ตอนที่ 1052 อำนาจ

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 1052 อำนาจ

เมื่อท้องฟ้าเริ่มสาง

เฮ้อซานเตาก็ได้มาเยือนพระราชวังต้าติ้งด้วยความเร่งรีบและพิจารณาอย่างละเอียด

เชื้อพระวงศ์และขุนนางคนสำคัญของราชวงศ์เหลียวถูกคุมตัวมารวมกันไว้ที่นี่

นี่คือสงครามที่สมบูรณ์แบบมากยิ่งนัก คนที่ต้องการจะหนีก็หนีมิพ้นแม้แต่คนเดียว พวกเขาถูกขังรวมกันอยู่ในพระราชวังต้าติ้ง

“เสี่ยวถัง จงไปเชิญฮ่องเต้และองค์ชายรองออกมา จากนั้นให้พาพวกเขาไปที่ห้องทรงพระอักษร ! ”

เฮ้อซานเตากำชับและรีบเร่งให้ซุยเยว่หมิงไปยังห้องทรงพระอักษร

รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาถูกเก็บลง จากนั้นก็เอ่ยด้วยท่าทางจริงจังว่า “รายงานจากหอเทียนจีแม่นยำหรือไม่ ? ”

“ย่อมแม่นยำแน่นอนอยู่แล้ว กองทัพอสนีบาตจำนวน 450,000 นายกำลังเดินทางมาที่นี่ คาดว่าช้าสุดพรุ่งนี้เช้าก็คงจะเดินทางมาถึงแล้ว”

“แล้วเว่ยอู๋ปิ้งเล่า ? ”

“พวกเขาจะต้องข้ามผ่านภูเขาเยี่ยนต้วนและภูเขาต้าเซียนเปยถึง 2 แห่ง ต่อให้ว่องไวเพียงใด พวกเขาก็จะมาถึงช้ากว่าซูฉางเซิงเป็นเวลา 3 วัน ! ”

“แล้วพวกกวนเสี่ยวซีเล่า ? ”

“พวกเขาอยู่ห่างออกไปจากที่นี่มากนัก อย่างน้อยที่สุดก็ต้องใช้เวลาถึง 10 วัน อ้อ…จริงสิ ! มีเพียงทหารเรือกองทัพที่หนึ่งเท่านั้นที่เพิ่งจะเทียบท่าจากเมืองจินกู แต่คาดว่าพวกเขาต้องใช้เวลาเดินทางราว 2 วันกว่าจะเดินทางมาถึงที่นี่”

เฮ้อซานเตาขมวดคิ้วมุ่น จากแผนการในตอนนี้ตนจะต้องทำการคุ้มกันเมืองต้าติ้งอย่างน้อย 3 วัน

เขาเงยหน้าขึ้นพลางทำท่าทางครุ่นคิด เนื่องจากเขามีทหารอยู่ในมือเพียง 20,000 นาย หากต้องการสกัดกั้นทหารของซูฉางเซิงจำนวน 450,000 นายที่ถูกอบรมมาอย่างดีได้นั้น ต่อให้เป็นกำแพงอันแข็งแกร่งของต้าติ้ง ก็คาดว่าคงป้องกันได้ยาก

เมืองนี้ช่างใหญ่โตเสียจริง ทหารเพียง 20,000 นายจะเพียงพอต่อการคุ้มกันทั้งสี่ทิศได้เยี่ยงไร

เขาจำเป็นต้องสละกำแพงเมืองด้านนอก และคุ้มกันเพียงเมืองด้านใน

ทหารของราชวงศ์เหลียวเหล่านี้ แม้จะมิได้มีกำลังมากมายเท่าใดนัก ทว่าหากให้พวกเขาทำการคุ้มกันเมืองก็น่าจะมีประโยชน์บ้าง

ให้ตายเถิด ! ซูฉางเซิง เจ้าจะกลับมาหาบิดาเจ้าหรือเยี่ยงไร ?

นี่ต้องการเพิ่มทางตันให้เขาใช่หรือไม่ ?

