ตอนที่ 842 ถูกจับตัว

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

เมื่อฉินอวี้โม่และทุกคนมาถึงตามเสียงกรีดร้องใกล้กับประตูเมืองอู๋เริ่น เสียงร้องนั้นก็เงียบลงแล้ว เมื่อมองจากระยะไกล ทุกคนก็มองเห็นจางซือฉีซึ่งยืนอยู่ที่ประตูเมืองเพียงลำพังและสีหน้าไม่สู้ดีนักราวกับมีเรื่องร้ายแรงบางอย่างเกิดขึ้นก่อนหน้านี้

“เกิดอะไรขึ้น ?”

แม้นางจะไม่ชอบหน้าจางซือฉีแม้แต่น้อย ฉินอวี้โม่ก็ยังเอ่ยถามเพื่อจุดประสงค์ของการไขปริศนาความลับของเมืองผีดิบแห่งนี้

“พี่รอง…พี่รองถูกจับตัวไป !”

จางซือฉีเรียกสติกลับคืนมาและรีบกล่าวตอบ ใบหน้าของนางในตอนนี้ซีดเผือดและความตื่นตระหนกในแววตายังคงเผยออกมาอย่างชัดเจน

ก่อนหน้านี้นางและจางซือถงมาถึงหน้าประตูเมืองและกำลังจะหนีออกไปให้ไกลจากเมืองผีดิบแห่งนี้ ทว่าจู่ ๆ มือสองข้างก็ผุดขึ้นมาจากพื้นและจับข้อเท้าของจางซือฉีเอาไว้ก่อนพยายามดึงร่างของนางลงไปใต้พื้นดิน

จางซือฉีพยายามดิ้นรนขัดขืนและก็หลุดพ้นจากพันธนาการด้วยความช่วยเหลือจากผู้เป็นพี่สาว อย่างไรก็ตาม การที่จางซือถงใช้กระบี่แหลมคมจ้วงแทงมือคู่นั้นซ้ำ ๆ ก็เหมือนจะกระตุ้นให้มันโมโหขึ้นมา

จากนั้นจางซือถงก็เรียกให้จางซือฉีเข้ามาจัดการกับมือคู่นั้นด้วยกันทว่าคุณหนูสามแห่งตระกูลจางกลับหวาดหวั่นใจเกินไปและไม่กล้าเข้าไปใกล้มือประหลาดนั่นอีก และเมื่อมือคู่นั้นยื่นออกมาหมายจะจับนางอีกครั้ง จางซือฉีก็รีบผลักจางซือถงออกไปข้างหน้าทันทีและปล่อยให้มือคู่นั้นดึงร่างของจางซือถงหายลงไปใต้ดิน

แน่นอนว่าจางซือฉีไม่มีทางบอกความจริงที่น่าอับอายนั้นกับฉินอวี้โม่

“ใครจับตัวนางไป ?”

สีหน้าของยินรุ่ยเหยเกอย่างที่สุด ในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ เขาไม่ได้สัมผัสถึงกลิ่นอายของมนุษย์หน้าใหม่เข้ามาในเมืองนี้แม้แต่คนเดียว ทว่าจางซือถงกลับถูกมือลึกลับจับตัวไปจากบริเวณประตูเมืองเช่นนี้ มั่นใจได้เลยว่าเจ้าของมือคู่นั้นจะต้องมีพลังที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน

“ข้าก็ไม่ทราบ…ข้าไม่เห็นร่างของอีกฝ่ายด้วยซ้ำและเห็นเพียงแค่มือคู่เดียวเท่านั้น มันดึงร่างของพี่รองลงไปใต้ดินโดยตรง มันเป็นอะไรที่น่าสะพรึงกลัวมาก”

จางซือฉีส่ายศีรษะและกล่าวตอบ จากนั้นสายตาของนางก็มองไปที่เมิ่งเยี่ยและแสดงสีหน้าน่าเห็นใจด้วยหวังว่าเขาจะเข้ามาปลอบใจตน

น่าเสียดายที่เมิ่งเยี่ยเมินเฉยต่อจางซือฉีอย่างไม่ไยดี เขานั่งยองต่ำลงและแผ่พลังวิญญาณออกไปสำรวจทั่วพื้นดินทว่าไม่พบสิ่งใดผิดปกติ

“เจ้าแน่ใจรึว่านางถูกดึงลงไปใต้ดินจริง ๆ ?”

