ภาคที่ 6 บทที่ 42 ลักษณ์ปราชญ์

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 42 ลักษณ์ปราชญ์

พลังขั้นสุดของด่านหยั่งรู้ฟ้าดินไม่อ่อนแอสักนิด กัวเหวินฉางตกอยู่ในสถานการณ์ไม่สู้ดีในพลัน

เสิ่นจืออันหัวเราะลั่น เอื้อมมือมาคว้ากัวเหวินฉาง “ตายเสีย !”

มังกรเมฆาปรากฏ สะบัดร่างไปมาแล้วอ้าปากกว้าง

กัวเหวินฉางถอนใจ “ต้องถึงขนาดนั้นเชียว ?”

“หือ ?” เสิ่นจืออันชะงัก ของชิ้นหนึ่งปรากฎอยู่เหนือศีรษะกัวเหวินฉาง คือหนังสือเล่มหนึ่ง

แสงสีทองส่องสว่างไปทุกทิศ

หน้าหนังสือค่อย ๆ พลิกไปด้วยตนเอง ตัวอักษรพวยพุ่งออกมาจากหน้ากระดาษ เกิดเป็นเรืองแสงทั่วทิศทาง ทำเอาเสิ่นจืออันถึงกับสั่นผวาภายในด้วยหวาดกลัว

อะไรกัน ?

เสิ่นจืออันมองตัวอักษรที่ออกมาจากหนังสือกินพื้นที่ท้องฟ้าไปจนหมด เกิดเป็นภาพน่าประหลาดแต่ก็งดงามอยู่ในที ปราชญ์ผู้หนึ่งค่อย ๆ ลงมาจากแดนเซียน ในมือถือหนังสือเล่มหนึ่งไว้ ตัวอักษรทั้งหลายรวมตัวกันกลายเป็นตัวอักษรยักษ์ตัวหนึ่ง คือคำว่า ‘กำราบ’ !

ทันทีที่ตัวอักษรนั้นปรากฏขึ้น เสิ่นจืออันก็รู้สึกราวกับมีภูเขาทับร่าง ทำเอาเกือบร่วงลงจากฟ้า

เป็นไปได้ยังไง ?

ด่านผลาญจิตวิญญาณจะมีกำลังมากอย่างนี้ได้เช่นไร ?

เขามองกัวเหวินฉางที่ดีดตัวขึ้นไปบนฟ้าอีกครั้ง

เลือดหยดออกจากมุมปากกัวเหวินฉางเล็กน้อย ชี้ให้เห็นว่าได้รับบาดแผลสาหัส แต่หนังสือเบื้องหลังยังคงสะบัดพลิ้วไม่หยุดและรวดเร็วกว่าเดิม และสิ่งที่กำลังเขียนหนังสืออยู่นั้นดูแล้วคล้ายกับซูเฉินอยู่เหมือนกัน

นี่มัน…… เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ?

เสิ่นจืออันไม่อาจทำความเข้าใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้

กัวเหวินฉางเอ่ยคำขึ้นมาเสียงดัง

“วิญญาณเที่ยงแผ่สวรรค์พสุธา”

“ผสมผสานมากมายเป็นหลายลักษณ์”

“ล่างคือธารน้ำและขุนเขา”

“บนคือตะวันและดวงดารา”

“ในใต้หล้านักปราชญ์เปรียบพลังดั่งคงคา”

“ท่วมท้นทุกสรรพสิ่งใต้ท้องนภา…… “

ระหว่างที่กำลังร่ายบทกลอนอยู่นั่นเอง ตัวตนดั่งเทพเซียนก็สะบัดปลายพู่กัน เกิดเป็นตัวอักษรยักษ์คำแล้วคำเล่าร่วงลงมา พริบตานั้น กรงตัวอักษรสีทองขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นรอบกายเสิ่นจืออัน ส่งผลให้ไม่ว่ามังกรมีขาจะสะบัดตัวรุนแรงแค่ไหนก็ไม่อาจหลบหนีไปได้

