ภาคที่ 6 บทที่ 41 แบ่งกองกำลัง

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 41 แบ่งกองกำลัง

จังหวะเดียวกันกับที่เสิ่นจืออันมัวแต่ไล่ล่ากัวเหวินฉาง สถานการณ์ใกล้เขาหมื่นดาบก็เริ่มดำเนิน

ครั้งแรกที่กัวเหวินฉางปรากฏตัว ยังมีศิษย์นิกายไร้ขอบเขตที่ติดตามเขามาด้วยเช่นกัน

และ ‘บังเอิญว่า’ ติดตามมาด้วยมากถึง 12 คน

แต่ละคนก็มีสมบัติหลายชิ้นเป็นของตนเอง ด่านผลาญจิตวิญญาณทั้ง 12 คนเองก็ไล่ล่าตัวทำเงินไปด้วย

ทุกอย่างดำเนินไปอย่างเป็นธรรมชาติมากจนกระทั่งภายในพริบตาเดียว ก็เหลือคนด่านสู่พิสดารไว้กลุ่มหนึ่งเท่านั้น

ทหารที่เหลือบตามองกัน หัวหน้าพวกเขาแยกกันไล่ตามส่วนทำเงินที่ดีที่สุดไปแล้ว ใช้เวลาคิดระยะหนึ่ง พวกเขาจึงตัดสินใจแบ่งผลประโยชน์ที่เหลือกัน

แม้ว่าจะต้องส่งมอบของส่วนมาก แต่ก็ยังหาประโยชน์ใดบ้าง

ดูจากที่ซูเฉินมักฉกชิงเอาของมาอยู่เรื่อย นับว่าถึงเวลากรรมตามสนองแล้ว

ผู้โจมตีเหินร่างลงมายังเขาหมื่นดาบอย่างรวดเร็วราวกับอีแร้งหิวกระหาย

เป็นตอนนั้นที่รถศึกบนภูเขาถูกทุบทำลายอย่างไร้ความปราณี ทำเอาผู้เชี่ยวชาญตรงจุดนั้นระส่ำระสาย

แต่เมื่อพวกเขาเท้าแตะพื้น ก็พบว่าสภาพแวดล้อมรอบกายพลันเปลี่ยนไป ศัตรูไม่ได้กำลังตกที่นั่งลำบาก แต่กลับรวมกลุ่มกันแล้วขังพวกเขาไว้ภายในจากทุกด้านต่างหาก

ศิษย์นิกายไร้ขอบเขตยืนเรียงเป็นค่ายกล จ้องมองผู้บุกรุกหน้าเคร่ง เหมือนจะมีกันนับพัน

ค่ายกลมายา ?

ทุกคนชะงัก

ที่เห็นอยู่ก่อนหน้านี้เป็นภาพมายาหรือ ?

เช่นนั้นนิกายไร้ขอบเขตเตรียมพร้อมรับการโจมตีครั้งนี้แล้วงั้นสิ ?

แต่เมื่อพวกทหารรู้ว่ากองกำลังที่ทุกคนกำลังเผชิญหน้ามีพลังเพียงแค่ธรรมดา ความกลัวความกังวลก็หายไปในพลัน

ผู้ฝึกตนที่อายุน้อยกว่าคนหนึ่งชูธงศึกในมือแล้วตะโกนลั่น “สู้ !”

“สู้ !” ศิษย์ทั้งหลายตอบกลับเสียงแข็งขัน

“อาวุธ !” ผู้เชี่ยวชาญด้านหน้าคนหนึ่งร้องขึ้น คนอื่น ๆ จึงคว้าอาวุธขึ้นมาฟาดทั้งมี ทั้งดาบ ทั้งหอก และขวานรบใส่ศัตรูในคราเดียว

แม้จะเป็นอาวุธที่สร้างขึ้นจากพลังต้นกำเนิด แต่ก็มีพลังทำลายล้างน่าเกรงขาม สร้างร่องรอยทำลายผ่ากลางวงศัตรู กวาดล้างสิ่งที่ขวางทาง

ด่านสู่พิสดารทั้ง 50 คนเริ่มหมุนเวียนพลังแล้วร้องขึ้น “เป็นเพียงสุนัขแต่ยังกล้าอวดดีเช่นนี้ได้ !”

คลื่นพลังผันผวน ด่านสู่พิสดารทั้ง 50 คนออกท่าโจมตีพร้อมกัน เกิดเป็นบ่อพลังแห่งความตาย อาวุธของคู่ต่อสู้ถูกพวกมันทำลายสิ้น

ทว่าศิษย์นิกายไร้ขอบเขตเหมือนไม่กังวล ผู้นำหน้าออกคำสั่ง “เปลวเพลิง !”