เขาขมวดคิ้วมุ่นและกล่าวด้วยความไม่มั่นใจนัก พื้นดินทั่วบริเวณนี้ว่างเปล่าและไร้ร่องรอยของสิ่งผิดปกติใด ๆ อย่างไรก็ตาม ในเมื่อจางซือฉีกล่าวว่าจางซือถงถูกดึงลงไปใต้ดิน มันก็ควรจะมีร่องรอยบางอย่างหลงเหลืออยู่

“ใช่ ข้ามั่นใจ”

เมื่อเห็นเมิ่งเยี่ยที่ไม่สนใจไยดีนางเช่นนี้ จางซือฉีก็กัดฟันกรอดและความรู้สึกโกรธเคืองก่อตัวในใจ อย่างไรก็ตาม สีหน้าของนางไม่ได้แสดงความรู้สึกที่แท้จริงออกไปและยังเผยให้เห็นท่าทางอ่อนแอบอบบางเช่นเดิม

ฉินอวี้โม่ก็ไม่นึกสงสัยในวาจาของจางซือฉีแม้แต่น้อย สำหรับเรื่องที่น่าหวาดหวั่นเช่นนี้ ต่อให้นางโกหกแต่งเรื่องขึ้นมาก็ไม่มีประโยชน์ใด

“นายหญิง ข้านึกออกแล้วว่ามีสิ่งชั่วร้ายประเภทหนึ่งที่มีพลังน่าสะพรึงกลัวเช่นนั้น บาดแผลที่เกิดจากสิ่งชั่วร้ายนั้นเป็นเหมือนกับบาดแผลที่เราเห็นบนร่างจอมยุทธ์และอสูรมายาเหล่านั้นไม่มีผิด”

หลังจากใช้เวลาค้นหาในความทรงจำพักใหญ่ ในที่สุดมารยาก็นึกขึ้นได้และกล่าวออกมา

ในความทรงจำของมันมีสิ่งมีชีวิตหนึ่งที่น่าหวาดหวั่นอย่างมากและมีพลังอันน่าสะพรึงกลัว กล่าวกันว่าเมื่อตกเป็นเป้าหมายของสิ่งชั่วร้ายนั้น เป้าหมายแทบไม่มีโอกาสหลุดพ้นไปจากเงื้อมมือของมันได้เลย

“มันคืออะไร ?”

น้ำเสียงของมารยาก็แสดงถึงความหวาดหวั่นจนรู้สึกได้ ดูเหมือนว่าสิ่งมีชีวิตชั่วร้ายนั้นมิใช่ตัวตนที่มันอยากจะกล่าวถึงด้วยซ้ำ

“เนตรปีศาจ !”

มารยากล่าวออกมาเพียงสามพยางค์สั้น ๆ ทว่ากลับทำให้สีหน้าของยินรุ่ยเปลี่ยนไปในทันที

“เนตรปีศาจคือสิ่งมีชีวิตที่ชั่วร้ายที่สุดในเผ่าปีศาจจากเมื่อหลายพันปีก่อน นี่คือตัวตนที่สามารถกลืนแม่น้ำและเขมือบภูเขา มันสามารถทำลายทุกสรรพสิ่งที่ขวางหน้า”

เนื่องจากดำรงอยู่มาเป็นเวลานานหลายพันปี ยินรุ่ยจึงทราบข้อมูลเกี่ยวกับดินแดนนี้พอสมควร เนตรปีศาจถือเป็นตำนานที่น่าหวาดหวั่นมาเสมอ เมื่อหลายพันปีก่อน หนึ่งในผู้ที่แกร่งกล้าที่สุดของเผ่าปีศาจก็อาศัยพลังของเนตรปีศาจนี้ในการกลายเป็นบุคคลไร้พ่ายในทั้งสามภพ

อย่างไรก็ตาม หลังจากสงครามครั้งใหญ่ระหว่างเทพและปีศาจ เนตรปีศาจก็ได้หายสาบสูญไปในโลกปีศาจอย่างไร้ร่องรอย

“บางทีเนตรปีศาจนี้อาจเป็นต้นกำเนิดของเมืองต้องคำสาปก็เป็นได้”

ฉินอวี้โม่กล่าวขึ้นเบา ๆ และตอนนี้นางมั่นใจมากพอสมควรแล้ว ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในเมืองอู๋เริ่นแห่งนี้จะต้องมีความเกี่ยวข้องกับเนตรปีศาจที่ว่านั่นอย่างแน่นอน

“ตอนนี้เราจะทำอย่างไรกันดี ?”

