ตอนที่ 1051 ทลาย
เยลู่ฮัวจ้องมองสนามรบที่ดุเดือดเบื้องหน้าเขม็ง
ใจของเขากำลังหลั่งเลือด !
กองทัพ 200,000 นายกำลังตกตายอยู่ภายใต้ดาบของศัตรู มิทราบว่าถูกสังหารไปแล้วเท่าใด
ต่อมาจิตใจของเขาก็ค่อย ๆ ผ่อนคลายลง เพราะจำนวนของศัตรูก็กำลังลดลงเช่นกัน
วงล้อมที่ปิดกั้นกำลังเล็กลงเรื่อย ๆ และคาดว่าหากผ่านไปอีก 1 ก้านธูป ก็จะสามารถทำลายล้างกองทัพที่แข็งแกร่งนี้ได้ทั้งหมด
บัดนี้เขาเพิ่งได้มีความรู้ใหม่เกี่ยวกับกองทัพของประเทศต้าเซี่ย เพิ่งเข้าใจว่าเหตุใดอัครมหาเสนาบดีอาวุโสเยลู่ตานถึงได้คัดค้านสงครามระหว่างราชวงศ์เหลียวและประเทศต้าเซี่ยนักหนา
ฝ่ายตรงข้ามมีเพียง 5,000 คนเท่านั้น !
ฝ่ายของตนมีมากถึง 300,000 คน คาดมิถึงว่าจะกลายมาเป็นเยี่ยงนี้
หากกองทัพใหญ่ของข้าศึกจำนวน 100,000 นาย เกรงว่าจะสามารถบดขยี้กองทัพของตนจนกลายเป็นผุยผงได้ในเวลาเพียงมิกี่อึดใจ
กองทัพบกที่หนึ่งและกองทัพทหารม้าของประเทศต้าเซี่ยอยู่ด้านหลัง ระยะห่างของพวกเขาจากตรงนี้เป็นระยะทางเท่าใดกัน ?
เยลู่ฮัวยกกล้องส่องทางไกลขึ้นมามองไปยังเส้นทางที่มืดมิด
รูม่านตาของเขาหดลงทันพลัน เขามองเห็นคบเพลิงที่ยาวออกไปราวกับมังกรก็มิปาน !
มังกรไฟนั้นกำลังเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ระยะห่างจากสนามรบนี้เห็นได้ชัดว่ากระชั้นชิดขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว !
เขารีบหันหลังกลับ มองไปทางด้านหลังของตนเอง ด้านหลังของเขาก็มีมังกรไฟที่กำลังเคลื่อนที่มาอย่างรวดเร็วเช่นกัน นี่คือกองทัพป๋ายหยูของเขา ด้วยกองทัพที่เหลือเพียงสองแสนกว่านายนี้จะสามารถสกัดกองทัพของข้าศึกที่บุกมาโจมตีได้เยี่ยงนั้นหรือ ?
เขาต้องกลับไปเมืองหลวงต้าติ้ง หากให้ทหารทุกนายประจำการอยู่ที่นี่ แล้วการกลับเมืองหลวงจะยังมีความหมายอันใดอีกกัน ?
ทันใดนั้นเยลู่ฮัวก็ทำการตัดสินใจ “ถ่ายทอดคำสั่งออกไป ทัพกลางถอยทัพไปกับข้า กองทัพฝั่งขวาอยู่ต้านศัตรู สั่งให้กองทัพป๋ายหยูเปลี่ยนไปอยู่ทัพหลัง และตามข้าไปยังเมืองหลวงต้าติ้ง ! ”
เขาหนีไปแล้ว
ทหารของกองทัพฝั่งขวาต่างก็ตาแดงก่ำ พวกเขามิทราบว่าผู้บัญชาการทัพของพวกเขาได้หนีไปแล้ว !
