ตอนที่ 817 ตรีศูลโลหิตปรากฏตัวอีกครั้ง

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตอนที่ 817 ตรีศูลโลหิตปรากฏตัวอีกครั้ง
“ไม่!”

ชวีเหยากรีดร้อง เมื่อแก่นแท้ถูกทำลาย ปราณของมันก็สลายไปในพริบตากลับมาเป็นระดับผลึกเท่านั้น

หลิ่วหมิงสะบัดฝ่ามืออีกข้าง ปราณสีดำสนิทประหนึ่งหมึกก่อตัวขึ้น ประกายแสงสีแดงดำสองสายพุ่งพรวดออกมาประหนึ่งสายฟ้าแลบ

เสียงเปรี๊ยะดังขึ้นสองหน

ปราณแกร่งคุ้มร่างของชวีเหยาก็ถูกประกายแสงโจมตีทีเดียวทะลุ แสงสีแดงพุ่งวูบทะลุดวงตาสองข้างไป

“กรี๊ด!”

สองตาของชวีเหยาพริบตาเดียวกลายเป็นรูเลือดขนาดเท่ากำปั้นสองรู พร้อมกันนั้นปากก็ส่งเสียงกรีดร้องโหยหวนออกมาในทันใด

กระบี่ว่างเปล่าพร่าเลือนวูบหนึ่งก็แล่นมาถึง มันกลายเป็นแสงสีทองสายหนึ่งวนรอบหัวของหนอนไหมยักษ์

เสียง “ฟึบ” ดังขึ้นทีหนึ่ง หัวใหญ่โตก็กลิ้งหลุนๆ ร่วงลงมาจากบนร่าง ร่างกายหนอนไหมยักษ์กระตุกไม่กี่หนก็ร่วงลงมาจากฟ้าด้วย

ตอนนี้เองกระบี่ว่างเปล่าก็หมุนติ้วอีกหน ซัดแสงกระบี่เย็นเยียบแถบแล้วแถบเล่าออกมา ชั่วพริบตากลบหัวและร่างของชวีเหยาไว้ด้านใน ทำให้พวกมันทั้งหมดกลายเป็นเนื้อแหลกเละกองใหญ่

ปราณดำบนมือหลิ่วหมิงค่อยๆ สลายไป เกล็ดมังกรเจ็ดแปดเกล็ดบนกำปั้นจมหายเข้าไปในร่าง

ประกายแสงสีแดงดำสองจุดนั่นก็คือเกล็ดมังกรที่เขาอาศัยโลหิตปีศาจสวรรค์หลอมขึ้นมาใหม่อย่างยากลำบาก เมื่อหลุดออกจากร่างพุ่งพรวดออกไปทรงพลังอย่างที่สุด ทว่าเป็นของใช้แล้วหมดไป ใช้หนึ่งเกล็ดก็น้อยลงหนึ่งเกล็ด

พริบตานั้นที่ชวีเหยาถูกสังหาร ผีเสื้อจิตวิญญาณสีเทาที่สู้อยู่กับสามคนที่เหลือเหล่านั้นก็พากันระเบิดกลายเป็นไอหมอก

หลังหลิ่วหมิงเรียกเงาโคสีน้ำเงินกับกระบี่ว่างเปล่ากลับมาแล้วก็พลิกมือเอาโอสถจินหยวนเม็ดหนึ่งออกมากลืนลงไป จากนั้นเหลียวกลับไปมองคนที่เหลือ

ศึกดุเดือดต่อเนื่องครั้งนี้ แม้พลังเวทในร่างของเขาจะบริสุทธิ์เหนือกว่าคนธรรมดามาก แต่ตอนนี้ก็ผลาญไปเจ็ดแปดส่วนในสิบส่วนแล้ว

บุรุษผมม่วงใกล้ๆ กวักมือข้างหนึ่ง ระฆังทองแดงยักษ์กลางอากาศก็หมุนติ้วกลับคืนขนาดเดิมพุ่งลงมาในมือ จากนั้นร่างกายของเขาก็ขยับว่องไวเหาะร่อนลงบนพื้น หยิบโอสถขวดหนึ่งออกมากลืนลงไปแล้วเริ่มนั่งสมาธิ

ชายหนุ่มรถเงินกับหลัวเทียนเฉิงก็ไม่ได้ดีไปกว่า หลังเก็บอาวุธจิตวิญญาณและพลังไปก็พากันร่อนลงบนพื้นนั่งสมาธิโคจรปราณเช่นกัน