“อะไรกัน ?” เสิ่นจืออันร้องไม่อยากเชื่อ ไม่อาจเข้าใจและไม่อาจยอมรับได้ว่าคนด่านผลาญจิตวิญญาณจะจับตัวเขาไว้ได้

“ลักษณ์ของข้า ! บทเพลงวิญญาณแห่งความเที่ยง หนังสือสรรพสิ่ง และภาพวาดปราชญ์ !” กัวเหวินฉางตอบเสียงดัง พู่กันปรากฏขึ้นในมือ

มันไม่ใช่เครื่องมือต้นกำเนิดชั้นยอด แต่เป็นพู่กันธรรมดาที่อยู่กับเขามานานหลายปีตั้งแต่ตอนที่ยังเป็นขุนนางมาจนถึงตอนนี้

เมื่อมีพู่กันคู่ใจอยู่ในมือ กัวเหวินฉางก็ราวกับบรรลุกลายเป็นเซียน พลังจิตเพิ่มสูง กลิ่นอายพุ่งทะยานขึ้นเสียดฟ้า

เขาสะบัดพู่กันไปกลางอากาศ ภาพนักปราชญ์เบื้องหลังก็ขยับทำตาม

ทุกลายเส้นพู่กันทั้งลึกล้ำและสง่างามยิ่งนัก

กัวเหวินฉางมีความเป็นบัณฑิตมาโดยตลอด แต่โชคชะตาบีบบังคับให้เขาต้องเดินสู่เส้นทางแห่งการบ่มเพาะพลัง กระนั้นความสนใจของเขาก็ยังไม่เคยเปลี่ยนแปลงไป

การสร้างลักษณ์ของซูเฉินและการรวบรวมสายเลือดทั้งหมดที่หามาได้ส่งผลให้เกิดลักษณ์ขึ้นมากมายหลายร้อยประเภท

แต่กัวเหวินฉางไม่คิดสนใจเลยสักนิด เขาไม่ได้เลือกมาสักลักษณ์ กลับใช้เวลาทั้งหมดไปกับการวาดเขียนไปเรื่อย

สุดท้ายผู้คนจึงคิดว่าเขาใช้ลักษณ์ไม่เป็น

ซึ่งก็จริง

แต่ลักษณ์ที่เขาไม่รู้วิธีใช้คือลักษณ์ที่ซูเฉินส่งต่อ ไม่ใช่ตัวที่เขาสร้างขึ้นมาเอง

น้อยคนนักที่จะรู้ว่าเขาเคยขอเลือกขวดหนึ่งจากซูเฉิน

เลือดของซูเฉิน !

เขาเองก็ทำวิจัยเช่นกัน

แต่ไม่ได้ทำวิจัยหาวิธีทำให้มนุษย์ทั้งเผ่าแข็งแกร่งขึ้น

แต่เป็นการวิจัยเรื่องซูเฉิน เป็นความสนใจในหนทางแห่งนักปราชญ์

กัวเหวินฉางเชื่อสุดใจว่าลักษณ์ 7 สายเลือดของซูเฉินอย่างไรก็ยังต้องพึ่งพากำลังสัตว์อสูร ยังไม่ใช่หนทางที่แท้จริงที่มนุษย์ควรเลือกเดิน

เขาเชื่อว่าหนทางนี้ควรจะเริ่มต้นมาจากมนุษย์ตั้งแต่แรกต่างหาก

กัวเหวินฉางหวังว่าต่อไปแก่นลักษณ์ 7 สายเลือดจะไม่ใช่สายเลือดวายุกรรโชก หรือจากเทพอสูรอื่น หรือเทพอสูรบรรพกาลตัวไหน แต่มาจากมนุษย์

ซูเฉินเข้าใจความรู้สึกนึกคิดนี้ดี แต่ไม่มีเวลาติดตามการวิจัย เพราะยังมีอีกมากมายหลายเรื่องที่เขาต้องทำการศึกษา

