ตอนที่ 818 ตะวันมืด

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตอนที่ 818 ตะวันมืด
สามคนที่เหลือสีหน้าเต็มไปด้วยความตกตะลึงเช่นเดียวกัน เห็นชัดว่าพวกเขาถูกไอเย็นประหลาดสายนี้แช่แข็งไม่ต่างกัน ชายหนุ่มรถเงินผู้มีร่างเนื้ออ่อนแอที่สุดในหมู่พวกเขาถึงขั้นมีน้ำแข็งขาวโพลนชั้นหนึ่งปกคลุมนอกร่างในพริบตา

หลังหลิ่วหมิงเห็นว่าฝ่ามือยักษ์กลางอากาศกำลังจะตบลงมา สีหน้าก็เปลี่ยนไปมาหลายหน เขากัดฟันทันที ตั้งใจจะปลดปล่อยวิชาสายฟ้าสวรรค์บางส่วนที่ถูกผนึกอยู่ในร่างออกมาโจมตีสุดชีวิต

ส่วนหลัวเทียนเฉิงกับบุรุษผมม่วง คนหนึ่งร่างกายฉับพลันขยายพรวด รอบร่างแสงสีเงินสว่างจ้า ส่วนอีกคนหนึ่งบนผิวมีลวดลายจิตวิญญาณสีดำเหลืองนับไม่ถ้วนปรากฏออกมา เส้นผมสีม่วงทั้งศีรษะส่งเสียงดัง “พรึ่บ” ทีหนึ่งก็กลายเป็นเปลวเพลิงสีม่วงลุกโหม

เห็นชัดว่าทั้งสองคนนี้ก็ไม่มีทางเลือก คิดจะใช้วิชาดิ้นรนสุดชีวิตเช่นกัน

ทว่าในเวลานี้เอง เสียง “เปรี้ยง” ดังสั่นสะเทือนฟ้าสะเทือนดินเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น!

กลางอากาศเหนือฝ่ามือยักษ์ฉับพลันมีเส้นแสงสีขาวส่องสว่าง เสียงหวีดหวิวดั่งอสนีบาตคำรนพุ่งแล่นลงมา

“เกิดอะไรขึ้น!”

ตรีศูลโลหิตตกตะลึงเงยศีรษะขึ้นมองทันที

เสียง “เปรี้ยง” ดังขึ้นทีหนึ่ง

แสงสีขาวเจิดจ้าจับตาสายหนึ่งพุ่งรวดเร็วออกมาจากในเส้นแสงสีขาวกลางท้องฟ้า โจมตีลงบนผ่ามือยักษ์สีเลือดประหนึ่งสายฟ้าแลบในทันใด

เสียงแผ่วเบาดังขึ้นทีหนึ่งก็เห็นฝ่ามือยักษ์สีเลือดที่ดูเหมือนทรงพลังไม่อาจหยั่งกลับถูกแสงสีขาวพุ่งทะลุ แตกกระจายส่งเสียงดังสนั่นกลายเป็นแสงสีขาวจุดแล้วจุดเล่าหายไปกลางอากาศ

พวกหลิ่วหมิงสี่คนรู้สึกเพียงไอเย็นเยียบในร่างสลายไป ร่างกายเบาโหวง ฟื้นกลับมาขยับได้อีกครั้ง

ทั้งสี่คนยังไม่ทันได้เผยสีหน้ายินดี แสงสีขาวกลางท้องฟ้าพริบตาก็แยกออกไปทางซ้ายขวากลายเป็นรูปบานประตูสีขาวขมุกขมัวบานหนึ่ง จากนั้นเงาคนพร่าเลือนสามร่างก็บินออกมาจากด้านใน

ปราณมหาศาลประหนึ่งจักรวาลสายหนึ่งฉับพลันโถมออกมาจากตัวทั้งสามคน กวาดแรงกดดันน่าหวาดกลัวที่แผ่ออกมาจาตรีศูลโลหิตไปเกลี้ยงแทบจะในพริบตา