ต่อมาผู้เชี่ยวชาญก็ปลดปล่อยคลื่นพลังเพลิงรุนแรงพุ่งออกไป

วิชาที่ถูกปลดปล่อยไปในคราวเดียวเหล่านี้ยิ่งทำให้รับมือลำบากมากขึ้นแม้จะเก่งกล้าสามารถก็ตาม

กระนั้นด่านสู่พิสดารทั้ง 50 คนก็ไม่ได้มีเพียงฝีมือแต่มีจำนวนคนมากด้วย ทหารนับพันเท่านี้ทำอะไรพวกเขาไม่ได้หรอก

ด่านสู่พิสดารมองหน้ากันแล้วหัวเราะ ปล่อยคลื่นพลังลมออกมาดับเปลวเพลิงจนมอด

หนึ่งในนั้นกระทั่งกล่าวว่า “มีเล่ห์กลอยู่ไม่ใช่น้อย แต่ดันมีกำลังจำกัด แล้วจะเล่นอุบายอะไรได้ ?”

“ใช่แล้ว อย่ามามัวเสียเวลา จัดการพวกมันเลยเถอะ” คนอื่นตอบ

ความตกใจที่ถูกลอบโจมตีเริ่มเลือนหายแล้ว

แต่ในตอนที่เมฆหมอกจางลง กลับมีทหารอีกกลุ่มปรากฏขึ้น

“อีกกลุ่มหรือ ? เหมือนกับพากันมาตายจริง ๆ” คนหนึ่งเอ่ยเยาะ

“เดี๋ยวก่อน คนกลุ่มนี้ดูแปลก ๆ” อีกคนกล่าวขึ้นแล้วชี้นิ้วไปยังทหารที่กำลังมุ่งหน้าเข้ามา

ทุกคนจึงรู้ว่ามีสิ่งใดแปลกไปทันที

ทหารกลุ่มที่ 2 มีจำนวนราวพันคนเช่นกัน แต่กลิ่นอายพิเศษกว่านัก ทั้งหมดล้วนอยู่ด่านสู่พิสดารหรือ ?

เป็นไปได้ยังไงกัน ?

คงเป็นวิชามายาอีกแน่

ใช่ ต้องเป็นอย่างนั้นแน่ !

ทุกคนคิดเช่นนั้น

กองทัพด่านทะลวงลมปราณและด่านกลั่นโลหิตหลายพันคนไม่ใช่เรื่องแปลก แต่หากเป็นกองทัพด่านสู่พิสดารนับพันคน เช่นนี้ไม่นับว่าปกติ

เมื่อผู้บุกรุกคิดได้ดังนี้ จึงมั่นใจหนักหนาว่าทหารกลุ่มที่มาใหม่เป็นเพียงภาพมายาเท่านั้น

เป็นตอนนั้นเองที่ทหารกลุ่มใหม่ซัดพลังโจมตีออกมา

ครั้งนี้เป็นคนผู้หนึ่งนำหน้ามา ปล่อยท่าดัชนีซัดเข้าใส่ศัตรู จากนั้นกองทัพหนึ่งพันก็โจมตีตามมาด้วย เปลวเพลิงโหมกระหน่ำรุกคืบเข้ามา

กำลังมากระดับนี้ควรจะเป็นของด่านมหาราชัน ทหารพันนายกลับสามารถแสดงมันออกมาได้

แต่นั่นก็ยิ่งทำให้ผู้เชี่ยวชาญอาณาจักรหลงซางคิดว่านั่นเป็นเพียงภาพลวงเท่านั้น

ด่านสู่พิสดารที่แท้จริงเป็นพวกรักอิสระ เป็นไปไม่ได้ที่จะสมัครสมานสามัคคีเช่นนี้ หรือจะสามารถร่วมมือกันได้อย่างดีเช่นนี้

พวกเขามั่นใจมากจนไม่คิดจะปัดป้องเลยด้วยซ้ำ มองภาพเพลิงตรงหน้าเป็นเพียงภาพลวงตา ดังนั้นผลที่ตามมาจึงจินตนาการได้ไม่ยาก