กัวเหวินฉางจึงตัดสินใจลงมือทำสิ่งที่ซูเฉินไม่มีเวลาสนใจนั่นเอง

เขาศึกษาหนทางแห่งนักปราชญ์ โดยมีซูเฉินเป็นลักษณ์ของเขา

ซูเฉินได้กลายเป็นรูปลักษณ์ของนักปราชญ์ไปแล้ว

ซูเฉินยิ่งกว่าเต็มใจจะร่วมมือด้วย เขาไม่ปฏิเสธข้อเสนองานวิจัยที่ดีเช่นนี้ ยินยอมให้เลือดไปแต่โดยดี

นี่คือสิ่งที่กัวเหวินฉางบ่มเพาะ

บทเพลงวิญญาณแห่งความเที่ยงและหนังสือสรรพสิ่งล้วนสร้างขึ้นมาเพื่อตระเตรียมไว้ให้เซียนปราชญ์เป็นผู้ใช้

ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยแสดงถึงความสามารถนี้ให้ใครเห็นมาก่อน ตัวเขาเองยังไม่รู้เลยว่าลักษณ์นี้จะแข็งแกร่งมากแค่ไหน

แต่ตอนนี้เขาไม่สนแล้วว่ามันจะแกร่งแค่ไหน เขาเพียงอยากปลดปล่อยทุกความรู้สึกในใจออกไปเพียงเท่านั้น

ลวดลายพู่กันเริงระบำไปในอากาศ หมึกดำกระจายทั่วฟ้า แต่ละเส้นสายเต็มไปด้วยความเข้าใจและประสบการณ์ที่กัวเหวินฉางสั่งสมมานานหลายปี ตอนนี้เขากำลังปลดปล่อยความคิดลึกล้ำจริงจังและจริงใจที่สุดออกมา

กระทั่งเสิ่นจืออันยังตะลึงกับฝีมือ แหงนหน้ามองตัวอักษรสีทองบนท้องฟ้าแล้วก็อดตะโกนลั่นขึ้นมาไม่ได้ “นั่นมันอะไร ? มันอะไรกัน ?!”

แต่อย่างไรเขาก็ยังเป็นด่านหยั่งรู้ฟ้าดิน แม้ลักษณ์ปราชญ์ของกัวเหวินฉางจะทำเขาตกใจไม่น้อย ก็ยังคำรามเสียงเหี้ยมออกมาได้ “ภาพเลียนแบบนักปราชญ์อะไรกัน น่าขำนัก ! ดูข้าทำลายมันให้สิ้นเสียเถอะ !”

เขาชูแขนขึ้นฟ้า รวบรวมแรงลมและควันเกิดเป็นมังกรตัวสีดำ มันปลดปล่อยกลิ่นอายชั่วร้ายรุนแรง และพุ่งเข้าใส่กรงสีทองที่สร้างขึ้นจากตัวอักษรทันใด

ตรวนแห่งความชอบธรรมของกัวเหวินฉางถูกการโจมตีของมังกรดำทำลาย สลายกลายเป็นควันดำแล้วหายไป

แม้กัวเหวินฉางจะยังเขียนอักษรออกมาใหม่อยู่ตลอด แต่ก็ไม่อาจต้านทานมังกรดำไว้ได้

มองดูดี ๆ แล้ว ทุกครั้งที่มังกรดำปะทะเข้ากับตัวอักษรสีทอง ตัวมันเองก็บาดเจ็บสาหัสเช่นกัน ในเรื่องของความเข้มข้นและความบริสุทธิ์ของพลังต้นกำเนิด แท้จริงแล้วมังกรดำกลับเป็นฝ่ายที่ได้รับบาดเจ็บมากกว่าตัวอักษรสีทองเสียอีก

แต่เสิ่นจืออันไม่สน

เขาเป็นด่านหยั่งรู้ฟ้าดิน แกร่งกว่ากัวเหวินฉางสิบเท่าได้ ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องเช่นนี้

เขาจะใช้กำลังส่วนตัวบีบคั้นให้อีกฝ่ายตายไปเสีย !!!