วิญญาณร้ายกวาดสายตาไปรอบ ๆ ก่อนหยุดลงที่ฉินอวี้โม่และอดเอ่ยถามด้วยความสงสัยไม่ได้ เพียงนึกถึงเนตรปีศาจ เขาก็แทบสั่นสะท้านแล้ว

“เริ่มจากการระบุตำแหน่งของเนตรปีศาจนั่นให้ได้เสียก่อน”

ฉินอวี้โม่ก้มลงต่ำเพื่อมองไปทั่วพื้นดินรอบตัว เนตรปีศาจอาจอยู่ที่นี่จริง เพียงแต่พวกนางยังไม่สามารถระบุตำแหน่งของมันได้ก็เท่านั้น

ทุกชีวิตพยายามแยกย้ายกันสำรวจรอบบริเวณเพื่อหาเบาะแสสิ่งที่ผิดแปลกแตกต่างจากสิ่งอื่น

“น่าเสียดายที่คฤหาสน์เฟิงหัวของนายหญิงใช้งานไม่ได้ เสี่ยวเฮยและอสูรตัวอื่น ๆ จึงออกมาไม่ได้เช่นกัน มิฉะนั้นมันและอสูรอื่น ๆ ก็คงจะช่วยกันขุดพื้นดินลงไปได้”

มารยากล่าวอย่างจนปัญญา หากสมรภูมิรบเดนตายแห่งนี้ไม่มีการปิดกั้นบางอย่างที่ส่งผลให้ไม่สามารถเชื่อมต่อกับคฤหาสน์เฟิงหัว แม้แต่การพลิกแผ่นดินเพื่อค้นหาทั้งเมืองก็คงทำได้อย่างง่ายดาย

ในเวลานี้ พลังวิญญาณของฉินอวี้โม่ก็แผ่ไปทั่วบริเวณอย่างละเอียดและไม่ปล่อยให้มุมใดหลุดรอดพ้นไปจากสายตา

คนอื่น ๆ ก็ไม่กล้ารบกวนนางและทำการสำรวจเบื้องต้นของตนต่อไปขณะรออย่างใจเย็นเพื่อดูว่านางจะได้เบาะแสใดหรือไม่

“นายหญิง…ลานด้านหลังภัตตาคารที่ท่านเคยไปก่อนหน้านี้”

ทันใดนั้น เสียงของซิวก็ดังขึ้นในโสตประสาทและทำให้ฉินอวี้โม่ตกตะลึงในทันที

“ซิว เจ้าตื่นแล้วรึ ?”

ฉินอวี้โม่กล่าวด้วยความตื่นเต้นทันที อสูรแห่งโชคชะตาของนางเข้าสู่ช่วงเก็บตัวจำศีลมาเป็นเวลานานแล้วและในที่สุดมันก็ตื่นขึ้นมาเสียที หากมีความช่วยเหลือจากซิว นางก็จะมีความมั่นใจมากขึ้นในการฝ่าฟันอุปสรรคและไขปริศนาในสมรภูมิรบเดนตายแห่งนี้

“เพียงแค่ได้สติขึ้นมาเท่านั้น ข้ายังออกไปไม่ได้…”

ซิวกล่าวอธิบายสั้น ๆ ว่าการวิวัฒนาการในครานี้ก็ยาวนานพอสมควร ทว่าเมื่อถึงเวลาที่ฉินอวี้โม่ไปถึงที่นิกายหมื่นบุปผา มันจะสามารถช่วยเหลือนางอย่างที่นางก็คาดไม่ถึงอย่างแน่นอน เพราะเหตุนั้น การวิวัฒนาการในครานี้จึงต้องใช้เวลามากขึ้น