พริบตาต่อมาพวกเขาก็ถูกกองเพลิงกลืนกิน

หากด่านสู่พิสดารทั้ง 50 คนคิดจะหนีสักหน่อย กองกำลังที่มาใหม่ก็คงไม่สามารถโจมตีกวาดล้างพวกเขาไปได้ทั้งหมดโดยง่ายเช่นนี้ อย่างไรพวกเขาก็เป็นด่านสู่พิสดารผู้มีประสบการณ์ ส่วนศิษย์นิกายไร้ขอบเขตยังไม่เจนสนามรบมาก ที่สำคัญคือหากพวกเขาหนีไปก็คงเสียเวลาติดตามมากทีเดียว

แต่ในความเป็นจริงนั้นแตกต่าง จากการที่ตอนแรกพวกเขาถูกภาพมายาหลอกลวงทำให้เกิดเงามืดในจิตใจ ด่านสู่พิสดารทั้ง 50 คนจึงไม่คิดหลบหลีกปัดป้อง ส่งผลให้ถูกสังหารตายคาที่ทันที

คนเหล่านี้สมควรจะเป็นแรงสำคัญของกองกำลังบุกรุกด้วยซ้ำ แต่แค่ไม่ทันใส่ใจชั่วครู่กลับส่งผลให้ถูกสังหารสิ้น ที่น่าเศร้าไปกว่านั้น ผู้โจมตีจากหลงซางไม่รู้เลยว่าเกิดเรื่องนี้ขึ้น

ค่ายกลมายาที่ตั้งอยู่รอบเขาหมื่นดาบปิดบังกลิ่นอายผู้ลอบโจมตีไว้จนสิ้น ทำให้คนนอกค่ายกลไม่สามารถรู้ได้เลยว่าเกิดอะไรด้านใน ส่งผลให้ศิษย์นิกายไร้ขอบเขตมีโอกาสสังหารมากขึ้น

รถสึกทั้ง 300 คันติดอยู่ไหน ‘สงครามหมู่คน’ ผู้เชี่ยวชาญนิกายไร้ขอบเขต 18,000 คนใช้ประโยชน์จากสภาพภูมิประเทศ ค่ายกล เครื่องมือต้นกำเนิด ยาเม็ด และวิชาลับอื่น ๆ เพื่อต่อสู้กับกองทหารหลวง คนด่านสู่พิสดารไม่ได้เข้าร่วมด้วยเพราะมีเป้าหมายสำคัญกว่าที่ต้องสังหาร และเห็นว่าศิษย์คนอื่น ๆ จะได้ใช้โอกาสนี้ฝึกปรือฝีมือ แต่แน่นอนว่าเพื่อให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุด สุดท้ายก็ยังส่งด่านสู่พิสดารออกไปราว 30 คนเพื่อปกป้องศิษย์นิกายอยู่ดี

ด่านสู่พิสดารคนอื่นก็ตั้งค่ายกลและเตรียมลอบโจมตีศัตรูอีกครั้ง

แม้นิกายไร้ขอบเขตจะมีด่านสู่พิสดารนับพันคน โดยเกือบทั้งหมดเพิ่งจะทะลวงพลังได้แล้ว แต่กำลังจากด่านหยั่งรู้ฟ้าดินขั้นสุด กับด่านผลาญจิตวิญญาณผู้มีประสบการณ์ 12 คน และด่านสู่พิสดารทั้ง 50 คนนั้นไม่อาจดูถูก แม้จะเอาชนะไปได้ แต่ก็ต้องเสียหายไม่ใช่น้อย

ดังนั้นทางที่ดีที่สุดคือการแบ่งกลุ่มเพื่อเอาชนะ จากนั้นเมื่อศัตรูอ่อนแอมากพอก็กวาดล้างเสียให้สิ้นทีเดียว

แม้จะเป็นอุบายที่ใช้กันมายาวนานมาก แต่ก็ยังนับว่าได้ผลไม่เลว

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อฝ่ายศัตรูไม่รู้ว่าพวกเขาแข็งแกร่งขนาดไหน

หลังสังหารด่านสู่พิสดารทั้ง 50 คนได้แล้ว เหยียนทั่วไห่ที่เป็นผู้นำด่านสู่พิสดารในนิกายจึงเอ่ย “ไปจัดการด่านผลาญจิตวิญญาณทั้ง 12 คนนั้นด้วยเถอะ”

เหล่าคนด่านสู่พิสดารจึงแบ่งออกเป็น 12 กลุ่มและเหินร่างจากไปต่างทิศทาง เพราะทิศทางที่เหยื่อล่อจะหนีไปนั้นได้วางแผนไว้ล่วงหน้าแล้ว โดยแต่ละกลุ่มมีสมาชิกประมาณ 80 คน

