ตอนที่ 2092 เกิดการต่อสู้ขึ้นที่นี่

อัจฉริยะสมองเพชร

อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆

ตอนที่ 2092 เกิดการต่อสู้ขึ้นที่นี่

“ผมให้คุณขวดหนึ่งก็แล้วกัน” จางเซวียนพูดขณะโยนขวดหยกให้ตัวโคลน

ในเมื่อพลังปราณเทียบฟ้าใช้ไม่ได้ผลกับเขา ก็คงไม่ได้ผลกับตัวโคลนเช่นกัน จะเกิดปัญหาใหญ่กับตัวโคลนแน่ถ้าอีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บ

ตัวโคลนรับขวดหยกมา แต่ไม่ได้เก็บไว้ เขากลับมองจางเซวียนและเบะปาก ก่อนจะกรีดแขนตัวเองด้วยกระแสพลังปราณจากปลายนิ้ว

เกิดบาดแผลลึกบนแขนของตัวโคลน เลือดทะลักออกมา

จางเซวียนขมวดคิ้วเมื่อเห็นภาพนั้น เขาไม่เข้าใจว่าตัวโคลนคิดอะไร

พริบตาต่อมา ตัวโคลนก็ขับเคลื่อนพลังปราณเข้าสู่ร่างกาย

ซรืดดดดด!

ควันสีดำโขมงหายไปจากบาดแผล แผลนั้นเยียวยาตัวเองอย่างรวดเร็วจนหายดี ราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน

จางเซวียนตาค้าง

“ผมไม่ต้องการไอ้นี่หรอก”

ตัวโคลนเอาสองมือไพล่หลังไว้ จากนั้นก็มองจางเซวียนและส่ายหน้า “ไม่ได้เรื่อง”

จางเซวียน คุณจะตายไหมถ้าไม่อวดดีสักวัน*?*

จางเซวียนคับอกคับใจจนพูดไม่ออก เขาตัดสินใจเมินตัวโคลนและเดินหน้าต่อไป

แม้จะมีบรรยากาศของการเสื่อมถอยอยู่ภายในเมืองโบร่ำโบราณ แต่ก็พอมีความเขียวชอุ่มอยู่บ้างท่ามกลางซากปรักหักพัง ดูเหมือนฤดูใบไม้ผลิครั้งใหม่กำลังก่อตัวขึ้นบนดินแดนที่กำลังเสื่อมถอยแห่งนี้

ชีวิตเกิดขึ้นในดินแดนแห่งความตาย ราวกับทั้งโลกกำลังสำแดงพละกำลังของธรรมชาติเพื่อกวาดล้างความเสื่อมโทรมและฟื้นฟูดินแดนทั้งหมด

สมุนไพรที่ขึ้นอยู่ในบรรยากาศของการเสื่อมถอยมีคุณสมบัติทางยาเข้มข้นมาก ทั้งยังมีหลากหลายชนิดด้วย ไม่น่าแปลกใจแล้วที่ผู้เชี่ยวชาญมากมายพากันเดินทางเข้าสู่เมืองแห่งมิติที่ถูกทำลายแม้จะมีอันตรายอยู่ทั่วไป

เพราะหากได้หลอมยาเม็ดจากสมุนไพรที่หาได้ที่นี่ ยาเม็ดนั้นก็จะมีศักยภาพสูงกว่าธรรมดา

ขณะที่สะกดรอยตามรอยเท้าของกลุ่มคนจากหอเทพเจ้า จางเซวียนก็ไม่ลืมเก็บสมุนไพรระหว่างทางที่อยู่ในระยะเอื้อมถึง

ไม่ช้า เศษซากปรักหักพังของอาคารกลุ่มหนึ่งก็ปรากฏแก่สายตา

ที่นี่ไม่ต่างอะไรกับที่เขาเคยเห็นมาก่อน

สถานที่ที่เขาเคยเข้าไปก่อนหน้านี้เสื่อมสลายเพราะหยาดเหงื่อและหยดน้ำตาของกาลเวลา แต่ซากปรักหักพังของอาคารกลุ่มนี้ยังมีร่องรอยใหม่ๆอยู่มาก ราวกับใครสักคนเพิ่งทำลายมัน

“เกิดการต่อสู้ขึ้นที่นี่” จางเซวียนตั้งข้อสังเกต

ด้วยความสามารถในการหยั่งรู้อันเฉียบคม เขาดูออกว่าร่องรอยเหล่านี้เพิ่งเกิดขึ้นได้ราว 1 ชั่วโมง ไม่อย่างนั้น ด้วยบรรยากาศของการเสื่อมถอยที่อบอวลอยู่ในพื้นที่ ต่อให้ร่องรอยที่เกิดขึ้นใหม่ก็ย่อมเสื่อมสลายไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ยากที่จะบอกความแตกต่าง