มังกรดำอีก 5 ตัวสะบัดพริ้วออกมาจากปลายนิ้ว พุ่งออกไปปะทะกรงสีทองจนเกิดรอยแตก ตรวนแห่งความชอบธรรมไม่สามารถต้านรับได้อีกต่อไปแล้วพลันแตกกระจาย

หนังสือเบื้องหลังศีรษะกัวเหวินฉางเกิดรอยขาดอย่างเห็นได้ชัด ภาพวาดปราชญ์เริ่มกระพริบริบหรี่ดูจางลง

“รีบ ๆ ตายเสีย !” มังกรทั้ง 5 ตัวของเสิ่นจืออันรวมร่างกลายเป็นหนึ่งฝ่ามือ แต่ละตัวแทนที่แต่ละนิ้ว นี่คือฝ่ามือห้ามังกรอันเลื่องชื่อ จังหวะนั้น มือทมิฬกำลังกดดันกัวเหวินฉางอย่างหนักหน่วง

ภาพวาดปราชญ์สะบัดพู่กันอีกครั้ง หนังสือสรรพสิ่งกลายร่างเป็นเกราะป้องกัน

แต่ครั้งนี้ธรรมะมิอาจเอาชนะอธรรมได้ นิ้วมังกรทั้ง 5 ทำลายหนังสือสรรพสิ่ง ทำลายพู่กันนักปราชญ์ กระแทกที่หน้าอกกัวเหวินฉาง

หลังถูกโจมตี กัวเหวินฉางรู้สึกได้ว่ามีพลังความมืดแผ่ซ่านเข้าร่าง ร่างกระเด็นไปพร้อมกับเสียงร้องหวน เลือดที่กระอักออกมากลายเป็นสีดำแล้ว

กัวเหวินฉางรู้ว่าตนกำลังตกที่นั่งลำบาก แต่ก็ไม่ยอมหลบหนี กลับส่งเสียงหัวเราะบ้าคลั่งแล้วพุ่งออกไปอีกครั้ง หยิบสมบัติออกมาอีกแล้วโจมตีไม่ลดละ แต่แทนที่จะส่งทุกชิ้นโจมตีไปที่เสิ่นจืออัน เขากลับแยกมันออกจากกันเพื่อถ่วงเวลาเสิ่นจืออันให้นานกว่าเดิม เขาไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ศิษย์นิกายจะมาถึง แต่ไม่ว่าจะนานเท่าไหร่เขาก็จะถ่วงเวลาเสิ่นจืออันให้ได้นานที่สุด

เสิ่นจืออันโกรธเกรี้ยวนักเมื่อเห็นกัวเหวินฉางใช้สมบัติโจมตีกระจายไปทั่ว

เสิ่นจืออันเสียเวลาไปมากแล้ว เมื่อเห็นว่ากัวเหวินฉางยังหมายจะถ่วงเวลา แม้จะต้องแลกด้วยชีวิต เสิ่นจืออันจึงรู้ว่าต้องเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นแน่ เขาจึงเลิกสนใจสมบัติทั้งหลาย และหันหลังคิดจะกลับไปยังเขาหมื่นดาบทันที

แต่ในตอนนั้นเองที่เส้นขอบฟ้าก็มีคนกลุ่มหนึ่งกำลังรุดหน้าเข้ามาอย่างรวดเร็ว

“เกิดอะไรขึ้น ?” เสิ่นจืออันชะงัก เขารู้แล้วว่าคนเหล่านี้ไม่ใช่ลูกน้องตน คงจะเป็นศิษย์นิกายมากกว่า

แต่ทำไมจู่ ๆ ถึงพากันมาที่นี่ ?

คนพวกนี้ควรจะต่อสู้กันดุเดือดอยู่ที่เขาหมื่นดาบไม่ใช่หรือ ?

