใช้ ‘กำลังใจอย่างสูง’ ถึงได้สามารถควบคุมตนเอง ‘ให้สงบลงได้ในที่สุด’  

 

 

หลังจากนั้นนางก็แจกแจงสังกัดที่มาของตนเองออกไป ทั้งยังอธิบายว่าทำไมตนถึงมายังตำหนักจื่อเวยกงอย่างละเอียดและไม่มีปิดบัง 

 

 

……………….