“กลุ่มคนจากหอเทพเจ้าตามฟู่เฉิงสื่อทัน? หรือพวกเขาเจอตัวหัวหน้าตู้แล้ว?” จางเซวียนครุ่นคิดอย่างกังวลใจ

การปรากฏของร่องรอยการต่อสู้ใหม่ๆบอกชัดว่าคนสองกลุ่มเพิ่งปะทะกัน

จางเซวียนชะงักฝีเท้า ตั้งใจจะพิจารณาร่องรอยเหล่านั้นใกล้ๆเผื่อจะได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์

แต่แล้วก็พลันรู้สึกได้ว่าเหงื่อเย็นๆไหลท่วมร่าง กระแสพลังงานหนักหน่วงระเบิดลงมาจากกลางอากาศ จางเซวียนรีบถอยไปขณะชักดาบ 6 เล่มออกมาสร้างปราการคุ้มกันตัวเขา

เสียงดังเปาะแปะเหมือนฝนตกดังก้องไปทั่ว จางเซวียนมองดู เห็นเงาดำกลุ่มใหญ่โผล่พรวดขึ้นมาจากพื้นดิน เหมือนกองทัพภูตผีที่หลุดรอดออกมาจากนรกขุมลึก

เงาดำที่อยู่ตรงหน้าเขามีลักษณะคล้ายหมอก ไม่มีรูปร่างที่ชัดเจนหรือจับต้องได้ แต่พละกำลังของพวกมันนั้นไม่อาจสบประมาทได้เลย มันต้านทานได้แม้แต่กระแสดาบฉีของจางเซวียน

จางเซวียนพึมพำด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “หรือว่าพวกมันคือ…อสูรเสื่อมถอย?”

เขาเคยอ่านเรื่องของอสูรเสื่อมถอยในหนังสือมาแล้ว

มันคือสิ่งมีชีวิตชนิดพิเศษของเมืองแห่งมิติที่ถูกทำลาย เติบโตและได้รับการบ่มเพาะจากบรรยากาศของการเสื่อมถอยที่อบอวลอยู่ในพื้นที่ พวกมันขึ้นชื่อว่าโหดเหี้ยมดุร้ายมาก ผู้ที่ต้องปะทะกับมันจะพบว่าบรรยากาศของการเสื่อมถอยซึมซาบเข้าสู่ร่างกาย กัดกร่อนทำลายทั้งอวัยวะภายในและแม้แต่พลังปราณ

และที่เลวร้ายกว่าเดิมก็คือ แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะกำจัดบรรยากาศของการเสื่อมถอยออกจากร่างกายของผู้นั้น

ในครั้งนั้น ผู้อาวุโสไป๋เย่คงได้รับบาดเจ็บเพราะอสูรเสื่อมถอยเช่นกัน

“ขอดูหน่อยเถอะว่าพวกแกทรงพลังแค่ไหน!”

หลังจากแน่ใจในตัวตนของอีกฝ่ายแล้ว จางเซวียนชักดาบถงซังออกมาและปล่อยกระแสดาบฉีหลายสิบสายเข้าใส่อสูรเสื่อมถอย

คลื่นดาบ!

นี่คือศิลปะเพลงดาบที่ไม่ได้ยากเย็นเกินไป ขอแค่นักรบคนหนึ่งมีพลังปราณมากพอ ก็เรียนรู้ได้อย่างง่ายดาย แต่หากลงลึกในเทคนิคที่ซับซ้อนมากขึ้น ก็จะรู้ว่ามีรายละเอียดอีกมากมายที่ต้องจดจำให้ขึ้นใจระหว่างสำแดงศิลปะเพลงดาบนั้น ซึ่งรายละเอียดพวกนี้จะได้รับการขัดเกลาอย่างช้าๆด้วยตัวนักดาบผู้นั้นเอง ผ่านการฝึกฝนแบบลองผิดลองถูก

ด้วยเหตุนี้ มันจึงได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในศิลปะเพลงดาบที่ฝึกฝนให้เชี่ยวชาญได้ยากที่สุด

ตลอดประวัติศาสตร์อันยาวนานของสำนักดาบเมฆเหิน มีนักรบไม่มากนักที่เชี่ยวชาญเทคนิคนี้ และจางเซวียนคือหนึ่งในคนเหล่านั้น

ด้วยพละกำลังที่เหนือชั้นกว่านักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ทั่วไป กระแสดาบฉีหลายสิบสายพุ่งเข้าใส่อสูรเสื่อมถอย

บึ้ม! บึ้ม! บึ้ม!