เห็นชัดว่าศึกเมื่อครู่ พวกเขาก็ใกล้เป็นโคมไฟหมดเชื้อแล้วเช่นกัน

หลิ่วหมิงยิ้มเล็กน้อย กำลังคิดจะพูดอะไรบางอย่างกับทั้งสามคน ทันใดนั้นสีหน้าก็พลันเปลี่ยนไป ร่างกายพร่าเลือนหายไปกะทันหันแล้วปรากฏตัวขึ้นไกลออกไป

หลังจากนั้นเสียง “ฟึบ” ทีหนึ่งก็ดังขึ้น ตรีศูลสีดำเล่มหนึ่งพุ่งโจมตีผ่านจุดที่เขาเคยยืนอยู่ประหนึ่งสายฟ้าแลบ แต่แน่นอนว่าพลาดเป้า

หลังจากนั้นบนอากาศว่างเปล่าใกล้ๆ แสงโลหิตเจิดจ้าแสบตาก้อนหนึ่งก็ระเบิดออกมา พร้อมกันนั้นไอหมอกสีแดงแถบใหญ่ก็โถมออกมาจากความว่างเปล่า

กลางไอหมอกสีแดงเงาคนมหึมาร่างหนึ่งปรากฏตัวขึ้น บนศีรษะมีเขาคู่หนึ่ง บนแผ่นหลังก็มีปีกเนื้อสีเลือดขมุกขมัวคู่หนึ่ง

ดูจากสภาพแล้ว มันก็คือตรีศูลโลหิตที่เร้นกายหายไปตลอดก่อนหน้านี้นั่นเอง ทว่าเวลานี้ขนาดร่างของมันใหญ่ขึ้นมากกว่าสิบเท่า มีขนาดสิบกว่าจั้งประหนึ่งยักษ์ตนหนึ่ง

สองตาของหลิ่วหมิงหรี่ลง ไม่พูดพร่ำเป็นคำที่สองก็สะบัดแขนเสื้อ กระบี่ว่างเปล่าออกมาขวางหน้าร่าง

พวกหลัวเทียนเฉิงที่เดิมนั่งขัดสมาธิอยู่ก็หน้าถอดสีกระโดดลุกขึ้นทันที บ้างกระตุ้นวิชา บ้างปล่อยอาวุธจิตวิญญาณป้องกันออกมา ท่าทางของทุกคนประหนึ่งศัตรูตัวฉกาจมาเยือน

ตรีศูลโลหิตยักษ์กลับไม่มองคนทั้งหลายเบื้องล่าง มันอ้าปากกว้าง แสงสีแดงผืนหนึ่งซัดออกมา หอบศพของชวีเหยาที่เป็นเนื้อแหลกเละเบื้องล่างพุ่งกลับเข้าไปในปาก เคี้ยวสองคำก็กลืนลงไปหมดสิ้น

“ฮิฮิ…”

ตรีศูลโลหิตแหงนหน้าส่งเสียงหัวเราะประหลาดออกมาพักหนึ่ง ในที่สุดก็มองมาทางพวกหลิ่วหมิง ดวงตาใหญ่ยักษ์คู่หนึ่งคล้ายมีแววตาลังเลปรากฏขึ้น ทว่าครู่ต่อมาบนร่างก็เปล่งแสงสีแดง รอบร่างหมอกโลหิตถาโถมพลุ่งพล่านออกมา เงาร่างใหญ่ยักษ์เดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่อยู่ด้านใน

พวกหลิ่วหมิงอดไม่ได้มองหน้ากัน

“สัตว์ประหลาดตัวนี้คิดจะทำอะไร?” ชายหนุ่มรถเงินอดไม่ได้อ้าปากเอ่ยขึ้น

“ไม่ทราบ แต่ไม่ว่าจะทำอะไรก็คงไม่ใช่เรื่องดีสำหรับพวกเรา” หลิ่วหมิงเอ่ยขึ้นช้าๆ

“ไม่ว่าอย่างไรสามตนก็กำจัดไปแล้วสอง พวกเราสู้อีกสักตั้งเถอะ จัดการสัตว์ประหลาดตัวสุดท้ายนี่น่าจะไม่ใช่เรื่องยากอันใดกระมัง?” หลัวเทียนเฉิงสูดหายใจลึกทีหนึ่งแล้วเอ่ยอย่างเย็นชา