ปกติแล้วด่านสู่พิสดารสัก 10 คนก็มากพอจะโค่นด่านผลาญจิตวิญญาณได้แล้ว ใช้ 80 คนถือว่ามากเกินเหตุด้วยซ้ำ ดังนั้นใช้เวลาไม่นานก็คงจัดการเป้าหมายได้

ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครรีรอให้เสียเวลา รีบพุ่งตัวไปสู่จุดมุ่งหมายเต็มกำลัง

ปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการต่อสู้คือความเร็ว หากว่ารอนานเกินไป ผู้ที่รับหน้าที่เป็นเหยื่อล่อก็จะตกอยู่ในอันตราย

และคนที่ตกอยู่ในอันตรายร้ายแรงที่สุดก็คือกัวเหวินฉาง

คนที่เป็นเหยื่อล่อเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด แต่ก็ต้องเป็นคนที่ต้องเอาชีวิตรอดได้นานที่สุดเช่นกัน

กัวเหวินฉางยังคงเหินร่างอยู่บนฟ้า

“ฮ่า ๆๆ! อยากจะรู้นักว่าจะหนีไปได้สักแค่ไหน ถ้าหากรู้ผิดชอบชั่วดีก็ส่งสมบัติเหล่านั้นมาเดี๋ยวนี้ ! ข้าสัญญาว่าจะไว้ชีวิตเจ้า”เสิ่นจืออันหัวเราะเสียงดัง ดูมีชีวิตชีวาไม่ใช่น้อย

คู่ต่อสู้ของเขานำเครื่องมือต้นกำเนิด 6 ชิ้นออกมาใช้ แต่ละชิ้นนับเป็นสมบัติล้ำค่า จากความสงบเลยเริ่มกลายเป็นความเดือดดาล

ยิ่งอีกฝ่ายหยิบสมบัติออกมามากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งมั่นหมายปั้นมือว่าจะต้องจับตัวอีกฝ่ายให้ได้เท่านั้น

น่าเสียดายที่สมบัติส่วนมากมีคุณสมบัติในการป้องกัน ทำให้เสิ่นจืออันจับตัวกัวเหวินฉางได้ลำบากแม้จะมีด่านพลังที่ต่างกันก็ตาม

เดี๋ยวก่อนนะ ?!

สมบัติเหล่านี้ล้วนมีคุณสมบัติในการป้องกันหรือ ?

เสิ่นจืออันเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติ

แม้ว่าเขาจะใจร้อน แต่ก็ไม่ใช่ว่าเป็นคนโง่ ความคิดไม่สบายใจพลันผุดขึ้นในหัว ทำให้สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อยแล้วตะโกนเรียกกัวเหวินฉางในพลัน “นี่เจ้าจงใจหลอกล่อข้างั้นหรือ ?”

กัวเหวินฉางตกใจ เสิ่นจืออันมองอุบายเขาออกแล้วหรือ ?

เสิ่นจืออันเหลือบมองกัวเหวินฉาง “บอกข้ามา เจ้าเล่นกลอะไรไว้ที่เขาหมื่นดาบ ?”

กัวเหวินฉางยังคงเงียบเชียบ

ในตอนนี้สิ่งที่ดีที่สุดคือเงียบเอาไว้ดีกว่า

แต่กระนั้นความไม่สบายใจของเสิ่นจืออันก็ยังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

องค์รัชทายาทมอบหมายภารกิจนี้ให้เขาด้วยตนเอง เขาจะทำให้อีกฝ่ายผิดหวังไม่ได้ !

เขาไม่กลัวว่าตนเองจะแพ้ แต่เกรงว่าจะต้องเสียอีกกี่ชีวิตให้กับสงครามนี้มากกว่า

กองทหารหลวงยังนับว่าเสียไปได้ แต่ด่านสู่พิสดารทุกคนที่เสียไปนับว่าส่งผลต่อความสำเร็จในภารกิจครั้งนี้มาก องค์รัชทายาทคงต้องผิดหวังในตัวเขาแน่

ผู้บัญชาการเฒ่าไม่รู้ว่าที่เขาหมื่นดาบจะมีการลอบโจมตีอะไรอยู่ แต่หากกัวเหวินฉางกล้าหลอกล่อเขาออกมาเองเช่นนี้ เป็นไปได้ว่ากัวเหวินฉางก็คงมั่นใจในความสำเร็จของตนอยู่เหมือนกัน