หลังพวกหลิ่วหมิงรีบร้อนเพ่งสายตามองคนทั้งสามแล้วยินดีคลุ้มคลั่งในทันใด

พวกเขาเห็นสองคนในนั้นใบหน้าสวมหน้ากากทองแดงกับอาภรณ์ไหมทั้งร่าง ทูตแห่งวังสวรรค์ที่นำศิษย์แต่ละนิกายเข้ามาในงานประตูสวรรค์ก่อนหน้านี้นั่นเอง

ผู้เฒ่าชุดขาวผมขาวผู้นั้นตรงกลางระหว่างทั้งสองคนก็คือผู้เฒ่าเทียนเหอผู้แข็งแกร่งระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์จากวังสวรรค์ที่เคยเผยหน้าออกมาครั้งหนึ่งก่อนหน้านี้

หลังสายตาของทั้งสามคนกวาดมองสถานการณ์เบื้องหน้า ในดวงตาของหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีก็ฉายแววตกตะลึง ส่วนสองตาของผู้เฒ่าเทียนเหอประหนึ่งสายฟ้า กวาดพรึ่บเดียวจับจ้องพวกตรีศูลโลหิตสามตัวที่อยู่ไม่ไกลแล้วเอ่ยขึ้นช้าๆ หนึ่งประโยค

“ข้าว่าแล้วในแดนลึกลับจะเกิดสถานการณ์เช่นนี้ได้อย่างไร เป็นอย่างที่คิดพวกเจ้าสัตว์ประหลาดสามตัวก่อเรื่องจริงๆ พวกเจ้าสามตัวนี่ก็นะ ร่างต้นถูกวังสวรรค์สะกดไว้นานเช่นนี้กลับยังมีความสามารถสร้างร่างแปลงออกมาสร้างความวุ่นวายอีก!”

“ผู้เฒ่าเทียนเหอ!” ตรีศูลโลหิตเห็นผู้เฒ่าผมขาวก็ตวาดเสียงดังคำหนึ่ง ชั่วพริบตาสองตาแดงฉานประหนึ่งจะพ่นไฟ ทว่าต่อจากนั้นตรีศูลสีดำในมือมันก็เหวี่ยงใส่อากาศ แหวกช่องว่างช่องหนึ่งแล้วขยับร่างคิดจะหนีเข้าไปด้านใน

ชวีเหยากับหนอนประหลาดเผ่าหนอนผีเสื้อก็สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมากด้วย ไม่พูดพร่ำหมุนตัวอยากจะหนีเข้าไปในรอยแยกเช่นกัน

ผู้เฒ่าเทียนเหอสีหน้าเคร่งขรึม ไม่เห็นเขาขยับมือ เพียงแค่อ้าปากทีหนึ่ง แสงสีขาวสายหนึ่งก็พุ่งออกมาประหนึ่งสายฟ้าแลบ ออกมาทีหลังแต่กลับจมลงในรอยแยกมิติที่ตรีศูลโลหิตแหวกออกก่อน

เสียง “ฟู่” ดังขึ้นทีหนึ่ง!

บนรอยแยกมิติฉับพลันส่องแสงสีขาวสว่างจ้าประสานเข้าหากันอย่างรวดเร็ว แล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอย

เนื่องจากเหตุผลิกผันครั้งนี้เกิดขึ้นในเวลาชั่วสะเก็ดไฟแลบ พวกตรีศูลโลหิตสามตัวจึงโถมเข้าใส่ความว่างเปล่าในทันใด

ทั้งสามตัวตกตะลึง พุ่งเร็วรี่กลายเป็นลำแสงหนีไปยังทิศทางต่างๆ ทันที

ผู้เฒ่าเทียนเหอแค่นเสียงหยันทีหนึ่งแล้วม้วนแขนเสื้อยาว กระบี่บินทรงกระสวยสีขาวเล่มหนึ่งบินออกมาทันที