“ศิษย์น้องหลัวอย่าได้ลืม สัตว์ประหลาดสามตัวนี้ล้วนเป็นเพียงร่างแปลงชั่วคราวเท่านั้น ใครจะรู้ว่าร่างต้นของพวกมันอยู่ใกล้ๆ หรือไม่” หลิ่วหมิงกลับเอ่ยตอบเรียบๆ

“เจ้าบอกว่าร่างต้นของพวกมันอยู่ในแดนลึกลับ นี่จะเป็นไปได้อย่างไร?” หลัวเทียนเฉิงท่าทางไม่เชื่ออย่างสิ้นเชิง

“ฮึฮึ นี่ก็ไม่แน่ เจ้าคิดว่ามิติที่ขังพวกเราไว้พร้อมกันได้เช่นนี้ ร่างแปลงระดับแก่นแท้ไม่กี่ตนนี่จะสร้างออกมาได้หรือ” เวลานี้บุรุษผมม่วงกลับหัวเราะเอ่ยขึ้น

หลัวเทียนเฉิงได้ยินสีหน้าก็เปลี่ยนไปมาหลายครั้ง ขณะที่กำลังคิดจะพูดอะไร ทันใดนั้นแผ่นดินเลือดเนื้อใต้เท้าพวกเขาก็ส่งเสียงอื้ออึงออกมาจากข้างใต้ นอกจากนี้เสียงจากเบากลายเป็นดัง จากช้ากลายเป็นเร็ว ยิ่งดังสนั่นขึ้นทุกที ยิ่งถี่ขึ้นทุกที

หลิ่วหมิงสองคิ้วขมวดเล็กน้อย ในใจมีลางสังหรณ์ไม่ดีอยู่นิดๆ

ทันใดนั้นพวกเขาก็รู้สึกว่าใต้เท้ายุบลง ผืนเนื้อบนพื้นฉับพลันเกิดแรงดูดสายหนึ่งคล้ายหมายจะบังคับลากพวกเขาเข้าไปในผืนเนื้อ

ทว่าแรงสายนี้ไม่เพียงพอให้พวกหลิ่วหมิงสี่คนต้องกลัว

ทั้งสี่คนกระตุ้นเคล็ดวิชาแทบจะพร้อมกัน ดิ้นหลุดจากแรงดูดบินขึ้นไปกลางท้องฟ้าอย่างพร้อมเพรียง

ครู่ต่อมากำแพงเนื้อทั้งมิติก็คล้ายจะขยับไม่หยุด ทั้งยังส่งเสียงลื่นพรวดๆ ออกมาพักหนึ่งเป็นระยะ กลิ่นคาวเลือดแสบจมูกสายหนึ่งฟุ้งออกมาจากเบื้องล่าง

“แย่แล้ว!” หลิ่วหมิงร้องตะโกนขึ้นกะทันหัน

สามคนที่เหลือต่างตกใจมองตามสายตาของหลิ่วหมิงไป เห็นเพียงรังไหมเนื้อสีเลือดของคนอื่นบนพื้นจมลงไปกว่าครึ่งตั้งแต่เมื่อไรไม่ทราบ กำลังจะถูกผืนเนื้อกลืนเข้าไปโดยสมบูรณ์แล้ว

“ทำอย่างไรดี? จะลงมือช่วยพวกเขาไหม?” บนหน้าชายหนุ่มรถเงินปรากฏสีหน้าลังเล เผิงเยวี่ยอยู่ในก้อนเนื้อข้างล่างเหมือนกัน

ถ้อยคำของเขาแทนที่จะเรียกว่าเอ่ยถาม คล้ายพึมพำกับตนเองมากกว่า

“ไม่ทันแล้ว!” บุรุษผมม่วงกวาดมองผืนดินเลือดเนื้อเบื้องล่างที่เผยปากมหึมานับไม่ถ้วนออกมาแล้วเอ่ยอย่างเย็นชา

หลิ่วหมิงเงียบงัน จ้องตรีศูลโลหิตฝั่งตรงข้ามอย่างมาดร้าย ในสภาพที่พลังเวทส่วนใหญ่ของพวกเขาสี่คนใช้ไปแล้วค่อนครึ่ง เป็นไปไม่ได้นักที่จะมีโอกาสสนใจคนที่ถูกขังอยู่ข้างล่าง

ผ่านไปเพียงสองสามลมหายใจ ก้อนเนื้อทั้งหมดก็แทบจะจมมิดลงไปใต้พื้นอย่างสิ้นเชิง เหลือเพียงส่วนยอดครึ่งวงกลมนิดเดียวเท่านั้นที่ยังโผล่ออกมาจากพื้นขยับขยุกขยิกต่อ

