ตอนที่ 841 ความหวาดหวั่นในใจ

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

เมิ่งเยี่ยและยินรุ่ยก้าวออกไปข้างหน้าและสำรวจศพทั้งสามอย่างใกล้ชิดเช่นกัน และสิ่งที่พวกเขายืนยันได้คือบาดแผลของจอมยุทธ์ทั้งสามเหมือนกับซากของอสูรมายาก่อนหน้านี้ไม่มีผิด

ฉินอวี้โม่และทั้งสองต่างหันมองหน้ากันและสีหน้ากลับกลายเป็นเหยเกในทันที

เจ้าของพลังอันน่าสะพรึงกลัวนี้คือสิ่งใดกันแน่…

“กรี๊ดดด ! เจ้าฆ่าพวกเขา !”

เสียงกรีดร้องดังขึ้นในหูของคนทั้งสามจนทำให้พวกเขาตกใจเล็กน้อย

ไม่ไกลออกไป จางซือฉียืนตัวแข็งทื่อด้วยความตกใจและข้างกายของนางก็คือจางซือถงที่เพิ่งลืมตาได้สติเพียงไม่นานและเป็นผู้ที่กรีดร้องออกไป

เมื่อทราบแล้วว่าเมืองแห่งนี้คือเมืองผีดิบ ทั้งสองจึงไม่กล้าอยู่ที่นี่อีกต่อไป และทันทีที่จางซือถงได้สติขึ้นมา ทั้งสองจึงพยายามตามหาบุรุษหนุ่มทั้งสามเพื่อเดินทางออกไปด้วยกัน

ทว่าหลังจากตามหาเป็นเวลานานและไม่พบร่องรอยของพวกเขาแม้แต่น้อย ทั้งสองก็เดินมาที่บริเวณประตูเมืองและสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ในทันที

“เมิ่งเยี่ย เจ้าเองก็มาจากเมืองเทียนยง แม้จะมีความบาดหมางไม่ลงรอยกันบ้าง เจ้าก็ไม่ควรฆ่าพวกเขา”

ในเวลานี้ จางซือถงก็ปล่อยวางความกลัวของตนเองและรีบเข้าไปตรวจสอบเพื่อยืนยันว่าสหายร่วมเดินทางทั้งสามหมดลมหายใจแล้วจริง จากนั้นนางก็ตวัดสายตาจ้องหน้าเมิ่งเยี่ยพร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจ

“ข้าไม่ได้ฆ่าพวกเขา”

เมิ่งเยี่ยขมวดคิ้วทันที แม้ไม่ต้องการเสียเวลาเสวนากับสตรีทั้งสอง เขาก็ยังอธิบายออกไปตามความจริง

“หากมิใช่เจ้าก็ต้องเป็นนาง พวกเขาเพียงกล่าววาจาเยาะเย้ยเจ้าเพียงไม่กี่คำเท่านั้น ถึงขั้นต้องฆ่าแกงกันเลยรึ ?”

สายตาของจางซือถงบรรจบลงที่ฉินอวี้โม่และชี้หน้าพร้อมกับกล่าวตำหนิเสียงดัง

“หุบปาก !”

ฉินอวี้โม่ไม่สนใจจางซือถงแม้แต่น้อย สายตาของนางยังคงจับจ้องไปที่ศพทั้งสาม ทว่าเมื่อเห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับซากศพเหล่านี้ สีหน้าของนางก็เผยให้เห็นถึงความตกใจทันที

ในเวลานี้ ศพของจอมยุทธ์ทั้งสามกำลังสลายหายไปอย่างช้า ๆ…

“แม่เจ้า ! เกิดเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย ?!”

จางซือฉีสังเกตเห็นศพทั้งสามที่ค่อย ๆ สลายหายไปเช่นกันและอุทานเสียงดังขึ้นมา จากนั้นนางก็กวาดสายตามองฉินอวี้โม่ เมิ่งเยี่ยและยินรุ่ยขณะกล่าวด้วยแววตาความรู้สึกที่ซับซ้อน “พวกเจ้าทำอะไรพวกเขา ?!”

“หากข้าคิดจะทำอะไรจริง เจ้าไม่มีโอกาสมายืนเสนอหน้าอยู่ตรงนี้หรอก”

เมื่อศพของทั้งสามสลายกลายเป็นเถ้าถ่านและล่องลอยหายไปในอากาศ ฉินอวี้โม่ก็กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ฉะฉานชัดเจน

“เอ่อ…”

ถึงแม้จางซือถงจะไม่ได้มีระดับสติปัญญาที่สูงนัก นางก็เข้าใจความหมายของฉินอวี้โม่ได้ในทันที จากนั้นนางก็ปิดปากเงียบสนิทไป เพียงแต่ในเวลานี้นางก็เชื่อว่าฉินอวี้โม่มิใช่คนที่สังหารบุรุษหนุ่มทั้งสาม

“เหตุใดจู่ ๆ ศพของพวกเขาจึงสลายกลายเป็นเถ้าถ่านได้ล่ะ ?”