หยูติ้งชานและหยูติ้งเหอเองก็ดวงตาแดงก่ำเช่นกัน สหายร่วมรบที่อยู่ข้างกายของเขาเริ่มน้อยลงเรื่อย ๆ ศัตรูที่ล้อมรอบพวกเขากำลังเพิ่มมากขึ้น แนวสายตามิอาจมองทะลุกำแพงมนุษย์นี้ออกไปได้ พวกเขามิทราบด้วยซ้ำว่าแท้จริงแล้วศัตรูมีจำนวนเท่าใด และยังเหลือสหายร่วมรบของตนอีกเท่าใด
“น้องข้า…ประเดี๋ยวข้าจะกำบังให้เจ้า เจ้าจะต้องฝ่าออกไปให้ได้ ! ”
ทันทีที่หยูติ้งชานตวัดดาบ ร่างของศัตรูนายหนึ่งก็ลอยออกไปไกล “เจ้าจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อ เพื่อท่านแม่ ! ”
“พี่…” หยูติ้งเหอตวัดดาบไปด้านขวา บั่นศีรษะของศัตรูที่เข้ามาลอบสังหารหยูติ้งชาน “ข้าจะปกป้องพี่เอง พี่ต้องมีชีวิตอยู่ เพื่อช่วยข้าดูแลท่านแม่ให้ดี”
หยูติ้งเหอตะโกนเสียงดังลั่น “เจ้าสุนัขทั้งหลาย ดาหน้าเข้ามาเลย ! ”
คาดมิถึงว่าเขาจะบุกเข้าหากองทัพของศัตรูด้วยตนเอง !
ดวงตาของเขาแดงก่ำ เขาผุดลุกขึ้นมาจากพื้น ดาบในมือกวัดแกว่งไปมากลางอากาศ
“เหล่าสหายเอ๋ย… เดินหน้า ! ”
“ปัง ! ”
ดาบยาวตกลงสู่พื้น หยาดโลหิตสาดกระเซ็นไปทั่วบริเวณ
เสียงคร่ำครวญของศัตรูดังระงม หยูติ้งเหอบุกเข้าหาทัพของศัตรูราวกับเทพแห่งความตาย
ศัตรูที่ขวางหน้าเขาเกือบทุกคนราวกับถูกเขาดึงดูดเข้าไปหา น้ำตาของหยูติ้งชานไหลออกมาราวกับสายน้ำ
“กองทัพบกที่หนึ่งแห่งประเทศต้าเซี่ย ทหาร… บุก… ! ”
เขามิได้ล่าถอยอีกต่อไป เขานำพาสหายร่วมรบนับร้อยที่ยังมีชีวิตอยู่บุกเข้าหาศัตรูอย่างมิลังเล
“หัวเราะเยาะคลื่นใหญ่อย่างอวดดี ! ”
เขาร้องเพลงกองทัพของประเทศต้าเซี่ยขึ้นมาเสียงดัง
ดาบในมือตวัดคร่าชีวิตของศัตรูคนแล้วคนเล่า
“เลือดร้อนแรงดั่งสุริยา ! ”
หยูติ้งเหอได้ยินเสียงร้องเพลงดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง เขาเองก็ร้องตามขึ้นมาเช่นกัน ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าทั้งร่างเต็มไปด้วยพลังอีกครา
“กระดูกและเส้นเอ็น แกร่งดั่งเหล็กกล้า ปณิธานที่ทอดยาว วิสัยทัศน์ที่กว้างไกล…”
ในที่สุดหยูติ้งชานก็พาสหายร่วมรบทั้งสามร้อยนายไล่ตามมาจนถึงตัวหยูติ้งเหอ
แต่แล้วพวกเขาก็ถูกกำแพงมนุษย์ของกองทัพศัตรูล้อมรอบอย่างหนาแน่นขึ้นมาอีกครา
“เหล่าสหายร่วมใจ สามัคคีร่วมพลัง ! ”
“เกิดชาติหน้า…ขอให้พวกเรามาเป็นสหายกันอีกครา ! ”
“ปฏิญาณตนจะบากบั่น เป็นชายชาติทหาร ! ”
“เป็นชายชาติทหาร ทุกวันต้องมานะบากบั่น…”
คาดมิถึงว่าเสียงร้องเพลงของทหารสามร้อยนายจะสามารถกำราบเสียงคำรามทั่วทั้งสนามรบได้ !