หรือว่า……

ความคิดน่ากลัวหนึ่งผุดขึ้นในหัวเสิ่นจืออัน

ไม่หรอก เป็นไปไม่ได้ !

กระทั่งตอนนี้เสิ่นจืออันก็ยังไม่เชื่อว่านิกายไร้ขอบเขตจะสามารถกำจัดทหารทั้งหมดของเขาได้ ยังคิดว่าสิ่งที่อีกฝ่ายกระทำก็แค่ทำให้เขาเสียเวลามากขึ้นเท่านั้น

เขาห่วงเพียงอย่างเดียวคือหากสูญเสียกองทัพมากเกินไปเขาจะรับผิดชอบอย่างไร

ไม่เคยคิดเลยว่าตนอาจจะไม่ชนะ

แต่เมื่อเห็นว่าเหล่าศิษย์พากันมากันมากมาย ใจเขาก็วูบไหวรุนแรง

และเมื่อเข้ามาใกล้ พลังที่เข้มข้นเหล่านี้…… ทั้งหมดอยู่ด่านสู่พิสดาร !

ใจเขาหล่นวูบ

อีกฝ่ายมากันมากจนเขาไม่สามารถนับได้ แต่อย่างน้อยก็มากันนับร้อยคน

จะเป็นไปได้ยังไง ?

นิกายไร้ขอบเขตจะมีด่านสู่พิสดารมากเช่นนี้ได้ยังไง ?

พากันไปยังทะเลไร้สิ้นสุดกันหมดแล้วไม่ใช่หรือ ?

หรือจะเป็นมายา ? คิดจะหลอกกันอีกหรือ ?

แต่พละกำลังและความเร็วเช่นนี้ไม่สามารถหลอกตาได้แน่

ด่านสู่พิสดารทั้ง 100 คนนี้ไม่ใช่กองกำลังที่ด่านหยั่งรู้ฟ้าดินเพียงคนเดียวเช่นเขาจะสามารถรับมือได้ เสิ่นจืออันรู้ว่าตนไม่มีเวลาให้สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นอีก เหลือเพียงทางเดียวคือหลบหนี

โชคดีที่แม้จะมีจำนวนมาก แต่พละกำลังของแต่ละคนก็ไม่มากพอที่จะติดตามเขาทัน

เสิ่นจืออันจึงรีบหันหลังหนีโดยเร็วทันใด

แต่ก็ยังมิวายเอื้อมมือไปคว้ากัวเหวินฉาง หวังว่าอย่างน้อยจะได้ตัวประกันติดมือไปด้วย

ไม่คาดคิดว่ากัวเหวินฉางจะคลี่ยิ้มไม่คิดหลบหลีก ทั้งยังเข้ามาคว้าเสิ่นจืออันเสียด้วย

เสิ่นจืออันตกใจเป็นล้นพ้น รู้ว่าผิดปกติทันที ถ้าถึงจุดนี้กัวเหวินฉางยังคิดไม่ให้เขาจากไปอีก หากคิดจับตัวกัวเหวินฉางไว้ ไม่หมายความว่าเขาตกหลุมพรางอีกฝ่ายหรือ ?

เขาจึงรีบหดมือกลับทันที ทว่ากัวเหวินฉางสะบัดพู่กันหักในมือไปแล้ว ตรวนแห่งความชอบธรรมปรากฏขึ้นอีกครา กรงสีทองกักขังเสิ่นจืออันไว้ได้อีกหน พร้อมกันนั้นก็พุ่งร่างเข้าใส่เสิ่นจืออันอยากบ้าดีเดือดไม่สนใจความปลอดภัยตน

“เวรเอ๊ย ! ไอ้เจ้าบ้านี่ !” ท่าทีของอีกฝ่ายทำเอาเขากลัวทีเดียว

เสิ่นจืออันเอาตัวกระแทกตรวนแห่งความชอบธรรมอย่างสุดความสามารถ

แต่ตรวนไร้ที่สิ้นสุดที่กัวเหวินฉางวาดลวดลายออกมาเรื่อย ๆ ก็ทำให้เขาไม่อาจได้อิสระ

ปึง !