เฮ้อซานเตาสูดลมหายใจเข้าลึก จากนั้นก็เอียงตัวโน้มเข้าไปด้านหน้าพลางเอ่ยกับซือเยว่หมิงอย่างเจ้าเล่ห์ว่า “ท่านเยว่หมิง… การตรวจสอบคลังของราชวงศ์เหลียว ท่านจะสั่งให้คนของเทียนจีหละหลวมสักหน่อยได้หรือไม่ ? ”

“ท่านดูสิ ! พวกเราเดินทางมาจากแดนไกล กว่าจะเข้ายึดครองเมืองต้าติ้งได้ ทหารแต่ละนายล้วนเหนื่อยล้ากันทั้งสิ้น แน่นอนว่าพี่น้องจากหอเทียนจีก็มีส่วนร่วมด้วยเช่นกัน ข้าหมายความว่า…”

“ช้าก่อน ! ท่านแม่ทัพเฮ้อนี่เป็นคลังของประเทศ กรมคลังมีการทำบัญชีรายรับรายจ่ายอย่างชัดเจน ท่านกล้าทำการทุจริตเยี่ยงนั้นหรือ ? มิกลัวว่าศีรษะจะหลุดจากบ่าหรือเยี่ยงไร ? ”

“ท่านเอ่ยเช่นนี้ก็มิถูก ข้าเฮ้อซานเตาจะมิทำการทุจริตแม้แต่ตำลึงเดียว ข้าเพียงต้องการเงินสนับสนุน นี่พวกเขาต้องสู้กับซูฉางเซิงอย่างสุดชีวิตมิใช่หรือ ? ข้าอยากให้พวกเขาได้ลิ้มรสความหวานเสียก่อน กรมคลัง…เผากรมคลังทิ้งเสียก็หมดเรื่องแล้วมิใช่หรือเยี่ยงไร ? ”

ซือเยว่หมิงจ้องมองไปยังเฮ้อซานเตา จนเฮ้อซานเตารู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมาทันใด แต่ทันใดนั้นเขาก็เอ่ยออกมาว่า “ตกลง ! ”

เฮ้อซานเตารู้สึกดีใจมากยิ่งนัก “จริงหรือ ? ”

“จริง ! เพียงคุ้มกันเมืองต้าติ้งเอาไว้ได้ เงินที่ข้าดูแลอยู่จะช่วยผ่อนปรนให้เจ้าจำนวนเท่านี้…” ซือเยว่หมิงชูนิ้วชี้และนิ้วกลางขึ้นมา “200,000 ตำลึงเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“หาใช่ไม่…2,000,000 ตำลึงต่างหากเล่า ! เจ้ามีทหารอยู่ 20,000 นาย แต่ละนายจะได้รับคนละ 100 ตำลึง ! ”

เฮ้อซานเตาดีใจจนกระโดดโลดเต้น เขาถูมือทั้งสองข้างไปมา “ตกลงตามนี้ ! ข้ายอมแลกชีวิต เพื่อที่จะคุ้มกันเมืองต้าติ้งเอาไว้ให้ได้ ! ”

ขณะเดียวกันถังเชียนจวินก็ได้พาคนผู้หนึ่งเดินเข้ามาด้านใน “ตกลงอันใดกันอยู่เยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“มิต้องเอ่ยถามให้มากความ อีกประเดี๋ยวเจ้าจงพาทหารทั้งหมดไปยังนอกเมือง และขับไล่ชาวบ้านออกไปให้หมด จากนั้นให้นำเสบียงอาหารของทุกคนลำเลียงมาเก็บไว้ในเมือง จำเอาไว้ว่าเรื่องนี้ต้องจัดการโดยด่วน ก่อนท้องนภาจะมืดมิด พวกเจ้าต้องทำภารกิจนี้ให้เสร็จสิ้น ! ”

“ท่านมิกลัวว่าชาวบ้านจะพากันคัดค้านเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“พวกเขาจะกล้าเยี่ยงนั้นหรือ ? จงไปบอกกับพวกเขาว่าผู้ใดที่ยินยอมจากไป อนุญาตให้นำทรัพย์สมบัติติดตัวไปด้วยได้ ส่วนผู้ที่มิยินยอมเดินทางจากไปก็จงรอความตายอยู่ในเมืองเถิด ! ”

ถังเชียนจวินยังจะทำอันใดได้อีกเล่า ? เฮ้อซานเตาเป็นผู้บังคับบัญชาในสนามรบนี้ ดังนั้นจำต้องฟังคำสั่งของเขา