ดาบของทหาร 300 นาย คาดมิถึงว่าจะตวัดได้อย่างไหลลื่นท่ามกลางศัตรูนับหนึ่งแสนกว่านายทั้งอย่างนั้น
ในยามนั้น ก็ได้มีเสียงร้องเพลงดังสนั่นขึ้นมาจากทางด้านหลังของพวกเขาอย่างคาดมิถึง
“ชายฉกรรจ์เลือดร้อน กระหายชัยชนะที่เร่าร้อน… ! ”
“บุกเข้าไป ! สังหารพวกมัน ! ”
เสียงเกือกม้าดังขึ้นมาราวกับเสียงสายฟ้าฟาด ต่อจากนั้นก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นอีกหลายนัดตามมาติด ๆ
ในช่วงเวลาสั้น ๆ หยูติ้งชานและหยูติ้งเหอก็รู้สึกวางใจลงได้มากเลยทีเดียว “ท่านแม่ทัพกวนมาถึงแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“เขายังกินขี้เถ้าอยู่ด้านหลังโน่น เป็นท่านแม่ทัพท่าป๋าเฟิงที่มาถึงแล้ว ! ”
“แบ่งคนคุ้มกันพวกเขาเอาไว้ ส่วนทหารนายอื่น ๆ ตามข้าบุกไปสังหารพวกที่เหลือ ! ”
หยูติ้งชานหัวเราะร่าขึ้นมา ท่านแม่ทัพท่าป๋าเฟิงมาถึงแล้ว พวกเขารอดแล้ว !
หยูติ้งเหอทรุดตัวลงกับพื้นในทันใด เขาถอดหมวกออก จ้องมองไปยังท้องนภาที่เริ่มสว่างโร่ขึ้นมา จากนั้นก็ส่งเสียงหวีดร้องราวกับจะขาดใจ “อ๊าก อ๊าก อ๊าก… ! ”
เป็นคราแรกที่พวกเขาสังหารมนุษย์ด้วยกัน !
เป็นคราแรกที่พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับความตาย
พวกเขาสังหารไปเท่าใดก็มิอาจรู้ได้ ความตายอยู่ห่างจากพวกเขาเพียงแค่เส้นบาง ๆ กั้นเท่านั้น !
นี่คือความโล่งอกที่สามารถหลบหนีออกมาจากความตายได้ คือการรำลึกถึงสหายร่วมรบที่ตกตายอยู่ในสนามรบ
กองพลทหารม้า 5,000 นาย บัดนี้เหลือเพียง 300 นายเท่านั้น
ในสายตาของสองพี่น้อง นี่คือความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่
ทว่าในสายตาของท่าป๋าเฟิง นี่คือปาฏิหาริย์ครั้งยิ่งใหญ่ต่างหาก !
เมื่อมองไปรอบ ๆ ล้วนมีศพนอนเกลื่อนอยู่ทั่วสารทิศ
โลหิตเจิ่งนองไปทั่วทุ่งหญ้า จนถึงขั้นสะสมจนกลายเป็นบึงโลหิต
กองทัพของศัตรูแตกกระจายอย่างรวดเร็ว กองทัพทหารม้าของท่าป่าเฟิงยังคงไล่ตามไป ส่วนท่าป๋าเฟิงได้ย้อนกลับมาหาพวกเขา
“พวกเจ้ามีนามว่าเยี่ยงไร ? ”
“ข้าน้อยคือหัวหน้ากองพลที่หนึ่งจากกองทัพบกที่หนึ่ง หยูติ้งชานขอรับ”
“ข้าน้อยคือหัวหน้ากองพลที่สองจากกองทัพบกที่หนึ่ง หยูติ้งเหอขอรับ ! ”
ท่าป๋าเฟิงคุกเข่าลงกับพื้นพลางประคองมือขึ้นเพื่อแสดงความเคารพให้กับพวกเขาทั้งสองคน “พวกเจ้าทำได้ดีมากยิ่งนัก สนใจมาเข้าร่วมกองทัพทหารม้าของข้าหรือไม่ ข้าจะให้ตำแหน่งผู้บัญชาการแก่พวกเจ้า”
