บทที่ 41 แบ่งกองกำลัง
จังหวะเดียวกันกับที่เสิ่นจืออันมัวแต่ไล่ล่ากัวเหวินฉาง สถานการณ์ใกล้เขาหมื่นดาบก็เริ่มดำเนิน
ครั้งแรกที่กัวเหวินฉางปรากฏตัว ยังมีศิษย์นิกายไร้ขอบเขตที่ติดตามเขามาด้วยเช่นกัน
และ ‘บังเอิญว่า’ ติดตามมาด้วยมากถึง 12 คน
แต่ละคนก็มีสมบัติหลายชิ้นเป็นของตนเอง ด่านผลาญจิตวิญญาณทั้ง 12 คนเองก็ไล่ล่าตัวทำเงินไปด้วย
ทุกอย่างดำเนินไปอย่างเป็นธรรมชาติมากจนกระทั่งภายในพริบตาเดียว ก็เหลือคนด่านสู่พิสดารไว้กลุ่มหนึ่งเท่านั้น
ทหารที่เหลือบตามองกัน หัวหน้าพวกเขาแยกกันไล่ตามส่วนทำเงินที่ดีที่สุดไปแล้ว ใช้เวลาคิดระยะหนึ่ง พวกเขาจึงตัดสินใจแบ่งผลประโยชน์ที่เหลือกัน
แม้ว่าจะต้องส่งมอบของส่วนมาก แต่ก็ยังหาประโยชน์ใดบ้าง
ดูจากที่ซูเฉินมักฉกชิงเอาของมาอยู่เรื่อย นับว่าถึงเวลากรรมตามสนองแล้ว
ผู้โจมตีเหินร่างลงมายังเขาหมื่นดาบอย่างรวดเร็วราวกับอีแร้งหิวกระหาย
เป็นตอนนั้นที่รถศึกบนภูเขาถูกทุบทำลายอย่างไร้ความปราณี ทำเอาผู้เชี่ยวชาญตรงจุดนั้นระส่ำระสาย
แต่เมื่อพวกเขาเท้าแตะพื้น ก็พบว่าสภาพแวดล้อมรอบกายพลันเปลี่ยนไป ศัตรูไม่ได้กำลังตกที่นั่งลำบาก แต่กลับรวมกลุ่มกันแล้วขังพวกเขาไว้ภายในจากทุกด้านต่างหาก
ศิษย์นิกายไร้ขอบเขตยืนเรียงเป็นค่ายกล จ้องมองผู้บุกรุกหน้าเคร่ง เหมือนจะมีกันนับพัน
ค่ายกลมายา ?
ทุกคนชะงัก
ที่เห็นอยู่ก่อนหน้านี้เป็นภาพมายาหรือ ?
เช่นนั้นนิกายไร้ขอบเขตเตรียมพร้อมรับการโจมตีครั้งนี้แล้วงั้นสิ ?
แต่เมื่อพวกทหารรู้ว่ากองกำลังที่ทุกคนกำลังเผชิญหน้ามีพลังเพียงแค่ธรรมดา ความกลัวความกังวลก็หายไปในพลัน
ผู้ฝึกตนที่อายุน้อยกว่าคนหนึ่งชูธงศึกในมือแล้วตะโกนลั่น “สู้ !”
“สู้ !” ศิษย์ทั้งหลายตอบกลับเสียงแข็งขัน
“อาวุธ !” ผู้เชี่ยวชาญด้านหน้าคนหนึ่งร้องขึ้น คนอื่น ๆ จึงคว้าอาวุธขึ้นมาฟาดทั้งมี ทั้งดาบ ทั้งหอก และขวานรบใส่ศัตรูในคราเดียว
แม้จะเป็นอาวุธที่สร้างขึ้นจากพลังต้นกำเนิด แต่ก็มีพลังทำลายล้างน่าเกรงขาม สร้างร่องรอยทำลายผ่ากลางวงศัตรู กวาดล้างสิ่งที่ขวางทาง
ด่านสู่พิสดารทั้ง 50 คนเริ่มหมุนเวียนพลังแล้วร้องขึ้น “เป็นเพียงสุนัขแต่ยังกล้าอวดดีเช่นนี้ได้ !”
คลื่นพลังผันผวน ด่านสู่พิสดารทั้ง 50 คนออกท่าโจมตีพร้อมกัน เกิดเป็นบ่อพลังแห่งความตาย อาวุธของคู่ต่อสู้ถูกพวกมันทำลายสิ้น
ทว่าศิษย์นิกายไร้ขอบเขตเหมือนไม่กังวล ผู้นำหน้าออกคำสั่ง “เปลวเพลิง !”