ฉินอวี้โม่หันไปมองยินรุ่ยและวิญญาณร้ายที่ยังคงมีสีหน้าท่าทางปกติก่อนเอ่ยถามด้วยความสงสัย

“ตราบใดที่มีผู้ใดตายไปในเมืองอู๋เริ่นแห่งนี้ ศพของพวกเขาจะเปลี่ยนกลายเป็นเถ้าถ่าน และก็มิใช่เพียงทั้งสามคนนั้นหรอก…เราเองก็เช่นกัน”

ยินรุ่ยกล่าวอธิบายว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมิใช่เรื่องแปลกสำหรับตน เพราะเหตุนั้น เขาจึงยังมีสีหน้าสงบนิ่งอยู่ได้

“คนอื่น ๆ ก่อนหน้านี้ก็ตายในสภาพเช่นนี้รึ ?”

ฉินอวี้โม่เอ่ยถามอีกครั้ง หากบาดแผลของทุกชีวิตที่ตายไปก่อนหน้านี้เป็นเหมือนกัน นั่นก็หมายความว่าในเมืองอู๋เริ่นแห่งนี้มีพลังประหลาดบางอย่างที่อธิบายไม่ได้อยู่จริง

“ข้าจำไม่ได้ และก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยตรวจสอบอย่างละเอียดเช่นกัน”

ยินรุ่ยส่ายศีรษะและกล่าวตามความเป็นจริง ก่อนที่ฉินอวี้โม่จะปรากฏตัวขึ้นที่นี่ เขาและคนอื่น ๆ ไม่เคยนึกสงสัยในเรื่องราวพิลึกเหล่านี้นัก พวกเขาจึงไม่เคยเห็นหรือสนใจบาดแผลของทุกคนที่ตายไป

“ก่อนหน้านี้ก็มีจอมยุทธ์หลายคนที่เข้ามาในเมืองนี้ ทว่าไม่ทันรอให้วิญญาณร้ายตนก่อนได้มีโอกาสลงมือสังหาร พวกเขาเหล่านั้นก็ตายไปเสียแล้ว ส่วนเรื่องที่ว่าพวกเขามีบาดแผลเช่นนี้รึไม่นั้น ข้าก็ไม่ทราบเช่นกัน”

วิญญาณร้ายกล่าวถึงความทรงจำของวิญญาณร้ายตนก่อนหน้านี้ การที่ได้รับความทรงจำของวิญญาณร้ายตนก่อนมาก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เขาหวาดกลัวฉินอวี้โม่เป็นอย่างมาก

สำหรับจอมยุทธ์หลายคนที่ผ่านเข้ามาในเมืองอู๋เริ่นก่อนหน้านี้ วิญญาณร้ายวางแผนหลอกล่อพวกเขาออกไป ทว่ายังไม่ทันได้ลงมือทำสิ่งใด พวกเขาเหล่านั้นก็ตายไปเสียแล้ว

อย่างไรก็ตาม ไม่เคยมีผู้ใดทราบความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้และวิญญาณร้ายตนก่อนก็ไม่เคยเปิดเผยสิ่งใดกับยินรุ่ย

“เกรงว่าเรื่องทั้งหมดนี้จะต้องเกี่ยวข้องกับพลังลึกลับนั่น ทว่า…พลังนั่นอยู่ที่ใดกันแน่ ?”

ฉินอวี้โม่มีข้อคาดเดาในหัวใจ ทว่ายังไม่อาจหาคำตอบได้เลยว่าพลังดังกล่าวคือสิ่งใด การที่สามารถสังหารอสูรมายาทรงพลังและจอมยุทธ์ฝีมือดีทั้งสามได้อย่างรวดเร็วโดยไม่มีผู้ใดสัมผัสได้ถือเป็นพลังที่น่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง

อีกอย่าง…เหตุใดพลังลึกลับนั่นจึงเลือกโจมตีบุรุษหนุ่มทั้งสามแทนที่จะเป็นพวกนางล่ะ ?

“น้องสาม เรารีบไปกันเถอะ เมืองแห่งนี้น่ากลัวเกินไป เราอย่าอยู่ที่นี่อีกเลย”

จางซือถงหวาดกลัวจนแทบร่ำไห้ขณะจับมือจางซือฉีและกล่าวด้วยสีหน้าแววตากังวล น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความกลัวอย่างไม่อาจปิดบัง

ที่นี่คือเมืองผีดิบซึ่งเต็มไปด้วยเรื่องที่น่ากลัวและลึกลับเกินเข้าใจ หากยังอยู่ที่นี่ต่อไป ไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าพวกนางจะต้องลงเอยในชะตากรรมเดียวกับคนเหล่านั้นหรือไม่…

จางซือฉีกลืนน้ำลายเบา ๆ และตอนนี้นางก็ไม่มีกะจิตกะใจที่จะตามเกาะติดกับเมิ่งเยี่ยอีกต่อไป

“ไปกันเถอะ”

หลังจากกล่าวจบ นางก็จับมือพี่สาวและเดินตรงไปหน้าประตูเมืองทันที

ฉินอวี้โม่ไม่คิดขัดขวางทั้งสองและเพียงปล่อยให้พวกนางจากไป

“บัดซบ ! มันคืออะไรกันแน่ !”

