สงครามระหว่างเผ่ามารกับมนุษย์เกิดขึ้นจากการแย่งชิงดินแดนต้าลู่ แต่ที่ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันจนตายนั้นเกี่ยวข้องกับเรื่องหนึ่งอย่างมาก
มารกินมนุษย์
นี่เป็นความกลัวที่สุดของมนุษยชาติ เป็นเหตุแห่งความโกรธ และยังเป็นต้นกำเนิดแห่งความกล้าหาญที่สำคัญที่สุด
อันที่จริงไม่ว่ายุคสมัยใด มนุษย์ก็ไม่เคยเป็นอาหารหลักของมาร ในตอนแรกมารกินมนุษย์ราวกับว่ามันเป็นการแสดงคุณลักษณะของยุคป่าเถื่อน และยังเป็นการทำให้พวกเขาดูลึกลับในสนามรบ ทำให้ร่างกายแข็งแกร่งขึ้น โอ้อวดกำลังและข่มขู่ศัตรู อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไป การกระทำนี้ก็ค่อยๆ กลายเป็นนิสัยของเผ่ามาร
หลังจากนั้นการกระทำอันน่ากลัวนี้ก็ไม่มีประสิทธิภาพกับเผ่ามารเหมือนที่เคย และความกลัวที่มันสร้างให้กับมนุษย์ก็เปลี่ยนไปเป็นความแค้นและกล้าหาญ จากมุมไหนก็ตาม การกระทำนี้ไม่สร้างประโยชน์ให้กับสงครามระหว่างมนุษย์กับมารนี้ มีแต่ผลร้าย
ทหารเผ่ามารที่ฉลาดหน่อยได้ตระหนักถึงเรื่องนี้นานแล้ว อย่างไรก็ตาม การจะหยุดพฤติกรรมที่ทำติดต่อกันมานั้นต้องพบกับการโต้แย้งทุกชนิด ยิ่งไปกว่านั้นกับเผ่ามารที่มีชื่อเรื่องความชั่วร้าย เรื่องเกี่ยวกับเลือดและความน่ากลัวนั้นเป็นความสุขที่พวกเขายินดีรับไว้
หลังจากถกเถียงกันมาหลายปี บัณฑิตใหญ่ผู้มีชื่อเสียงได้ทำการวิจัยพฤติกรรมนี้มายี่สิบปี ในที่สุดหลังจากวิเคราะห์พฤติกรรมนี้ผ่านทฤษฎีและมุมมองทางสังคมและชั่งน้ำหนักส่วนได้ส่วนเสียทั้งทางร่างกายและจิตใจ เขาก็แสดงการประเมิน ในงานของเขา บัณฑิตใหญ่บอกอย่างชัดเจนว่าการกินมนุษย์ไม่มีประโยชน์ต่อความก้าวหน้าของมาร ในทางกลับกัน ร่างกายมนุษย์บรรจุสิ่งที่จะปนเปื้อนในสมองของมาร สุดท้ายแล้วมารที่กินมนุษย์มากเกินไปจะกลายเป็นบ้าทำร้ายตัวเองจนกระทั่งตายไป ในเวลาเดียวกัน บัณฑิตใหญ่ทงกู่ซือก็แสดงความดูถูกพฤติกรรมนี้ในแง่ของทฤษฎี บอกว่าพฤติกรรมนี้เป็นการหมิ่นเทพจันทรา
ในเมืองเสวี่ยเหล่าการวิจัยของบัณฑิตใหญ่ทงกู่ซือย่อมไม่เผชิญหน้ากับการโต้แย้ง เช่นเดียวกับเรื่องอื่นๆ ที่เขาทำการวิจัย ส่วนบัณฑิตใหญ่คนอื่นในยุคนั้นที่มีสิทธิ์จะตั้งคำถามเขา สังฆราชในตอนใต้ ล้วนไม่มีใครส่งเสียงคัดค้าน
บางทีเพราะว่าความเงียบนี้เป็นสิ่งที่ขัดกับการขัดแย้งอย่างรุนแรงของทั้งสองฝ่ายในอดีต มันนำมาซึ่งข่าวลือและการถกเถียงอย่างลับๆ สารพัดชนิด บัณฑิตเผ่ามารบางคนสงสัยว่ามีปัญหากับการแสดงความเห็นของบัณฑิตใหญ่ทงกู่ซือ ในขณะที่บัณฑิตของพระราชวังหลีได้เสนอความเป็นไปได้ที่อุกอาจยิ่งกว่า บอกว่างานวิจัยเรื่องมารที่กินมนุษย์นี้เป็นไปได้ว่าเป็นการทำงานร่วมกันของบัณฑิตใหญ่ทงกู่ซือกับสังฆราช! อย่างน้อยสังฆราชก็ให้การช่วยเหลืออย่างมากในเรื่องนี้