ความวิตกกังวลของเสิ่นจืออันเริ่มผุดขึ้นเต็มสมอง เขาหันหลังกลับแล้วพุ่งไปยังเขาหมื่นดาบทันใด

แต่ไม่มีทางที่กัวเหวินฉางจะปล่อยเขาไปเช่นนั้น ดังนั้นจึงรีบไล่ตามไปทันที

ทว่าก็เพิ่งจะเข้าใกล้ได้ไม่เท่าไหร่ เมื่อเสิ่นจืออันกลับหันมาและใช้กรงเล็บมังกรเมฆตวัดใส่หน้ากัวเหวินฉาง

กัวเหวินฉางตกใจมาก แต่ร่างก็หายวับไป ปรากฏขึ้นอีกทีในระยะห่างออกไปได้ทันท่วงที

“หืม ? วิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกายของซูเฉินหรือ ?”เสิ่นจืออันพึมพำเสียงเบา

วิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกายเป็นวิชาที่ค่อนข้างมีชื่อของซูเฉิน แต่เสิ่นจืออันไม่คิดว่าเขาจะยอมสอนมันให้คนอื่น

ไม่มีใครเข้าใจวิธีการคิดของซูเฉินมากนัก

อย่างไรก็ดี ความเชี่ยวชาญในวิชาเชิงพื้นที่ของกัวเหวินฉางนั้นค่อนข้างต่ำ วิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกายของเขาจึงด้อยกว่าซูเฉินมาก

เสิ่นจืออันยิ้มเหี้ยม “หากมีฝีมือก็มาสู้กันสิ ไม่เช่นนั้นข้าจะไปแล้วนะ”

ว่าแล้วก็หันหลังวิ่งหนีออกไปอีกครั้ง ทำให้กัวเหวินฉางต้องไล่ตามไปอีก

เมื่อกัวเหวินฉางเสียจังหวะในการเป็นฝ่ายเริ่มแล้ว สถานการณ์ก็ยิ่งซับซ้อนมากขึ้น

ตอนแรกกัวเหวินฉางเป็นฝ่ายวิ่งหนีสุดฝีเท้า ใช้สมบัติในการหลบหนี แต่ตอนนี้เขาจำเป็นต้องขัดขวางเสิ่นจืออันไม่ให้หลบหนีพร้อมกับหลบหลีกการโจมตีของอีกฝ่ายไปด้วย ซึ่งหน้าที่อย่างหลังนั้นยากลำบากกว่าอย่างเห็นได้ชัด

เสิ่นจืออันเล่นลูกไม้เดิมอยู่อีกหลายครั้ง แต่ละครั้งพลาดไปเพียงเสี้ยวหนึ่งเท่านั้น

กระนั้นกัวเหวินฉางก็ยังกัดฟันไม่ยอมแพ้

ไม่ว่าอย่างไรเขาจะปล่อยเสิ่นจืออันให้ทำลายแผนที่พวกเขาวางไว้ไม่ได้ โดยเฉพาะเมื่อด่านสู่พิสดารนับพันได้แยกย้ายกันออกไปจัดการด่านผลาญจิตวิญญาณทั้ง 12 คนแล้ว หากเสิ่นจืออันกลับไปตอนนี้ ด่านสู่พิสดารของนิกายก็คงเป็นฝ่ายถูกสังหาร

แม้จะต้องแลกด้วยชีวิต กัวเหวินฉางก็จะไม่มีทางปล่อยเสิ่นจืออันไปเด็ดขาด

ในตอนที่กำลังตัดสินใจเด็ดเดี่ยวอยู่นั้น กัวเหวินฉางก็พุ่งเข้าใส่เสิ่นจืออันอีกครั้ง

“ดี ! เข้ามาอีกสิ !” เสิ่นจืออันตะโกนลั่นพร้อมตวัดกรงเล็บ

ร่างกัวเหวินฉางกะพริบเมื่อเตรียมใช้วิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกายเพื่อหลบหลีก ทว่าในจังหวะเดียวกันกับที่เขาปรากฏตัวขึ้นอีกครานั้น เสิ่นจืออันพลันตะเบ็งเสียงขึ้น

กัวเหวินฉางรู้สึกว่าชาไปทั้งร่าง ราวกับถูกสายฟ้าฟาดก็มิปาน

พริบตานั้น ฝ่ามือเสิ่นจืออันก็ตวัดเข้าใส่ร่างเขาอย่างแรง

โจมตีเพียงครั้งเดียวก็ทำให้กัวเหวินฉางบาดเจ็บสาหัส !!