ต่อมาผู้เชี่ยวชาญก็ปลดปล่อยคลื่นพลังเพลิงรุนแรงพุ่งออกไป
วิชาที่ถูกปลดปล่อยไปในคราวเดียวเหล่านี้ยิ่งทำให้รับมือลำบากมากขึ้นแม้จะเก่งกล้าสามารถก็ตาม
กระนั้นด่านสู่พิสดารทั้ง 50 คนก็ไม่ได้มีเพียงฝีมือแต่มีจำนวนคนมากด้วย ทหารนับพันเท่านี้ทำอะไรพวกเขาไม่ได้หรอก
ด่านสู่พิสดารมองหน้ากันแล้วหัวเราะ ปล่อยคลื่นพลังลมออกมาดับเปลวเพลิงจนมอด
หนึ่งในนั้นกระทั่งกล่าวว่า “มีเล่ห์กลอยู่ไม่ใช่น้อย แต่ดันมีกำลังจำกัด แล้วจะเล่นอุบายอะไรได้ ?”
“ใช่แล้ว อย่ามามัวเสียเวลา จัดการพวกมันเลยเถอะ” คนอื่นตอบ
ความตกใจที่ถูกลอบโจมตีเริ่มเลือนหายแล้ว
แต่ในตอนที่เมฆหมอกจางลง กลับมีทหารอีกกลุ่มปรากฏขึ้น
“อีกกลุ่มหรือ ? เหมือนกับพากันมาตายจริง ๆ” คนหนึ่งเอ่ยเยาะ
“เดี๋ยวก่อน คนกลุ่มนี้ดูแปลก ๆ” อีกคนกล่าวขึ้นแล้วชี้นิ้วไปยังทหารที่กำลังมุ่งหน้าเข้ามา
ทุกคนจึงรู้ว่ามีสิ่งใดแปลกไปทันที
ทหารกลุ่มที่ 2 มีจำนวนราวพันคนเช่นกัน แต่กลิ่นอายพิเศษกว่านัก ทั้งหมดล้วนอยู่ด่านสู่พิสดารหรือ ?
เป็นไปได้ยังไงกัน ?
คงเป็นวิชามายาอีกแน่
ใช่ ต้องเป็นอย่างนั้นแน่ !
ทุกคนคิดเช่นนั้น
กองทัพด่านทะลวงลมปราณและด่านกลั่นโลหิตหลายพันคนไม่ใช่เรื่องแปลก แต่หากเป็นกองทัพด่านสู่พิสดารนับพันคน เช่นนี้ไม่นับว่าปกติ
เมื่อผู้บุกรุกคิดได้ดังนี้ จึงมั่นใจหนักหนาว่าทหารกลุ่มที่มาใหม่เป็นเพียงภาพมายาเท่านั้น
เป็นตอนนั้นเองที่ทหารกลุ่มใหม่ซัดพลังโจมตีออกมา
ครั้งนี้เป็นคนผู้หนึ่งนำหน้ามา ปล่อยท่าดัชนีซัดเข้าใส่ศัตรู จากนั้นกองทัพหนึ่งพันก็โจมตีตามมาด้วย เปลวเพลิงโหมกระหน่ำรุกคืบเข้ามา
กำลังมากระดับนี้ควรจะเป็นของด่านมหาราชัน ทหารพันนายกลับสามารถแสดงมันออกมาได้
แต่นั่นก็ยิ่งทำให้ผู้เชี่ยวชาญอาณาจักรหลงซางคิดว่านั่นเป็นเพียงภาพลวงเท่านั้น
ด่านสู่พิสดารที่แท้จริงเป็นพวกรักอิสระ เป็นไปไม่ได้ที่จะสมัครสมานสามัคคีเช่นนี้ หรือจะสามารถร่วมมือกันได้อย่างดีเช่นนี้
พวกเขามั่นใจมากจนไม่คิดจะปัดป้องเลยด้วยซ้ำ มองภาพเพลิงตรงหน้าเป็นเพียงภาพลวงตา ดังนั้นผลที่ตามมาจึงจินตนาการได้ไม่ยาก
พริบตาต่อมาพวกเขาก็ถูกกองเพลิงกลืนกิน
หากด่านสู่พิสดารทั้ง 50 คนคิดจะหนีสักหน่อย กองกำลังที่มาใหม่ก็คงไม่สามารถโจมตีกวาดล้างพวกเขาไปได้ทั้งหมดโดยง่ายเช่นนี้ อย่างไรพวกเขาก็เป็นด่านสู่พิสดารผู้มีประสบการณ์ ส่วนศิษย์นิกายไร้ขอบเขตยังไม่เจนสนามรบมาก ที่สำคัญคือหากพวกเขาหนีไปก็คงเสียเวลาติดตามมากทีเดียว