ปึง !

ปึง !

ตรวนแห่งความชอบธรรมแตกกระจายออกและสร้างขึ้นใหม่หลากหลายครั้ง ตอนนี้กองกำลังของนิกายใกล้เข้ามาแล้ว

เหยียนทั่วไห่ที่นำหน้ามาออกคำสั่งเสียงดัง “โจมตี ! อาวุธ !”

“อาวุธ !”

เหล่าผู้ใช้พลังทั้งหลายร้องลั่นขึ้น ก่อนที่อาวุธนับไม่ถ้วนจะกระจายทั่วฟ้า

อาวุธที่สร้างขึ้นโดยด่านสู่พิสดารเหล่านี้ นับว่าเหนือชั้นกว่าผู้เชี่ยวชาญธรรมดาเมื่อก่อนหน้ามาก เมื่อรวมพลังกันแล้วก็ยิ่งเหนือกว่าหลายเท่า อาวุธทั้งหลายเริ่มตกลงมาจากฟากฟ้าเรากับห่าฝน

เสิ่นจืออันเพิ่งจะทำลายคุกออกมาได้ก็ถูกอาวุธนับพันพุ่งเข้าใส่ เขาไม่กล้าออมมือแม้สักนิด ฝ่ามือห้ามังกรพลันปรากฏขึ้นอีกครั้ง

ฝ่ามือห้ามังกรคำรามลั่นแล้วพุ่งเข้าใส่อาวุธทั้งหลาย แต่กลับไม่อาจกีดกันพวกมันไว้ได้ ภายในไม่กี่อึดใจมันก็ถูกทำลายเมื่ออาวุธทั้งหลายพุ่งเข้าใส่ร่างเสิ่นจืออัน พลังต้นกำเนิดมหาศาลระเบิดใส่จนร่างเขากระจายทันที

ตายในกระบวนท่าเดียว !

“นายท่าน !”

ร่างกัวเหวินฉางร่วงลงมาจากฟ้า

เหยียนทั่วไห่ร้องเสียงคร่ำครวญ พุ่งออกไปอยู่ข้างกายกัวเหวินฉาง เรียกเขาเสียงเบา แต่พบว่าผิวหนังอีกฝ่ายเริ่มกลายเป็นสีดำสนิท พลังชั่วร้ายแผ่ไปทั่วร่าง หมดหวังแล้ว !

กระนั้นกัวเหวินฉางก็ยังคลี่ยิ้ม

แม้นัยน์ตาทั้งสองข้างจะมีน้ำตาสีเลือดไหลริน เขาก็ยังส่งยิ้ม “ในที่สุดก็เข้าใจสักทีว่าภาพวาดปราชญ์ยังขาดอะไรอีก……”

“นายท่านโปรดหยุดพูด ! ข้าจะพาท่านไปห้องรักษาเดี๋ยวนี้ !” เหยียนทั่วไห่ตะโกนเสียงวิตก

แต่กัวเหวินฉางส่ายหน้าพูดเสียงเบา “ไม่ต้อง ข้าเกลียดการต่อสู้มาโดยตลอด แต่ชะตาไม่เคยทำตามหวังข้าเลย ตอนนี้ได้พักสักที การต่อสู้ในวันนี้ทำให้ข้าตระหนักรู้ขึ้นมาหลายอย่าง ช่วยข้า… ส่งมันต่อไปยังท่านเจ้าสำนักที”

กัวเหวินฉางว่าจบ ก็ใช้นิ้วชี้แตะไปที่หน้าผากเหยียนทั่วไห่ ปล่อยแสงสีทองเส้นหนึ่งออกมา

จากนั้นศีรษะของเขาก็ห้อยลง ลมหายใจเฮือกสุดท้ายปลิดปลิว