เขาจึงทำได้เพียงหันหลังแล้วเดินจากไป เฮ้อซานเตาหันกลับมาพลางยิ้มต้อนรับเยลู่ชิงและเยลู่ซู่ “มาเถิด ๆ เชิญนั่งก่อน คงต้องลำบากพวกเจ้าไปก่อน เมื่อใดที่ข้ากำจัดซูฉางเซิงได้แล้ว พวกเจ้าก็จะปลอดภัย”

“ทหาร…จงคลายเชือกให้แก่ท่านทั้งสองประเดี๋ยวนี้ พวกเจ้ามัดเขาทั้งสองเอาไว้เช่นนี้เป็นการดีแล้วจริง ๆ หรือ ? ถึงเยี่ยงไรพวกเขาก็เป็นฮ่องเต้แห่งราชวงศ์เหลียว เร็วเข้า ! ทหารต้าเซี่ยของพวกเราปฏิบัติต่อเชลยศึกอย่างดีเสมอมา นี่คือกฎ…อย่าได้สร้างความวุ่นวายให้แก่ข้าเชียว ! ”

เยลู่ชิงมีท่าทางกระสับกระส่าย พวกเขาทั้งสองคนถูกมัดอยู่หนึ่งคืนเต็ม ทว่าบัดนี้กลับเพิ่งมาเอ่ยเช่นนี้ นี่หมายความว่าอย่างไรกัน ?

เฮ้อซานเตาชงชามาหนึ่งกา จากนั้นก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เมื่อครู่ที่ข้าออกคำสั่งกับเสี่ยวถังพวกท่านทั้งสองได้ยินแล้วใช่หรือไม่ ? ”

“เรื่องเป็นเช่นนี้ เดิมทีข้าเพียงแค่ต้องการจะจับพวกท่านทั้งสองเป็นตัวประกัน จากนั้นก็นำทรัพย์สมบัติเงินทองในคลังของราชวงศ์เหลียวกลับไปยังต้าเซี่ย ข้าเองก็มิได้ประสงค์จะทำสงครามกับทหารของซูฉางเซิงจำนวน 450,000 นายนี้หรอก เจ้ามิรู้หรอกว่าข้าเองก็จำใจเช่นกัน องค์จักรพรรดิของข้าชี้คำขาดมาว่า ให้ข้านั้นคุ้มกันเมืองต้าติ้งเอาไว้ให้ดี ปัญหาในตอนนี้ก็คือ ท่านทั้งสองสามารถช่วยข้าได้หรือไม่ ? ”

บัดซบ ! เจ้ายึดครองพระราชวังของข้า บัดนี้ยังจะให้ข้าร่วมมือกับเจ้าอีก ในใต้หล้านี้มีคนหน้าด้านเยี่ยงนี้อยู่จริง ๆ หรือ ?

เยลู่ชิงยกยิ้มขึ้นแล้วเอ่ยว่า “ซูฉางเซิงถือเป็นน้องของข้า หากเขาทำลายพวกเจ้าทิ้งเสีย ราชวงศ์เหลียวก็จะยังเป็นของตระกูลเยลู่ต่อไป เจ้าคิดว่า…เหตุใดข้าต้องช่วยเจ้าด้วยเล่า ? ”

“อ่า…ท่านหมายความว่า การที่ท่านมีชีวิตอยู่นั้นไร้ประโยชน์แล้วสินะ ? ”

หลังจากเฮ้อซานเตาเอ่ยจบ เขาก็ได้หยิบปืนคาบศิลาออกมาจากกระเป๋าแล้วเล็งไปยังศีรษะของเยลู่ชิง “ข้าจะให้เวลาเจ้าคิดชั่วครู่ หากว่าเจ้าไร้ประโยชน์อย่างแท้จริง จะมีคนเยี่ยงเจ้าให้เปลืองอาหารเนื่องด้วยเหตุอันใด ใช่หรือไม่ ? ”

“ข้าเป็นคนง่าย ๆ หากปืนของข้าลั่นใส่ศีรษะของเจ้า นั่นถือว่าเจ้าทำตนเอง”