กระบี่นี้แบ่งเป็นสองด้าน ด้านหนึ่งเป็นลวดลายยันต์โบราณ อีกด้านหนึ่งเป็นอักขระรูปนกแผ่อยู่เต็ม ส่วนปลายด้ามกระบี่เป็นหัวสัตว์หัวหนึ่ง ดูหน้าตาคล้ายมังกรแต่ไม่ใช่มังกร คล้ายกิเลนแต่ก็ไม่ใช่กิเลน แผ่ปราณมงคลออกมาแตกต่างจากกระบี่บินปกติ

เสียง “วิ้ง” ดังขึ้นทีหนึ่ง กระบี่บินรูปกระสวยก็ระเบิดแสงรัศมีสีขาวเกือบร้อยสายออกมา แสงสีขาวเหล่านี้ปรากฏขึ้นปุบก็โต้ลมขยายใหญ่ พริบตาเดียวกลายเป็นกระบี่บินสีขาวยาวหลายจั้งกว่านับร้อยเล่ม พร่าเลือนวูบหนึ่งหายไปไร้ร่องรอยจากที่เดิมในทันใด

ครู่ต่อมาอากาศใกล้ๆ พวกตรีศูลโลหิตสามตัวก็ไหวกระเพื่อม กระบี่บินมากมายถี่ยิบลอยออกมาเรียงเป็นแถวประหลาดขังทั้งสามตัวไว้ด้านใน

“ค่ายกลกระบี่!”

หลิ่วหมิงดูมาถึงตรงนี้ ในใจก็พรั่นพรึง

ผู้เฒ่าเทียนเหอผู้นี้ก็เป็นผู้ฝึกฝนกระบี่คนหนึ่งเช่นกัน นอกจากนี้ยังฝึกฝนพลังชนิดหนึ่งที่คล้ายกับเงากระบี่แยกแสง มิเช่นนั้นเขาคงไม่อาจอาศัยกระบี่บินวางค่ายกลกระบี่ใหญ่โตเช่นนี้ออกมาได้ในเฮือกเดียว

“ผู้เฒ่าเทียนเหอ ท่านรังแกกันมากเกินไปแล้ว!”

ในดวงตาตรีศูลโลหิตทอประกายดุดัน มันคำรามเสียงดังทีหนึ่ง ไอหมอกสีเลือดหนาทึบบนร่างก็ระเบิดแสงสีเลือดเส้นแล้วเส้นเล่าออกมา หลังจากนั้นโดมแสงสีเลือดขมุกขมัวอันหนึ่งก็ปรากฏขึ้น ปกป้องทั้งสามตัวไว้ด้านใน

ผู้เฒ่าเทียนเหอแค่นเสียงเหอะทีหนึ่ง กระบี่บินทั้งหมดก็สั่นไหวพร้อมกัน ปราณกระบี่ยาวหนึ่งจั้งกว่านับร้อยสายพุ่งออกมาจากค่ายกลกระบี่กลายเป็นเงากระบี่มากมายพุ่งไปฝั่งตรงข้าม

เสียงเปรี้ยงสะเทือนฟ้าสะเทือนดินระลอกหนึ่งดังขึ้น!

ปราณกระบี่สีขาวเต็มฟ้ากลบแสงสีเลือดไว้ด้านในจนมิด โดมแสงสีเลือดต้านทานได้เพียงสองลมหายใจก็แตกกระจุย พวกตรีศูลโลหิตสามตัวกรีดร้องทีหนึ่งก็ถูกปราณกระบี่ฟันจนสลายหายไป

“ผู้เฒ่าเทียนเหอพลังเวทลึกล้ำ ท่านผู้เฒ่าลงมือ พวกต่างเผ่ากระจอกๆ สามตัวก็อยู่ในกำมือ” บุรุษผน้ากากทองแดงเห็นเช่นนี้ก็ก้าวไปข้างหน้าแล้วเอ่ยอย่างนอบน้อมทันที

