เมืองเทียนเหลียงเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงที่สุดในต้าลู่ พันปีก่อนมันคือที่ตั้งของจวนเหลียง ตระกูลเฉิน ตระกูลจู และยังมีตระกูลหวังที่ตอนนี้สิ้นไร้ไม้ตอก สองราชวงศ์ล่าสุดที่ปกครองต้าลู่ล้วนมีต้นกำเนิดมาจากเมืองนี้ และเมืองนี้เคยเห็นยอดฝีมือไม่ขาดสาย ไม่ว่าจะเป็นเหล่าจักรพรรดิ หรือเฉินเสวียนป้า หรือจูลั่ว หรือหวังผ้อ
ด้วยการก่อตั้งราชวงศ์ต้าโจว เมืองเทียนเหลียงจึงมีฐานะที่พิเศษเฉพาะยิ่งกว่าเดิม เพราะว่าตอนนี้ได้ถือว่าเป็นบ้านเกิดบรรพบุรุษ ไม่ว่าจะเป็นภาษีหรือการบริการล้วนได้รับการปฏิบัติด้วยดีที่สุด อารามเต๋าในเมืองสวินหยางก็มีฐานะสูงสุดในบรรดาอารามเต๋าของนิกายหลวง มันค่อยๆ ขยายที่ดินเพิ่มขึ้น จนกลายเป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในต้าลู่
บนแผนที่เมืองเทียนเหลียงในตอนนี้ดูเหมือนกับกระบี่สั้น เมืองฮั่นชิวเป็นด้ามและเมืองสวินหยางเป็นคมกระบี่ ด้านบนเป็นพื้นที่กว้างใหญ่ซึ่งดูคล้ายกับตัวกระบี่
กระบี่นี้ชี้ตรงไปที่ทิศเหนือ ชี้ไปที่ทุ่งหิมะกว้างใหญ่ไร้สิ้นสุด ที่ดินของเผ่ามาร
แน่นอนว่าตอนเหนือสุดห่างเมืองเทียนเหลียงไปพันกว่าลี้ มีป้อมปราการสิบกว่าหลังและที่ศูนย์บัญชาการกองทัพอีกสองแห่ง ตั้งอย่างกระจัดกระจายและเปลี่ยวร้างอย่างมาก มนุษยชาติไม่เคยสามารถควมคุมพื้นที่บริเวณนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่าว่าแต่ทำให้รุ่งเรือง เพราะที่แห่งนี้อยู่ใกล้กับเผ่ามารมากเกินไป
ไม่ว่าสถานการณ์ในโลกจะเป็นอย่างไร ตอนเหนือของเมืองเทียนเหลียงมีสงครามระหว่างมนุษย์กับมารเกิดขึ้นไม่เว้นแม้แต่วันเดียว
ต้นฤดูใบไม้ผลิปีก่อน กองทัพมารเริ่มเคลื่อนลงใต้ ทำให้สถานการณ์ที่นี่ตึงเครียดยิ่งขึ้น อาบเลือดมากขึ้น ที่ราบซึ่งเคยรกร้างว่างเปล่าได้ปกคลุมไปด้วยฝุ่นควันและทหารม้าจำนวนนับไม่ถ้วนที่พุ่งเข้าหากัน แม้แต่บนท้องฟ้า พวกราชรถบินไดที่หาได้ยากในจิงตูและสัตว์อสูรโหดเหี้ยมซึ่งถูกควบคุมโดยเผ่ามารปะทะกันอยู่สูงขึ้นไปบนอากาศที่เย็นเยียบราวกับดวงตาของพระเจ้าที่ไร้เมตตา
เสียงการต่อสู้สะเทือนท้องฟ้าเมื่อทหารม้าสองฝ่ายพุ่งเข้าหากันราวกับน้ำบ่าสองสาย ทำให้โลหิตและปราณสาดกระจายไปทั่ว ในเวลาอันสั้น ทหารม้าของมนุษย์จำนวนนับไม่ถ้วนถูกถล่มใส่และตายลง ในทำนองเดียวกัน ทัพหมาป่าที่น่าหวาดกลัวที่สุดของเผ่ามารก็ถูกกักในค่ายกลที่มนุษย์สร้างขึ้นและถูกฉีกกระชากเป็นเศษเนื้อน่าขยะแขยงจำนวนนับไม่ถ้วน
เลือดของเผ่ามนุษย์และปีศาจมีสีต่างกันอย่างสิ้นเชิงเช่นเดียวกับมุมมองต่อชีวิตของพวกเขา ภายใต้ฉางหลังของทุ่งหิมะ พวกมันสร้างความแตกต่างอย่างน่าใจหายที่สุด แต่เมื่อชีวิตเสียไปมากขึ้นเรื่อยๆ เลือดสีแดงและเขียวก็ไม่มีทางเลือกนอกจากจะปนกันในที่สุด ซากศพเริ่มกองสุมสูงขึ้น ไม่ว่าการตายของพวกเขาจะน่ายกย่องหรือน่าสะอิดสะเอียน ก็ไม่อาจที่แยกพวกมันออกจากกันได้