“ข้าจะนับสาม หลังจากข้านับจบแล้ว เสียงดังปังเพียงคราหนึ่ง สมองของเจ้าก็จะกระจัดกระจายออกมาเฉกเช่นปรมาจารย์ผู้นั้น”

“สาม… ! ”

เยลู่ชิงจะคาดคิดได้เยี่ยงไรว่าเจ้าหมอนี่จะมิเดินตามหมากที่เขาวางเอาไว้ เขาเป็นถึงฮ่องเต้ ทว่าในสายตาของเจ้าหมอนี่ เขากลับไร้ความสำคัญใด ๆ

“สอง… ! ”

เยลู่ชิงมิเชื่อว่าเฮ้อซานเตาจะกล้าสังหารเขา เนื่องจากต่อให้ต้าเซี่ยยึดครองอาณาจักรของราชวงศ์เหลียวได้สำเร็จ พวกเขาก็จำเป็นต้องทำให้ชาวบ้านมีความมั่นคงทางจิตใจเสียก่อน หากต้าเซี่ยปลิดชีพฮ่องเต้ของพวกเขา เกรงว่าหัวใจของราษฎรคงจะแตกสลาย

ดังนั้นเยลู่ชิงจึงยกยิ้มเย้ยหยันพลางหยิบถ้วยชาขึ้นมา

“หนึ่ง… ! ”

ในขณะที่ถ้วยชาเพิ่งจะสัมผัสกับริมฝีปากของเยลู่ชิง หัวใจของเยลู่ซู่ก็แทบจะหลุดออกมา เขาจ้องมองไปยังปืนสีดำกระบอกนั้น

“ปัง… ! ”

“ตุ้บ… ! ”

เสียงดังในคราแรกเป็นเสียงของกระสุนปืนที่เจาะเข้ากับศีรษะของเยลู่ชิง

ส่วนเสียงที่สองที่ตามมานั้นเป็นเสียงของถ้วยน้ำชาที่ร่วงหล่นลงสู่พื้น ถ้วยน้ำชามิได้แตกกระจาย ทว่ากลับกระเด็นกระดอนออกไปไกล

ซุยเยว่หมิงสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ เจ้าหมอนี่กล้าปลงพระชนม์ฮ่องเต้แห่งราชวงศ์เหลียวเชียวหรือ ?

หากเก็บเขาไว้เป็นตัวประกัน ก็น่าจะมีประโยชน์มากกว่ามิใช่หรือ !

เฮ้อซานเตาเป่าเขม่าจากควันปืน จากนั้นก็บรรจุกระสุนนัดต่อไป เขาหรี่ตาลง จากนั้นก็ยกยิ้มขึ้นพลางจ้องมองไปยังใบหน้าของเยลู่ซู่ “แล้วเจ้าเล่า ? เจ้ามีประโยชน์หรือไม่ ? ”

เสียงปืนนัดเมื่อครู่ทำเอาเยลู่ซู่แตกตื่นจนแทบเสียสติ เขามิเคยเห็นผู้ใดเด็ดขาดเช่นนี้มาก่อน !

เสด็จพ่อของเขากลับต้องมาตกตายไปต่อหน้าต่อตาเขาเช่นนี้ !

เขากลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ พลางจ้องมองไปทางเฮ้อซานเตาด้วยความหวาดกลัว จากนั้นก็พยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “ข้า… ข้ายังมีประโยชน์อีกมากโข ข้าสามารถทำประโยชน์ได้มากนัก ! ”

“เยี่ยงนั้นหรือ เช่นนั้นเจ้าจงเอ่ยมา…”

“เอ่อคือ…กองทัพฝ่ายเหนือจำนวน 200,000 นายกำลังเดินทางมาที่นี่ คาดว่าจะมาถึงในเย็นวันนี้ พวกเขาล้วนเป็นทหารของข้าทั้งสิ้น ! ”

เฮ้อซานเตายกยิ้มขึ้นอย่างมีความสุข เขาเก็บปืนลงไปในกระเป๋าพลางเอื้อมมือไปตบบ่าของเยลู่ซู่ “ดี ! เจ้ามีประโยชน์จริง ๆ ด้วย นับแต่นี้ต่อไปเจ้าเป็นสหายของเฮ้อซานเตา ! ”