หากข้อสงสัยนี้เป็นจริง ก็เป็นธรรมดาที่จะมีเรื่องผิดปกติกับงานวิจัยนี้ บางทีอาจเป็นเรื่องที่ปั้นแต่งขึ้นอย่างสิ้นเชิง แต่อย่างที่เคยบอกไปก่อนหน้านี้ ราชสำนักกับผู้สูงศักดิ์ในเมืองเสวี่ยเหล่าไม่แสดงความเห็นแย้งกับการประเมินของบัณฑิตใหญ่ทงกู่ซือ สังฆราชในพระราชวังหลีก็นิ่งเงียบ ดังนั้นใครจะกล้าแสดงความสงสัย
เมื่องานวิจัยนี้แพร่กระจายออกไป ความนิยมในการกินมนุษย์ก็ค่อยๆ ลดลง ในที่สุดเมื่อพันปีก่อน ราชามารที่ปกครองต้าลู่ก็สั่งห้ามพฤติกรรมนี้ในที่สุด นับจากนั้นมา การกินมนุษย์ก็ถูกสั่งห้ามในพื้นที่เผ่ามารโดยเฉพาะในเมืองเสวี่ยเหล่า ที่การกระทำนี้ไม่เคยเกิดขึ้น
แต่ความแข็งแกร่งของประเพณีนี้มากเกินไป ทุ่งหิมะของเผ่ามารก็กว้างเกินไป ระยะห่างของความฉลาดและวัฒนธรรมระหว่างชนชั้นต่างๆ ของเผ่ามารก็กว้างเกินไป แม้แต่ผู้ยิ่งใหญ่อย่างบัณฑิตใหญ่ทงกู่ซือกับราชามารก็ไม่อาจที่จะทำให้พฤติกรรมนี้หายไปอย่างสิ้นเชิง มารระดับต่ำในเผ่าเล็กๆ ยังลอบกินมนุษย์อยู่ ถึงกับคิดว่าเป็นเรื่องมีเกียรติ ในอดีตหลายร้อยปีที่ผ่านมา มีศพมนุษย์มากมายแค่ไหนที่หายไปจากสนามรบ ในหมู่ขุนพลมารหลายสิบคน มีกี่คนที่ไม่เคยกินเนื้อมนุษย์
ตอนนี้เมื่อราชามารจากไป และความโหดร้ายของสงครามระหว่างมนุษย์กับมารก็เพิ่มขึ้น การยกเลิกนี้จึงไม่ถูกปฏิบัติตามอีก
ในทุ่งหิมะที่ห่างไกล ภาพอันชั่วร้ายนี้ก็เกิดขึ้นไปทั่ว เช่นเดียวกับตอนนี้ท่ามกลางเทือกเขาที่ปั่นป่วน
ทหารเผ่ามารกับหมาป่าของเขากัดกินร่างของทหารมนุษย์อย่างต่อเนื่อง
เลือดไหลลงจากปากและหยดลงบนพื้นที่แข็งและเย็น
ได้เห็นภาพนี้ต้องมีคนทนไม่ได้ในที่สุด เขาโยนอาวุธและหนีไปตามทางเดินบนเขาอย่างโศกเศร้า อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เขาจะไปได้ไกล หนึ่งในทหารทัพหมาป่าที่เฝ้าทิศตะวันตกเฉียงใต้ก็จับเขาได้ เขากลายเป็นเลือดเนื้อเลอะเลือนพร้อมกับเสียงร้องน่าอนาถ
เผ่ามนุษย์ได้รับบทเรียนอาบเลือดทุกวันในสนามรบ
มีแต่อยู่กับเพื่อนร่วมรบจึงจะมีหวังรอดชีวิต การหนีหรือทรยศก็เหมือนกับตาย
ความหวาดกลัวและโกรธนั้นเกิดมาด้วยกัน ดังนั้นเมื่อทหารคนนี้หนีไปด้วยความตื่นตระหนก ทหารอีกสิบคนก็โมโหอย่างมาก
ความโกรธเป็นต้นกำเนิดที่ใหญ่ที่สุดของความกล้า ทหารจับอาวุธเอาไว้แน่นอีกครั้งและคำรามใส่ทหารทัพหมาป่า
ผู้นำกลุ่มย่อยเป็นทหารเก่าที่ชำระกระดูกสำเร็จเมื่อหลายปีก่อน เขามีประสบการณ์ในสนามรบมากมาย ดังนั้นเขาจึงสงบกว่าผู้ใต้บังคับบัญชามาก
เมื่อเสียงร้องอย่างทนทุกข์และเสียงคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวดังขึ้นพร้อมกัน เขายังสำรวจบริเวณโดยรอบ พิจารณาสถานการณ์ปัจจุบันและคิดหาทางหนี