แต่ในความเป็นจริงนั้นแตกต่าง จากการที่ตอนแรกพวกเขาถูกภาพมายาหลอกลวงทำให้เกิดเงามืดในจิตใจ ด่านสู่พิสดารทั้ง 50 คนจึงไม่คิดหลบหลีกปัดป้อง ส่งผลให้ถูกสังหารตายคาที่ทันที
คนเหล่านี้สมควรจะเป็นแรงสำคัญของกองกำลังบุกรุกด้วยซ้ำ แต่แค่ไม่ทันใส่ใจชั่วครู่กลับส่งผลให้ถูกสังหารสิ้น ที่น่าเศร้าไปกว่านั้น ผู้โจมตีจากหลงซางไม่รู้เลยว่าเกิดเรื่องนี้ขึ้น
ค่ายกลมายาที่ตั้งอยู่รอบเขาหมื่นดาบปิดบังกลิ่นอายผู้ลอบโจมตีไว้จนสิ้น ทำให้คนนอกค่ายกลไม่สามารถรู้ได้เลยว่าเกิดอะไรด้านใน ส่งผลให้ศิษย์นิกายไร้ขอบเขตมีโอกาสสังหารมากขึ้น
รถสึกทั้ง 300 คันติดอยู่ไหน ‘สงครามหมู่คน’ ผู้เชี่ยวชาญนิกายไร้ขอบเขต 18,000 คนใช้ประโยชน์จากสภาพภูมิประเทศ ค่ายกล เครื่องมือต้นกำเนิด ยาเม็ด และวิชาลับอื่น ๆ เพื่อต่อสู้กับกองทหารหลวง คนด่านสู่พิสดารไม่ได้เข้าร่วมด้วยเพราะมีเป้าหมายสำคัญกว่าที่ต้องสังหาร และเห็นว่าศิษย์คนอื่น ๆ จะได้ใช้โอกาสนี้ฝึกปรือฝีมือ แต่แน่นอนว่าเพื่อให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุด สุดท้ายก็ยังส่งด่านสู่พิสดารออกไปราว 30 คนเพื่อปกป้องศิษย์นิกายอยู่ดี
ด่านสู่พิสดารคนอื่นก็ตั้งค่ายกลและเตรียมลอบโจมตีศัตรูอีกครั้ง
แม้นิกายไร้ขอบเขตจะมีด่านสู่พิสดารนับพันคน โดยเกือบทั้งหมดเพิ่งจะทะลวงพลังได้แล้ว แต่กำลังจากด่านหยั่งรู้ฟ้าดินขั้นสุด กับด่านผลาญจิตวิญญาณผู้มีประสบการณ์ 12 คน และด่านสู่พิสดารทั้ง 50 คนนั้นไม่อาจดูถูก แม้จะเอาชนะไปได้ แต่ก็ต้องเสียหายไม่ใช่น้อย
ดังนั้นทางที่ดีที่สุดคือการแบ่งกลุ่มเพื่อเอาชนะ จากนั้นเมื่อศัตรูอ่อนแอมากพอก็กวาดล้างเสียให้สิ้นทีเดียว
แม้จะเป็นอุบายที่ใช้กันมายาวนานมาก แต่ก็ยังนับว่าได้ผลไม่เลว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อฝ่ายศัตรูไม่รู้ว่าพวกเขาแข็งแกร่งขนาดไหน
หลังสังหารด่านสู่พิสดารทั้ง 50 คนได้แล้ว เหยียนทั่วไห่ที่เป็นผู้นำด่านสู่พิสดารในนิกายจึงเอ่ย “ไปจัดการด่านผลาญจิตวิญญาณทั้ง 12 คนนั้นด้วยเถอะ”
เหล่าคนด่านสู่พิสดารจึงแบ่งออกเป็น 12 กลุ่มและเหินร่างจากไปต่างทิศทาง เพราะทิศทางที่เหยื่อล่อจะหนีไปนั้นได้วางแผนไว้ล่วงหน้าแล้ว โดยแต่ละกลุ่มมีสมาชิกประมาณ 80 คน