เป็นไปไม่ได้ที่จะแยกความตาย พวกที่มีชีวิตก็ถูกบีบให้รวมตัวกัน กองทัพทั้งสองฝ่ายากที่จะแยกจากอีกฝ่ายหนึ่ง พวกเขารวมกันเป็นคลื่นสีดำกลืนกินทุ่งหิมะกว้างใหญ่เอาไว้ ในสนามรบที่แน่นขนัดและรุนแรง ค่ายกลของทั้งเผ่ามนุษย์และมารถูกฉีกออกอย่างรุนแรงด้วยปราณโลหิต เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นเป็นระยะๆ จากผู้สร้างค่ายกลที่กำลังจะตายจากผลสะท้อนกลับ ผู้บำเพ็ญเพียรมนุษย์กับยอดฝีมือเผ่ามารพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเป็นระยะๆ เข่นฆ่าออกมาจากคลื่นสีดำในการพยายามที่จะหลบหนี ไม่นานหลังจากนั้น พวกเขาก็จมลงอยู่ในคลื่นสีดำอีกครั้งและไม่ถูกพบเห็นอีกเลย
แสงส่องขึ้นเป็นระยะๆ จากคลื่นสีดำ เป็นการระเบิดของประกายดาวที่แตกตัว ทุกครั้งที่แสงวาบขึ้นหมายความว่าผู้บำเพ็ญเพียรขั้นรวบรวมดวงดาวได้ตายลง ประกายดาวของเขากระจายสู่บริเวณโดยรอบ
ต่อให้เซวียสิ่งชวนฟื้นคืนชีพ เซียวจางก้าวเข้าสู่สนามรบหรือผู้ยิ่งใหญ่เผ่ามารในส่วนลึกของทุ่งหิมะเริ่มเคลื่อนไหว พวกเขาก็ไม่ส่งผลต่อการต่อสู้เช่นนี้มากนัก
มันคือสงคราม สิ้นหวังแต่ก็ยุติธรรม ผลสุดท้ายนั้นขึ้นกับทุกคนที่มีส่วนร่วมในการต่อสู้นี้
แน่นอนทุกคนได้ทำงานร่วมกันเพื่อส่งผลกระทบต่อสงครามนี้ ในตอนที่พวกเขาแยกจากกัน ประสิทธิภาพก็จะเริ่มลดลงจนกระทั่งไม่เหลือ
ยกตัวอย่างเช่นหน่วยย่อยจากกองทัพซงซานได้เดินทางผ่านเทือกเขาที่ปั่นป่วนสู่ทางตะวันออกของทุ่งราบ พวกเขาแทบจะถูกกำจัดจนสิ้นซากแต่เหตุการณ์แบบนี้ไม่ส่งผลกระทบต่อสงครามนี้
ปัญหาก็คือทุกคนในหน่วยนี้ต้องการจะรอดชีวิต ชีวิตของพวกเขามีค่ามากสำหรับเขา ดังนั้นพวกเขาจึงต่อสู้ต่อไป แม้ว่าพวกเขาจะไม่ใช่คู่มือของศัตรูอย่างแน่นอน
หน่วยย่อยจากกองทัพซงซานนี้หนีจากสนามรบไม่ใช่เพราะพวกเขาสิ้นหวังและหวาดกลัว ทว่าเป็นเพราะพวกเขาได้รับคำสั่งล่วงหน้าว่าให้นำตัวนักสร้างค่ายกลที่ได้รับบาดเจ็บ
นักสร้างค่ายกลมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในสนามรบ การสร้างค่ายกลจำเป็นต้องใช้ห้วงแห่งจิตและประกายดาวที่ไม่อาจแยกจากค่ายกลได้ เป็นเรื่องที่ต้องพึ่งพาผู้บำเพ็ญเพียรอย่างมาก ดังนั้นแม้แต่นักสร้างค่ายกลที่อ่อนแอที่สุดก็ต้องอยู่ในขั้นทะลวงอเวจี ยิ่งไปกว่านั้นตอนที่ค่ายกลถูกทำลาย นักสร้างค่ายกลจะได้รับผลสะท้อนกลับอย่างรุนแรง ดังนั้นนักสร้างค่ายกลจึงรับบทบาทที่เสี่ยงชีวิตอย่างมากในสนามรบ
เป็นบทบาทที่สำคัญที่สุดบทบาทหนึ่ง แต่ก็เป็นบทบาทที่เสี่ยงตายมากที่สุด ดังนั้นนักสร้างค่ายกลจึงได้รับความเคารพอย่างสูงจากทหาร และยังได้รับการปกป้องสูงที่สุด
เพื่อให้นักสร้างค่ายกลที่บาดเจ็บหนักได้รับการรักษาโดยเร็วที่สุด หน่วยย่อยจากกองทัพซงซานจึงต้องจ่ายค่าตอบแทนอย่างขมขื่น เพื่อมาถึงเทือกเขาที่ป่าเถื่อนนี้ ทหารสามสิบคนเหลือเพียงแค่สิบสี่คน