ผู้เฒ่าเทียนเหอกลับสีหน้านิ่งสนิทประหนึ่งไม่ได้ยินคำพูดของบุรุษหน้ากากทองแดง สนใจเพียงมนตร์ที่ท่องออกจากปากตนเท่านั้น

บุรุษหน้ากากทองแดงถอยหลังกลับไปอย่างกระอักกระอ่วน ทูตสตรีอีกผู้หนึ่งมองผู้เฒ่าเทียนเหอแล้วในดวงตาก็เผยแววตากังวลออกมาเช่นกัน

ทันใดนั้นปากที่เอ่ยท่องมนตร์ของผู้เฒ่าเทียนเหอก็หยุด สองมือยกขึ้นขนานกันตรงหน้าอก ขยับสะบัดคล้ายช้าแต่ก็คล้ายเร็ว

นาทีต่อมาแสงรัศมีสีเทาขาวก็ส่องสว่างบนร่างเขา สองตาของเขาปกคลุมด้วยแสงสีขาวแวววาวชั้นหนึ่ง

ต่อจากนั้นเสียงเปรี้ยงดังประหนึ่งอสนีบาตคำรามก็ดังมาจากท้องฟ้า เริ่มแรกแผ่วเบาอย่างยิ่ง แต่ชั่วพริบตาเสียงก็ยิ่งดังขึ้นทุกที ราวกับอสนีบาตระเบิดกึกก้องเหนือศีรษะครั้งแล้วครั้งเล่า พาให้มิติรอบด้านสั่นสะเทือนตาม

บนหน้าพวกหลิ่วหมิงสี่คนเปลี่ยนสีหน้า ไม่ทราบว่าผู้เฒ่าเทียนเหอใช้วิชาลับอันใด ชั่วขณะทำอันใดไม่ถูกอยู่บ้าง

“ตะวันมืด!”

ผู้เฒ่าเทียนเหอมือข้างหนึ่งชี้ท้องฟ้า กลางท้องฟ้าพริบตาแยกออกเป็นรอยแยกร้อยพันเส้น แสงสีขาวแสบตาทะลุลงมา

แสงสีขาวเต็มไปด้วยความอบอุ่น ร้อนระอุและความรู้สึกมหาศาล

เลือดเนื้อบนพื้นดินถูกแสงสีขาวส่องก็ส่งเสียงดังชี่ออกมาในทันใด ควันสีน้ำเงินสายแล้วสายเล่าผุดออกมาคล้ายใกล้ถูกเผา

พวกหลิ่วหมิงสี่คนรีบยกมือปิดสองตา ไม่กล้าเงยศีรษะลืมตาสักนิด แสงสีขาวแสบตาอย่างที่สุด เงยศีรษะเวลานี้เกรงว่าครู่เดียวสองตาคงถูกแสงสีขาวเผาบอด

เปรี้ยง!

มิติสีเลือดทั้งหมดสั่นไหวอย่างรุนแรง ทุกหนทุกแห่งล้วนปรากฏรอยแยกมิตินับไม่ถ้วนคล้ายกำลังจะพังทลายเดี๋ยวนี้

หลิ่วหมิงสีหน้าเปลี่ยนไปทันที มือข้างหนึ่งตั้งท่าเคล็ดวิชาอย่างไม่รู้ตัว ปราณดำบนร่างลอยออกมาล้อมรอบร่างของเขาเป็นรูปลูกบอล

แสงสีเหลืองสว่างวูบหนึ่ง โล่ดินหนาก็ถูกเขาเรียกออกมาปกป้องรอบร่างไว้

สามคนที่เหลือเวลานี้ก็ใช้สิ้นวิธีการ ทยอยเรียกวิชาป้องกันออกมาปกป้องทั้งร่างไว้เช่นกัน