เสียงเปรี้ยงดังสนั่น มิติทั้งหมดเริ่มสั่นอย่างรุนแรง คลื่นปราณวงแล้ววงเล่าที่มีแสงสีแดงจุดแล้วจุดเล่าแทรกอยู่ไม่ทราบพัดมาจากที่ใด พัดพวกหลิ่วหมิงจนเสื้อผ้าลอยสะเปะสะปะไม่หยุด

“ฮ่าฮ่าฮ่า…”

เสียงหัวเราะคลุ้มคลั่งดังกังวานในมิติสีเลือด สะเทือนอากาศจนส่งเสียงอื้ออึง ทำให้คนฟังเลือดลมปั่นป่วน ในใจรู้สึกยากทนรับ แสงสีเลือดแสบตากลางอากาศกะพริบวูบวาบไม่หยุด

พร้อมกับที่แรงสั่นสะเทือนในมิติค่อยๆ สงบลง แสงสีเลือดก็ดับลงด้วย ร่างกายของตรีศูลโลหิตปรากฏขึ้นในลานสายตาของพวกหลิ่วหมิงอีกครั้ง

มันในตอนนี้ร่างกายคืนกลับมาขนาดเท่าปกติแล้วแต่กลับแผ่ปราณน่าหวาดกลัวอย่างที่สุดสายหนึ่งออกมา ในมือยังคงกำตรีศูลสีดำเล่มนั้นไว้เช่นเดิม เมื่อสายตากวาดมา พวกเขาพลันรู้สึกกระแสเย็นเยียบสายหนึ่งพุ่งขึ้นมา บนผิวหนังรู้สึกว่ามีบางอย่างทิ่มแทง

หลิ่วหมิงสีหน้าย่ำแย่อย่างที่สุดในทันใด!

แรงกดดันที่แผ่ออกมาจากบนร่างตรีศูลโลหิตสูงกว่าระดับแก่นแท้อย่างเห็นได้ชัด ไปถึงขั้นดาราพยากรณ์แล้ว นอกจากนี้ในแรงกดดันยังมีกลิ่นอายที่ค่อนข้างคล้ายคลึงกับผู้เฒ่าเทียนเหอกับประมุขหอเป๋ยโต่วที่เขาเคยเห็นมาอยู่นิดหน่อยอีกด้วย

“เป็นไปไม่ได้ พลังของมันเพิ่มขึ้นมาถึงขั้นนี้ได้อย่างไร ห่างจากระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์แค่ก้าวเดียวแล้ว” หลังบุรุษผมม่วงมองสำรวจตรีศูลโลหิตอย่างละเอียดหลายหนก็หลุดปากออกมา

หลังหลัวเทียนเฉิงกับชายหนุ่มรถเงินสัมผัสได้ถึงแรงกดดันประหนึ่งจะทลายฟ้าทลายดินจากฝั่งตรงข้าม สีหน้าก็ซีดเผือดอย่างยิ่งในพริบตาเช่นกัน

จากการต่อสู้ก่อนหน้านี้ พวกเขาสี่คนต่างฝ่ายต่างรู้จักพลังของกันและกันคร่าวๆ แล้ว พวกเขาเรียกได้ว่าเป็นผู้โดดเด่นในหมู่คนรุ่นเดียวกันทั้งสิ้น หากร่วมมือกันต่อให้คู่ต่อสู้ร้ายกาจอีกเท่าใดก็สมควรมีพลังสู้ได้ศึกหนึ่ง

ทว่าทุกสิ่งนี้เมื่ออยู่ต่อหน้าตัวตนอันน่าหวาดกลัวของผู้แข็งแกร่งระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ย่อมไร้ประโยชน์

“ไม่ผิด ไม่ได้มีความรู้สึกเช่นนี้มานานนักแล้ว แม้ยังไม่เท่ากับพลังยามสูงสุด ทว่าจัดการมดปลวกไม่กี่ตัวนี้น่าจะไม่มีปัญหาอย่างสิ้นเชิง…”ตรีศูลโลหิตยืดร่าง ขณะที่สัมผัสพลังงานอันท่วมท้นบนร่างก็เอ่ยกับตนเองอย่างพออกพอใจ

“ตรีศูลโลหิต เจ้าถึงกับกล้ากินร่างแยกของข้าตามใจ!” ในมิติสีเลือดเสียงด่าทอกรีดแหลมของสตรีเสียงหนึ่งดังขึ้นประหนึ่งลอยมาจากที่ไกลอย่างที่สุด สะเทือนมิติทั้งหมดจนดังอื้ออึง