ยินรุ่ยประเคนหมัดใส่รูปปั้นสิงโตที่อยู่ถัดจากตนจนแตกกลายเป็นเสี่ยง ๆ และสบถด้วยสีหน้าบิดเบี้ยวเหยเก

ตลอดเวลานับร้อยนับพันปีที่ผ่านมา เขาเคยคิดว่าทั้งหมดนี้เป็นเพราะคำสาปของเมืองอู๋เริ่นมาตลอด คิดไม่ถึงเลยว่าแท้จริงแล้วจะมีพลังบางอย่างที่บงการชักใยอยู่เบื้องหลังและเป็นสาเหตุของเรื่องลึกลับมากมาย

“หากพบสิ่งนั้นและกำจัดมันเสีย พวกท่านคิดว่าพวกเราชาวเมืองอู๋เริ่นจะได้มีโอกาสไปผุดไปเกิดรึไม่ ?”

วิญญาณร้ายตนใหม่นี้ชาญฉลาดยิ่งกว่าตนก่อนมาก เขาเอ่ยถามด้วยความสงสัยใคร่รู้และมองไปรอบ ๆ ด้วยความหวาดหวั่นเล็กน้อย

ต่อให้เป็นวิญญาณที่ตายไปแล้ว พลังลึกลับที่น่าสะพรึงกลัวนั้นก็ยังทำให้เขาขนลุกซู่ได้เช่นกัน

“มีความเป็นไปได้สูง ทว่าเราจะตามหาพลังนั้นได้อย่างไร ? ตอนนี้เราก็สำรวจทั่วทั้งเมืองอู๋เริ่นอย่างละเอียดแล้ว”

เมิ่งเยี่ยกำหมัดแน่น แท้จริงแล้วเขาก็ไม่ได้ใจเย็นเหมือนอย่างที่แสดงออกทางภายนอก พลังลึกลับนั่นคือพลังที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดที่เขาเคยพานพบมา

การที่สังหารอสูรมายาทรงพลังได้ในกระบวนท่าเดียวและสังหารจอมยุทธ์ฝีมือดีจากเมืองเทียนยงทั้งสามคนได้โดยที่ไม่มีใครรับรู้ นี่คือระดับพลังที่เหนือชั้นกว่าพวกเขามากนัก

“ใช่ แล้วพลังที่เรียกรวมเหล่าวิญญาณที่หน้าประตูเมืองกับพลังประหลาดนั่นเกี่ยวข้องอย่างไรกันแน่ ?”

ยินรุ่ยขมวดคิ้วและนึกสงสัยเป็นอย่างมาก พลังลึกลับที่เรียกวิญญาณไร้ชีวิตทั้งเมืองไปรวมตัวกันในทุกค่ำคืนและพลังน่าหวาดหวั่นที่สังหารจอมยุทธ์เหล่านั้นมีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร ?

ทุกคนนิ่งเงียบไปทันทีและความรู้สึกในหัวใจกลายเป็นซับซ้อนมากยิ่งขึ้น

วิญญาณร้ายและยินรุ่ยอยู่ในเมืองอู๋เริ่นแห่งนี้มานาน แม้กล่าวว่าคุ้นชินกับเมืองแห่งนี้พอสมควร ทั้งสองก็ยังรู้สึกหวาดกลัวเมื่อนึกถึงพลังน่าสะพรึงกลัวนั้น

“เรากลับไปหารือกันก่อนเถอะ เมืองอู๋เริ่นในตอนกลางวันเป็นเมืองปกติทั่วไป หากอยากจะแสดงอิทธิฤทธิ์ใด พลังนั่นคงไม่ปรากฏในตอนกลางวันแสก ๆ หรอก”

ฉินอวี้โม่ถอนหายใจยาวขณะพยายามสงบสติของตนเองเช่นกัน

“ตกลง”

ยินรุ่ยพยักศีรษะตอบรับและทุกคนมุ่งหน้าเข้าไปในจวนเจ้าเมืองด้วยกัน ครานี้แม้แต่วิญญาณร้ายก็อยู่ร่วมกับพวกเขาและเข้าไปในจวนเจ้าเมืองเช่นกัน

ภายในจวนเจ้าเมืองของเมืองอู๋เริ่น ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ นั่งรวมกันในโถงประชุมด้วยความเงียบ เมื่อนึกถึงพลังอันน่าสะพรึงกลัวนั้น ทุกคนก็แทบรักษาความสงบนิ่งภายในใจไว้ไม่ไหว

มีเพียงฉินอวี้โม่เท่านั้นที่ยังคงดูใจเย็นและสงบนิ่งมากที่สุด เวลานี้นางก็กำลังเฝ้ารอมารยาโดยหวังว่ามันจะนึกขึ้นมาได้ว่าเคยเห็นบาดแผลดังกล่าวจากที่ใด

“ช่วยด้วยยย !”

ทันใดนั้น เสียงกรีดร้องก็ดังขึ้นทำลายความเงียบภายในห้องโถง

ทุกคนก็ไม่รอช้าและลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วก่อนพุ่งตรงไปยังทิศทางของต้นเสียงนั้นทันที