เวลานี้เองแถบแสงสีน้ำเงินสายหนึ่งก็บินมา แสงสีน้ำเงินสว่างวาบล้อมคนทั้งสี่ไว้ตรงกลาง เมื่อสว่างขึ้นอีกครั้งก็ลากทั้งสี่คนไปอยู่หลังร่างคนทั้งสามจากวังสวรรค์

บุรุษหน้ากากทองแดงเหวี่ยงมือสลายแสงสีน้ำเงินบนมือไป เห็นชัดว่าเป็นคนผู้นี้เองที่ลงมือลากพวกหลิ่วหมิงสี่คนเข้ามา

“ขอบคุณผู้อาวุโสยิ่งที่ลงมือช่วยเหลือ” ชายหนุ่มรถเงินมองบุรุษหน้ากากทองแดงอย่างซาบซึ้งแล้วประสานมือคำนับ

พวกหลิ่วหมิงสามคนเห็นเช่นนี้ก็คำนับขอบคุณตามเช่นกัน

บุรุษหน้ากากทองแดงโบกมือ แต่ไม่เอ่ยวาจา

“ผู้อาวุโส ยังมีอีกเจ็ดคนที่ถูกพาเข้ามาในมิติสีเลือดแห่งนี้ด้วยกันกับพวกเราสี่คน พวกเขาถูกกลืนเข้าไปในรังไหมเนื้อด้านล่าง” ชายหนุ่มรถเงินเห็นเนื้อบนพื้นกร่อนลงอย่างรวดเร็วจากการสาดส่องของแสงสีเขาว สีหน้าก็เปลี่ยนไปในทันใดเอ่ยออกมาหนึ่งประโยค

“เรื่องนี้พวกเราทราบแล้ว ไม่ต้องกังวล ประเดี๋ยวก็ช่วยพวกเขาออกมาได้แล้ว” บุรุษหน้ากากทองแดงเอ่ยเรียบๆ

ได้ยินคำนี้ ชายหนุ่มรถเงินก็ถอนหายใจยาวออกมา

หลิ่วหมิงก็สีหน้าผ่อนคลายลงเช่นกัน

ในเวลานี้เองแสงสีขาวกลางอากาศก็พลันสว่างขึ้นร้อยเท่า เบื้องหน้าหลิ่วหมิงฉับพลันสว่างแวววาวคล้ายทุกสิ่งมลายหายไป เพียงสัมผัสได้เลือนรางว่าเหนือศีรษะปรากฏดวงตะวันยักษ์ที่คล้ายจะคับเต็มท้องนภาดวงหนึ่ง แสงสีขาวสายแล้วสายเล่าวนเวียนอยู่บนตัวมัน พ่นเปลวไฟไม่หมดไม่สิ้นออกมาเป็นระยะ

กลิ่นอายของความสั่นคลอน อนันต์ เก่าแก่ โบราณ ยิ่งใหญ่ซึมเข้ามาในหัวใจของหลิ่วหมิง

ผู้เฒ่าเทียนเหอสะบัดมือทีหนึ่งคล้ายจะดึงดวงตะวันบนท้องฟ้าลงมาตรงๆ

เสียงเปรี้ยงดังขึ้น มิติสีเลือดกลายเป็นประกายแสงสีแดงนับไม่ถ้วนพังทลายออกทันที

หลังภาพรอบด้านพร่าเลือนไปชั่วครู่ ทุกคนก็ปรากฏตัวขึ้นในมิติสีเทาขมุกขมัวอีกแห่งหนึ่ง

ดวงตะวันใหญ่โตประหนึ่งเนินเขาลอยอยู่เหนือศีรษะทุกคน เทียบกันแล้วพวกหลิ่วหมิงเล็กกระจ้อยประหนึ่งมดปลวก

ผู้เฒ่าเทียนเหออาบอยู่กลางแสงสีขาว เสื้อบนร่างขยับไหวเองทั้งที่ไร้ลม ปราณมหาศาลของระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์แผ่ออกมาส่องสว่างประสานกับดวงตะวันยักษ์บนท้องฟ้า