“สหายชวีเหยาไม่ต้องโกรธไป เจ้าเด็กเผ่ามนุษย์สี่คนนี้ไม่ธรรมดา กระทั่งร่างแยกของพวกเจ้ายังพ่ายแพ้ให้แก่พวกเขา ข้าจึงได้แต่ยืมพลังแห่งสายเลือดจากร่างแยกของพวกเจ้า ฝืนปลดปล่อยพลังระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์เล็กน้อยออกมาจากร่างต้นที่ถูกผนึกกรอกเข้ามาในร่างแยกร่างนี้ อีกประการชีวิตในร่างแยกของพวกเจ้าก็ดับสิ้นลงแล้ว สิ่งนี้สำหรับเจ้าก็ไม่น่ามีประโยชน์มากนักแล้วกระมัง!”

“เหอะ! เจ้าพูดเสียดิบดีเชียวนะ ร่างแยกเหล่านี้พวกเราใช้เวลานับหมื่นปีถึงฝืนสร้างออกมาได้ บรรจุพลังดั้งเดิมของพวกเราไว้อยู่ ถูกเจ้ากลืนกินลงไป ไยไม่ใช่เอากลับมาไม่ได้จริงๆ แล้ว”

พร้อมกับเสียงแค่นหยัน อากาศข้างกายตรีศูลโลหิตก็บิดเบี้ยวพักหนึ่ง ไอหมอกสองก้อนสีเขียวกับสีเทาปรากฏออกมา หลังหมอกกระจายออกเงาสองร่างก็ลอยออกมาจากด้านใน

ชวีเหยากับบุรุษเผ่าหนอนผีเสื้อที่ถูกสังหารไปแล้วนั่นเอง

เวลานี้ทั้งสองตัวฟื้นกลับมาเป็นสภาพสตรีเสื้อเหลืองครึ่งคนครึ่งหนอนไหมกับสภาพหนอนยักษ์หน้าตาเหมือนตะขาบอีกครั้ง ทว่ากลิ่นอายบนร่างอ่อนแอลงกว่าก่อนหน้านี้มากนัก

ภาพนี้ทำให้หางตาหลิ่วหมิงกระตุก หลังจากนั้นเผยรอยยิ้มขมขื่นออกมา

พวกบุรุษผมม่วงกับหลัวเทียนเฉิงยิ่งหน้าเขียวไปแล้ว

“เอาล่ะ อย่างมากที่สุดหลังหลุดออกมาได้จริงๆ ข้าก็แค่ชดเชยให้พวกเจ้าสักหน่อยเท่านั้น เวลาไม่มากแล้ว ข้าจะสังหารเจ้าเด็กเผ่ามนุษย์เหล่านี้ก่อน หลังจากนั้นยังมีเรื่องอีกมากที่พวกเราต้องไปทำ” ตรีศูลโลหิตเอ่ยตอบอย่างไม่ใส่ใจ แขนยกขึ้นทีหนึ่ง ไอหมอกสีเลือดขมุกขมัวก็ถาโถมรวมตัวกันด้านบนมิติทั้งหมด

เสียง “ฟึบ” ดังขึ้น ฝ่ามือยักษ์ขนาดร้อยจั้งข้างหนึ่งก่อตัวขึ้นจากโลหิตจากนั้นร่วงลงมาเบื้องล่าง ทับพวกหลิ่วหมิงทั้งสี่คนไว้ด้านใน

ฝ่ามือยักษ์ยังไม่ทันกระแทกลงมา พวกหลิ่วหมิงสี่คนก็รู้สึกถึงสายลมรุนแรงดุดันที่โถมเข้าใส่ใบหน้า พร้อมกันนั้นพลังเย็นยะเยือกสายแล้วสายเล่าก็รุกรานเข้ามาในร่างพวกเขาอย่างบ้าคลั่ง ไม่ว่าปราณแกร่งคุ้มร่างหรืออาวุธจิตวิญญาณปกป้องกายล้วนไม่อาจต้านทานได้แม้แต่น้อย

หลิ่วหมิงรู้สึกเพียงร่างกายเย็นเยียบ เลือดเนื้อทั้งร่างคล้ายถูกแช่แข็ง ไม่ต้องพูดถึงโคจรพลังเวท กระทั่งขยับร่างก็ทำไม่ได้ ในใจตกตะลึงอย่างยิ่งยวด