ปกติแล้วด่านสู่พิสดารสัก 10 คนก็มากพอจะโค่นด่านผลาญจิตวิญญาณได้แล้ว ใช้ 80 คนถือว่ามากเกินเหตุด้วยซ้ำ ดังนั้นใช้เวลาไม่นานก็คงจัดการเป้าหมายได้
ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครรีรอให้เสียเวลา รีบพุ่งตัวไปสู่จุดมุ่งหมายเต็มกำลัง
ปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการต่อสู้คือความเร็ว หากว่ารอนานเกินไป ผู้ที่รับหน้าที่เป็นเหยื่อล่อก็จะตกอยู่ในอันตราย
และคนที่ตกอยู่ในอันตรายร้ายแรงที่สุดก็คือกัวเหวินฉาง
คนที่เป็นเหยื่อล่อเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด แต่ก็ต้องเป็นคนที่ต้องเอาชีวิตรอดได้นานที่สุดเช่นกัน
กัวเหวินฉางยังคงเหินร่างอยู่บนฟ้า
“ฮ่า ๆๆ! อยากจะรู้นักว่าจะหนีไปได้สักแค่ไหน ถ้าหากรู้ผิดชอบชั่วดีก็ส่งสมบัติเหล่านั้นมาเดี๋ยวนี้ ! ข้าสัญญาว่าจะไว้ชีวิตเจ้า”เสิ่นจืออันหัวเราะเสียงดัง ดูมีชีวิตชีวาไม่ใช่น้อย
คู่ต่อสู้ของเขานำเครื่องมือต้นกำเนิด 6 ชิ้นออกมาใช้ แต่ละชิ้นนับเป็นสมบัติล้ำค่า จากความสงบเลยเริ่มกลายเป็นความเดือดดาล
ยิ่งอีกฝ่ายหยิบสมบัติออกมามากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งมั่นหมายปั้นมือว่าจะต้องจับตัวอีกฝ่ายให้ได้เท่านั้น
น่าเสียดายที่สมบัติส่วนมากมีคุณสมบัติในการป้องกัน ทำให้เสิ่นจืออันจับตัวกัวเหวินฉางได้ลำบากแม้จะมีด่านพลังที่ต่างกันก็ตาม
เดี๋ยวก่อนนะ ?!
สมบัติเหล่านี้ล้วนมีคุณสมบัติในการป้องกันหรือ ?
เสิ่นจืออันเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติ
แม้ว่าเขาจะใจร้อน แต่ก็ไม่ใช่ว่าเป็นคนโง่ ความคิดไม่สบายใจพลันผุดขึ้นในหัว ทำให้สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อยแล้วตะโกนเรียกกัวเหวินฉางในพลัน “นี่เจ้าจงใจหลอกล่อข้างั้นหรือ ?”
กัวเหวินฉางตกใจ เสิ่นจืออันมองอุบายเขาออกแล้วหรือ ?
เสิ่นจืออันเหลือบมองกัวเหวินฉาง “บอกข้ามา เจ้าเล่นกลอะไรไว้ที่เขาหมื่นดาบ ?”
กัวเหวินฉางยังคงเงียบเชียบ
ในตอนนี้สิ่งที่ดีที่สุดคือเงียบเอาไว้ดีกว่า
แต่กระนั้นความไม่สบายใจของเสิ่นจืออันก็ยังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
องค์รัชทายาทมอบหมายภารกิจนี้ให้เขาด้วยตนเอง เขาจะทำให้อีกฝ่ายผิดหวังไม่ได้ !