เสวียนอิง เสวียนอู่สองทูตแห่งวังสวรรค์ มองเงาร่างของผู้เฒ่าเทียนเหอ ในดวงตาฉายแววเคารพและอิจฉาจางๆ

แต่สำหรับชนรุ่นหลังระดับผลึกสี่คนอย่างหลิ่วหมิง คลื่นน่าตะลึงที่ดวงตะวันเหนือศีรษะแผ่ออกมาแทบจะทำให้หัวใจของทั้งสี่คนสั่นสะท้าน

บุรุษหน้ากากทองแดงเหลือบตามองทั้งสี่คนทีหนึ่งแล้วสะบัดแขนเสื้อ แสงสีน้ำเงินสายหนึ่งกระจายออกมาครอบทั้งสี่คนไว้

หลิ่วหมิงรู้สึกว่าสมองเบาลงในทันใด ต่อจากนั้นหนอนพลังจิตบนร่างก็ส่งพลังจิตบริสุทธิ์สายหนึ่งมา แววตาจึงฟื้นกลับมากระจ่างใสเป็นคนแรก

“ขอบคุณผู้อาวุโสยิ่งที่ช่วยเหลือ” หลิ่วหมิงประดุจแรกตื่นจากฝัน เขาถอนหายใจยาวออกมา รีบค้อมกายคำนับไปทางบุรุษหน้ากากทองแดงอีกหน

บุรุษหน้ากากเห็นหลิ่วหมิงฟื้นกลับมาเป็นปกติเร็วเช่นนี้ก็พยักหน้าอย่างคิดไม่ถึงเล็กน้อย

หลังจากนั้นบุรุษผมม่วง หลัวเทียนเฉิง ชายหนุ่มรถเงินก็ได้สติตามกันมา

ตอนนี้เองอากาศเบื้องล่างของพวกเขาก็ขยับกระเพื่อม ก้อนแสงสีขาวเจ็ดก้อนที่ล้อมเงาร่างคนไว้ปรากฏขึ้น นั่นคือพวกโอวหยางเชี่ยนเจ็ดคนที่ถูกมิติสีเลือดกลืนไปนั่นเอง

เสวียนอิงทูตสตรีจากวังสวรรค์สะบัดมือ แสงสีเงินเรืองรองเจิดจ้าซัดออกมาติดกันเป็นพรวน รั้งทั้งเจ็ดคนเข้ามา

เจ็ดคนนี้อยู่ในสภาพหมดสติทุกคน สภาพปราณแผ่วเบา แต่ดีเลวก็ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับชีวิต

ผู้เฒ่าเทียนเหอก้าวมาข้างหน้าก้าวหนึ่ง มองไปยังจุดหนึ่งในมิติสีเทา บนหน้าฉับพลันเผยรอยยิ้มหยันจางๆ

หลังจากนั้นแขนของเขาก็พร่าเลือนวูบหนึ่ง หนึ่งฝ่ามือฟันออกมาจากบนท้องฟ้าสูงอย่างไม่มีสัญญาเตือน

แสงแวววาวหนาอย่างที่สุดสายหนึ่งพุ่งออกมาจากกลางฝ่ามือ ปราณสีเทาไม่หมดสิ้นปั่นป่วน คลื่นกระแทกถูกส่งออกไป แหวกอุโมงค์มิติเส้นหนึ่งออกกว้าง

สุดปลายอุโมงค์มิติมองเห็นสิ่งก่อสร้างสีดำสูงใหญ่สามแห่งอยู่เลือนราง ด้านบนแหลมด้านล่างกลมประหนึ่งชามสีดำมหึมาใบหนึ่งคว่ำอยู่บนพื้น มองชั่วแวบคล้ายสุสานสามแห่ง อึมครึม ลึกลับวังเวง ทำให้คนรู้สึกประหลาดหยั่งไม่ถึงบางอย่าง