เมื่อครู่นี้มันเพียงสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของความชั่วร้ายบางอย่างและสติรับรู้ของมันจึงตื่นขึ้นมาก่อนเวลา อย่างไรก็ตาม การออกจากสภาวะจำศีลยังต้องใช้เวลาอีกนานพอสมควร

“นายหญิง เนตรปีศาจเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าสะพรึงกลัวอย่างมาก แม้แต่ยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดในดินแดนมหาเทพก็อาจต้านทานพลังของมันไม่ได้ หากต้องการจะไขปริศนาคำสาปของเมืองนี้ เกรงว่ามันคงมิใช่เรื่องง่ายแน่”

มันกล่าวเตือนผู้เป็นนายว่าเนตรปีศาจที่กำลังพยายามตามหามิใช่คู่ต่อสู้ธรรมดา ๆ สำหรับทุกคน

ยิ่งไปกว่านั้น ซิวยังมีความกังวลใจอื่นอีกเช่นกัน ในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ สิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับโลกปีศาจปรากฏมาให้เห็นมากขึ้นเรื่อย ๆ หรือนั่นจะหมายความว่าโลกปีศาจที่หายสาบสูญไปนานหลายพันปีกำลังจะปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง…

“เข้าใจแล้ว ลองไปสำรวจดูที่นั่นก่อนเถอะ”

ฉินอวี้โม่ไม่กังวลจนเกินไปนัก เนตรปีศาจเป็นตัวตนที่น่าสะพรึงกลัวก็จริง ทว่ามันน่าจะสูญเสียพลังไปมากและมิได้มีพลังอำนาจเหมือนอย่างในอดีต มิฉะนั้นมันก็คงไม่แอบซ่อนตัวอยู่ในเมืองอู๋เริ่นเช่นนี้โดยไม่กล้าเปิดเผยตัวออกมา

ยินรุ่ยไม่ได้ยินบทสนทนาระหว่างฉินอวี้โม่และซิว ทว่าทุกคนเห็นเพียงนางชะงักนิ่งไปและไม่อาจคาดเดาได้เลยว่านางกำลังคิดอะไรอยู่

“อวี้โม่ เจ้าพบอะไรงั้นรึ ?”

เขาเอ่ยถามด้วยความระแวดระวังและกลัวว่าจะเป็นการรบกวนสมาธิของฉินอวี้โม่

“ไปที่ภัตตาคารกันก่อนเถอะ”

ฉินอวี้โม่กล่าวขึ้นเบา ๆ ก่อนเหาะตรงไปที่ภัตตาคารแห่งเดิมอย่างรวดเร็ว

เมื่อเห็นเช่นนั้น ยินรุ่ยจึงตามไปอย่างใกล้ชิด จางซือฉีเองก็ลังเลใจครู่หนึ่งก่อนตามพวกเขาไปเช่นกัน

เนื่องจากเป็นเวลาเที่ยงวันพอดิบพอดี ทั้งภัตตาคารจึงคึกคักไปด้วยผู้คนที่เข้าออกอย่างต่อเนื่อง

ยินรุ่ยกล่าวทักทายเถ้าแก่ของภัตตาคารเล็กน้อยก่อนทุกคนมุ่งหน้าไปที่ลานด้านหลังภัตตาคารด้วยกัน

หลังจากกวาดสายตามองสำรวจไปรอบ ๆ สายตาของฉินอวี้โม่ก็หยุดลงที่โต๊ะตัวใหญ่ซึ่งเป็นจุดที่มีซากอสูรมายาจำนวนมากปรากฏขึ้นมาก่อนหน้านี้

นางเดินเข้าไปอย่างช้า ๆ และแผ่พลังวิญญาณออกไปสำรวจก่อนพบว่ามีกลิ่นอายประหลาดอยู่ใต้โต๊ะตรงหน้าอย่างแท้จริง

“มันควรจะอยู่ตรงนี้”

นางเดินมาถึงโต๊ะและหยุดลงก่อนขยับข้อมือเบา ๆ และโต๊ะตัวนั้นก็กระเด็นออกจากจุดเดิม

“อวี้โม่ ระวัง !”

ทันใดนั้น มือคู่หนึ่งก็โผล่ขึ้นมาจากใต้ดินและคว้าหมับเข้าที่ข้อเท้าของฉินอวี้โม่ !