เขาไม่กลัวว่าตนเองจะแพ้ แต่เกรงว่าจะต้องเสียอีกกี่ชีวิตให้กับสงครามนี้มากกว่า
กองทหารหลวงยังนับว่าเสียไปได้ แต่ด่านสู่พิสดารทุกคนที่เสียไปนับว่าส่งผลต่อความสำเร็จในภารกิจครั้งนี้มาก องค์รัชทายาทคงต้องผิดหวังในตัวเขาแน่
ผู้บัญชาการเฒ่าไม่รู้ว่าที่เขาหมื่นดาบจะมีการลอบโจมตีอะไรอยู่ แต่หากกัวเหวินฉางกล้าหลอกล่อเขาออกมาเองเช่นนี้ เป็นไปได้ว่ากัวเหวินฉางก็คงมั่นใจในความสำเร็จของตนอยู่เหมือนกัน
ความวิตกกังวลของเสิ่นจืออันเริ่มผุดขึ้นเต็มสมอง เขาหันหลังกลับแล้วพุ่งไปยังเขาหมื่นดาบทันใด
แต่ไม่มีทางที่กัวเหวินฉางจะปล่อยเขาไปเช่นนั้น ดังนั้นจึงรีบไล่ตามไปทันที
ทว่าก็เพิ่งจะเข้าใกล้ได้ไม่เท่าไหร่ เมื่อเสิ่นจืออันกลับหันมาและใช้กรงเล็บมังกรเมฆตวัดใส่หน้ากัวเหวินฉาง
กัวเหวินฉางตกใจมาก แต่ร่างก็หายวับไป ปรากฏขึ้นอีกทีในระยะห่างออกไปได้ทันท่วงที
“หืม ? วิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกายของซูเฉินหรือ ?”เสิ่นจืออันพึมพำเสียงเบา
วิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกายเป็นวิชาที่ค่อนข้างมีชื่อของซูเฉิน แต่เสิ่นจืออันไม่คิดว่าเขาจะยอมสอนมันให้คนอื่น
ไม่มีใครเข้าใจวิธีการคิดของซูเฉินมากนัก
อย่างไรก็ดี ความเชี่ยวชาญในวิชาเชิงพื้นที่ของกัวเหวินฉางนั้นค่อนข้างต่ำ วิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกายของเขาจึงด้อยกว่าซูเฉินมาก
เสิ่นจืออันยิ้มเหี้ยม “หากมีฝีมือก็มาสู้กันสิ ไม่เช่นนั้นข้าจะไปแล้วนะ”
ว่าแล้วก็หันหลังวิ่งหนีออกไปอีกครั้ง ทำให้กัวเหวินฉางต้องไล่ตามไปอีก
เมื่อกัวเหวินฉางเสียจังหวะในการเป็นฝ่ายเริ่มแล้ว สถานการณ์ก็ยิ่งซับซ้อนมากขึ้น
ตอนแรกกัวเหวินฉางเป็นฝ่ายวิ่งหนีสุดฝีเท้า ใช้สมบัติในการหลบหนี แต่ตอนนี้เขาจำเป็นต้องขัดขวางเสิ่นจืออันไม่ให้หลบหนีพร้อมกับหลบหลีกการโจมตีของอีกฝ่ายไปด้วย ซึ่งหน้าที่อย่างหลังนั้นยากลำบากกว่าอย่างเห็นได้ชัด
เสิ่นจืออันเล่นลูกไม้เดิมอยู่อีกหลายครั้ง แต่ละครั้งพลาดไปเพียงเสี้ยวหนึ่งเท่านั้น
กระนั้นกัวเหวินฉางก็ยังกัดฟันไม่ยอมแพ้
ไม่ว่าอย่างไรเขาจะปล่อยเสิ่นจืออันให้ทำลายแผนที่พวกเขาวางไว้ไม่ได้ โดยเฉพาะเมื่อด่านสู่พิสดารนับพันได้แยกย้ายกันออกไปจัดการด่านผลาญจิตวิญญาณทั้ง 12 คนแล้ว หากเสิ่นจืออันกลับไปตอนนี้ ด่านสู่พิสดารของนิกายก็คงเป็นฝ่ายถูกสังหาร
แม้จะต้องแลกด้วยชีวิต กัวเหวินฉางก็จะไม่มีทางปล่อยเสิ่นจืออันไปเด็ดขาด
ในตอนที่กำลังตัดสินใจเด็ดเดี่ยวอยู่นั้น กัวเหวินฉางก็พุ่งเข้าใส่เสิ่นจืออันอีกครั้ง
“ดี ! เข้ามาอีกสิ !” เสิ่นจืออันตะโกนลั่นพร้อมตวัดกรงเล็บ
ร่างกัวเหวินฉางกะพริบเมื่อเตรียมใช้วิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกายเพื่อหลบหลีก ทว่าในจังหวะเดียวกันกับที่เขาปรากฏตัวขึ้นอีกครานั้น เสิ่นจืออันพลันตะเบ็งเสียงขึ้น
กัวเหวินฉางรู้สึกว่าชาไปทั้งร่าง ราวกับถูกสายฟ้าฟาดก็มิปาน
พริบตานั้น ฝ่ามือเสิ่นจืออันก็ตวัดเข้าใส่ร่างเขาอย่างแรง
โจมตีเพียงครั้งเดียวก็ทำให้กัวเหวินฉางบาดเจ็บสาหัส !!