พวกเขาถูกทัพหมาป่าห้านายไล่ล่า
ก้อนหินกระเด็นขึ้น พื้นดินสั่นสะเทือน ฝุ่นลอยขึ้นในอากาศ ทัพหมาป่าปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าพวกเขาอีกอย่างครั้งหนึ่ง
ทัพหมาป่าเป็นทัพที่น่ากลัวที่สุดของเผ่ามาร พวกเขาขี่หมาป่าดื่มเลือดที่อาศัยอยู่บนทุ่งหิมะ มีร่างกายใหญ่โตและขนที่เหมือนกับแข็มเหล็ก พวกมันมีความเร็วน่าทึ่งและนิสัยโหดเหี้ยม
ทัพหมาป่าทั้งห้าพุ่งออกมาจากฝุ่นผงและล้อมทหารมนุษย์ทั้งสิบสี่คนเอาไว้
หมาป่ากระหายเลือดสูงประมาณหนึ่งจั้ง และเผ่ามารที่ขี่อยู่ด้านบนมีเขา ร่างของพวกมันปกคลุมไปด้วยเกร็ดเหมือนเกราะ ดวงตาสีมีเขียวขุนมัว ปากของพวกมันมีรูปร่างเหมือน ‘人’ มีน้ำลายเหม็นไหลย้อย
เมื่อเทียบกับผู้สูงศักดิ์เผ่ามารที่อยู่ในเมืองเสวี่ยเหล่า ทหารเผ่ามารพวกนี้น่าเกลียดน่ากลัวยิ่งกว่า
นี่คือรูปลักษณ์ที่แท้จริงของมารระดับต่ำ เป็นสิ่งที่เผามารดูเหมือนในสายตาของมนุษย์
ทหารเผ่ามารระดับต่ำสุดยังสามารถต่อสู้กับมนุษย์ที่ชำระกระดูกได้สำเร็จ แต่พวกนี้ไม่ใช่ระดับต่ำสุด พวกนี้คือทัพหมาป่าผู้เชี่ยวชาญ
ถูกทัพหมาป่าห้านายล้อมไว้ ไม่มีทางให้ถอย ทหารมนุษย์เปี่ยมไปด้วยความสิ้นหวัง แต่ไม่มีใครยอมแพ้ แต่กลับกำอาวุธแน่นขึ้น
แต่สงครามระหว่างเผ่ามนุษย์กับเผ่าปีศาจนั้นน้อยครั้งที่จะจับเชลย และน้อยครั้งจะมีคนยอมจำนน สาเหตุก็ง่ายมาก เผ่ามารไม่มีนิสัยยอมรับการจำนน
ในบางแง่มุมเผ่ามารที่โหดเหี้ยมนั้นเป็นประโยชน์ต่อมนุษย์ เพราะพวกเขาไม่ต้องกังวลเรื่องการหนีทัพหรือทรยศ
เพราะเหตุนี้มีคนมากมายพบว่ายากจะเชื่อได้ว่าเหลียงเสี้ยวเซียวร่วมมือกับเผ่ามาร
การต่อสู้เริ่มขึ้นและจบลงอย่างรวดเร็ว
แม้ว่าหน่วยย่อยจากกองทัพซงซานนี้จะเรียกได้ว่าแสดงผลการฝึกที่ยากลำบากได้อย่างสมบูรณ์แบบ โจมตีและป้องกันได้อย่างสอดคล้องอย่างยิ่ง แต่พวกเขาก็ยังไม่อาจสู้ได้
คลื่นพลังปราณรุนแรงแพร่ออกมาแฝงไว้ด้วยกลิ่นคาวเลือด หินแข็งบนภูเขาถูกกงเล็บหมาป่าขูดเป็นลอย
การปะทะครั้งแรกนานแค่ไม่กี่วินาที มีทหารมนุษย์ตายไปสามคน
ทหารเผ่ามารก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนเช่นกัน แต่เป็นการถูกตัดเขาไปแค่คนเดียวเท่านั้น
ลมเย็นพัดหิมะขึ้นและปกคลุมรอยข่วนที่เกิดจากกงเล็บหมาป่า
เผ่ามารที่ถูกตัดขาออกโกรธเกรี้ยว เขาส่งเสียงคำรามอย่างเกรี้ยวกราดแล้วยกศพของมนุษย์ขึ้นด้วยทวนในมือ
ฉั่ว ศพของทหารมนุษย์ถูกตัดขาดเป็นสองท่อน
เลือดไหลลงมา
ทหารเผ่ามารคว้าส่วนบนของศพ นำมาที่ปากและเริ่มเคี้ยวมัน
ส่วนล่างของศพไม่ได้ตกลงกับพื้นแต่ถูกปากของหมาป่าคาบเอาไว้
กรอบ กรอบ กรอบ ท่ามกลางความเงียบงันของเทือกเขา มีเพียงเสียงของกระดูกถูกเคี้ยวดังให้ได้ยิน
เลือดไหลลงมาจากทั้งปากของมารและหมาป่าและหยดลงบนพื้น