สายตาของเขาตกไปที่แคร่หามและเขาก็แสดงการขอโทษอยู่เงียบๆ หน่วยของเขาพังทลายจนแทบจะตายกันหมด เขาถูกบีบให้ใช้วิธีสุดท้ายทั้งสองออกมา แต่แม้เขาจะทำสำเร็จ ก็ไม่เหลือผู้รอดชีวิตแม้แต่คนเดียว ในตอนนั้น นักสร้างค่ายกลบนแคร่หามหากไม่ถูกแช่แข็งจนตายก็คงจะอดตาย ไม่ว่าอย่างไร มันก็เป็นจุดจบที่น่าอนาถ
นักสร้างค่ายกลได้รับความเคารพสูงสุดและเป็นคนที่ได้รับการต้อนรับที่สุดในสนามรบ ไม่ประหลาดใจเลยหากพวกเขาตายในสนามรบแต่พวกเขาไม่ควรมีจุดจบที่น่าอนาถเช่นนี้
ยิ่งไปกว่านั้น นักสร้างค่ายกลคนนี้ยังอายุน้อยมาก
นักสร้างค่ายกลระดับต่ำที่สุดอยู่ขั้นทะลวงอเวจี ดังนั้นพวกเขาย่อมมีอายุอยู่บ้างเป็นธรรมดา
นักสร้างค่ายกลนี้มีผิวคล้ำมากและผอมมาก แม้ว่าใบหน้าจะปกคลุมไปด้วยเลือด ก็ยังบอกได้ว่าเขายังหนุ่มอยู่
นักสร้างค่ายกลที่อายุน้อยนั้นเป็นสิ่งที่หาได้ยากแม้แต่ในศูนย์บัญชาการกองทัพซงซาน อย่าว่าแต่มาอยู่ท่ามกลางกองทัพในสนามรบ
นักสร้างค่ายกลที่อายุน้อยนั้นต้องมีพรสวรรค์อย่างมากแน่นอน ตราบใดที่เขาสามารถมีชีวิตรอด เขาย่อมต้องมีอนาคตที่สดใสไร้สิ้นสุดแน่นอน
ผู้นำหน่วยเข้าใจว่าย่อมเป็นเหตุผลที่นายของเขาสั่งให้พวกเขาคุ้มครองนักสร้างค่ายกลนี้ออกมาแม้ว่าการรบจะรุนแรงอย่างมาก
น่าเสียดายที่ทัพหมาป่าที่พวกเขาต่อสู้ด้วยก็รู้เรื่องนี้เช่นกัน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ลังเลที่จะลดกำลังต่อสู้ลงและส่งทหารหลายนายไล่ตามมา
ครั้นเห็นทัพหมาป่าบุกมา เห็นว่าผู้ใต้บังคับบัญชาตายอย่างเด็ดเดี่ยว ผู้นำหน่วยก็โยนกระบี่และนำเอาของวิเศษออกมาจากเข็มขัด
ของวิเศษนี้แผ่ไอปราณจางๆ ที่ดูเหมือนจะสามารถสื่อสารกับบางอย่างใต้เสื้อผ้าของเขา
ทหารก็ดูเหมอืนจะสัมผัสได้ถึงบางอย่งาและหันหน้ามาทางเขา
เขาเปิดปากวางแผนที่จะพูดบางอย่าง
ทหารเดาได้ว่าเขาต้องการจะทำอะไร ใบหน้าพวกเขาซีดขาวและทหารหนุ่มคนหนึ่งก็ดวงตาแดงก่ำ ไม่ใช่เพราะความโกรธแต่เป็นความเศร้า
ไม่มีเวลามาเกลี้ยกล่อมหรือปลอบโยน เผ่ามารกับหมาป่ามาถึงแล้ว กลิ่นเหม็นรบกวนจมูกของพวกเขา
เทือกเขาปั่นป่วนร้องโหยหวนอย่างโกรธเกรี้ยว
ทหารมนุษย์โจมตีทัพหมาป่ากลับไป ไม่ว่าฟันของพวกหมาป่าประหลาดจะคมแค่ไหน ไม่ว่าทวนของทหารเผ่ามารจะแข็งแกร่งเพียงใด มนุษย์ก็ยังโจมตีไป!
เมื่อพวกเขาพุ่งไป ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่หันกลับไปที่เขา
เลือดสาดกระจายและแขนขาฉีกขาด ในเวลาอันสั้นทหารมนุษย์ก็ถูกฆ่าทั้งหมด ส่วนทัพหมาป่าได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยสองคน
ศพทหารมนุษย์ล้มอยู่ใต้อุ้งเท้าของหมาป่าไม่ก็แขวนอยู่บนทวนของทหารเผ่ามารและถูกแทะกิน เป็นภาพที่น่าสะอิดสะเอียนและน่ากลัวผิดปกติ
ทหารเผ่ามารมองไปที่มนุษย์คนสุดท้ายส่งเสียงหัวเราะแหบแห้ง
เขาไม่อาจที่จะเข้าใจคำพูดของพวกมันได้และทำลายของวิเศษในมือ