นี่…สองพี่น้องต่างก็สบสายตาจ้องหน้ากัน ขนมก้อนนี้ช่างเย้ายวนเสียเหลือเกิน
ทว่าทันใดนั้น หยูติ้งชานก็ได้ส่ายหน้าไปมา “พวกเราคือคนที่ท่านแม่ทัพกวนเลือกมา ต้องขออภัยด้วยจริง ๆ ”
เฮ้อ…ท่าป๋าเฟิงรู้สึกเสียดายมากยิ่งนัก ชายหนุ่มเยี่ยงนี้ดุดันราวกับเสือร้ายในป่าลึก
“พวกเจ้าลองใคร่ครวญดูอีกครา หรือจะให้ข้าไปเจรจากับท่านแม่ทัพกวนของพวกเจ้าดี พวกเจ้าอยู่พักผ่อนอยู่ที่นี่เถิด ข้าต้องไปไล่ตามข้าศึกแล้ว”
“พวกข้ายังสู้ได้ ! ”
หยูติ้งชานลุกขึ้นยืน หยูติ้งเหอสวมหมวกอีกครา
“สู้กับผีสิ ! หากถูกพวกเจ้าแย่งคุณงามความดีไปหมด แล้วจะเหลืออันใดให้กองทัพทหารม้าของข้าอีกกัน ? อยู่ที่นี่แหละ พักผ่อนเสีย นี่คือคำสั่ง ! ”
ท่าป๋าเฟิงพลิกตัวขึ้นบนหลังม้า จากนั้นก็ห้อตะบึงออกไปอย่างรวดเร็ว
สองพี่น้องแซ่หยูชะงักงันไปชั่วครู่ พลางหันไปมองสหายร่วมรบข้างกายที่เหลือเพียง 300 นาย ทันใดนั้นหยูติ้งเหอก็เอ่ยขึ้นมาว่า “พี่…เหมือนว่าเขาจะควบคุมพวกเรามิได้นะ”
หยูติ้งชานมองไปยังทหารคนอื่น ๆ “พวกเจ้าสามารถรบต่อได้หรือไม่ ? หากมิได้แล้ว พวกเจ้าก็พักผ่อนรอท่านแม่ทัพกวนอยู่ที่นี่เถิด หากยังสามารถไปต่อได้…ก็จงไปหาม้าของตนเองมา ! ”
“เรียนหัวหน้า พวกเราสูญเสียสหายร่วมรบไปจำนวนมาก มิว่าเยี่ยงไรก็ต้องจับตัวผู้บัญชาการของกองทัพศัตรูมาให้ได้ ! ”
“หัวหน้า…พวกเราไปสู้ต่อกันเถอะ ! ”
“เพื่อสหายที่ตกตายไปในสนามรบ เพื่อเกียรติยศของกองพลทหารม้า หัวหน้า…พวกเราขอร่วมรบด้วย ! ”
“ดี ! พี่น้องทั้งหลาย หลังจากจบศึกครานี้ ข้าจะขอเลี้ยงสุราพวกเจ้าที่เมืองยวี่ซิ่ว ! ”
เวลาเพียง 1 ถ้วยชา ทหารทั้งสามร้อยนายก็หาม้าศึกมาได้กันถ้วนทั่ว บัดนี้ยามรุ่งอรุณได้มาเยือนแล้ว พวกเขาห้อตะบึงอาชาศึกทะยานไปเบื้องหน้าอย่างมิรู้จักเหน็ดจักเหนื่อย
ครึ่งชั่วยามให้หลัง กองกำลังหลักของกองทัพบกที่หนึ่งก็ได้เดินทางมาถึงที่นี่
ท้องนภาสว่างโร่แล้ว พวกเขาจ้องมองไปยังสนามรบที่ราวกับนรกเบื้องหน้า กวนเสี่ยวซีตะโกนเสียงดังขึ้นมาว่า “หา… หาศพของกองพลทหารม้าทั้งหมดมาให้ข้า ! ”
เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องนภาอย่างสิ้นหวัง ท้องนภาที่ขมุกขมัว มีฝนตกลงมาปรอย ๆ
“พวกเจ้าอย่าเพิ่งตายล่ะ มิเช่นนั้นข้าจะไปพบหน้าท่านแม่ทัพเผิงได้เยี่ยงไร ! ”