อสูรเสื่อมถอยระเบิดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย กลุ่มอาคารผุกร่อนที่อยู่ด้านหลังพวกมันพังพินาศราบคาบ

“ดูเหมือนพวกนี้จะไม่ค่อยทรงพลังเท่าไหร่…”

เมื่อเห็นว่าฆ่าอสูรเสื่อมถอยได้ด้วยกระแสดาบฉี จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่ แต่ยังไม่ทันจะลดดาบลง เงาดำที่อยู่ตรงหน้าก็สั่นไหวอีกครั้ง อสูรเสื่อมถอยที่แหลกสลายไปแล้วก่อตัวขึ้นใหม่อย่างรวดเร็วและพุ่งเข้าโจมตีเขาต่อไป

“ภูมิคุ้มกันสมบูรณ์แบบของกายเนื้อ?” จางเซวียนหน้าดำคร่ำเครียด

เขาคิดไม่ถึงว่าอสูรเสื่อมถอยเหล่านี้จะกลับสู่สภาพเดิมได้รวดเร็วแบบนั้น ถึงขนาดที่กระแสดาบฉีของเขาทำอะไรพวกมันไม่ได้เลย

“ถ้าใช้การโจมตีจิตวิญญาณจะดีกว่าไหม?”

จางเซวียนรีบถอดจิตวิญญาณออกจากกายเนื้อและปล่อยพลังจากฝ่ามือเข้าใส่อสูรเสื่อมถอย

ฝ่ามือปีศาจสวรรค์โทมนัส!

นี่คือศิลปะสุดยอดของนักปราชญ์โบราณชิวอู๋ แต่เขาได้ปรับเปลี่ยนจนแข็งแกร่งกว่าของดั้งเดิมมาก มันคือหนึ่งในเทคนิคการต่อสู้หายากที่ผนวกเอาการโจมตีโดยใช้กายเนื้อและจิตวิญญาณไว้ด้วยกัน ประสิทธิภาพของมันจะสูงขึ้นอีกเมื่อนักรบผู้นั้นสำแดงออกมาในสภาวะที่ตัวเขาเป็นจิตวิญญาณ สามารถสร้างความบอบช้ำที่ไม่อาจเยียวยาได้ให้กับจิตวิญญาณของอีกฝ่าย

พลังจากฝ่ามือของจางเซวียนฉีกกระชากฝูงอสูรเสื่อมถอยให้แหลกเป็นชิ้นๆ แต่ก็เหมือนเดิม เพียง 2-3 อึดใจ พวกมันก็คืนร่าง

จางเซวียนสูดหายใจลึก เขาทดลองอีก 2-3 วิธี แต่ไม่มีวิธีไหนได้ผลเลย

คราวนี้เขาจนปัญญาจริงๆ

ถ้าอสูรพวกนี้คืนร่างเดิมได้ไม่ว่าเขาจะเล่นงานพวกมันด้วยวิธีไหน ก็คงไม่มีโอกาสเอาชนะมันได้เลย สุดท้าย ต่อให้พลังปราณที่ไร้ขีดจำกัดของเขาก็ต้องหมดลง

“ดวงตาหยั่งรู้!”

หลังจากเปิดใช้งานดวงตาหยั่งรู้ ในที่สุดจางเซวียนก็เห็นข้อผิดพลาด

ทุกครั้งที่อสูรเสื่อมถอยถูกสังหาร บรรยากาศของการเสื่อมถอยที่อยู่โดยรอบจะเข้าโอบล้อมมัน ทำให้มันคืนร่างเดิมและฟื้นคืนชีพได้อีกครั้ง

“พูดได้เลยว่าอสูรเสื่อมถอยพวกนี้คือผลงานของบรรยากาศของการเสื่อมถอยที่อบอวลอยู่ในเมืองแห่งมิติที่ถูกทำลาย” จางเซวียนตาโตเมื่อพลันเข้าใจ “ตราบใดที่บรรยากาศของการเสื่อมถอยยังอบอวลอยู่ ก็ไม่มีทางเอาชนะอสูรพวกนี้ได้…”

ไม่น่าแปลกใจแล้วที่เขากำจัดพวกมันไม่สำเร็จเสียทีไม่ว่าจะใช้วิธีไหน คงจะถูกต้องกว่าถ้าจะกล่าวว่าอสูรเสื่อมถอยคือบรรยากาศของการเสื่อมถอย มากกว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่ดำรงอยู่ได้โดยอาศัยบรรยากาศของการเสื่อมถอยนั้น พวกมันไม่มีวันตาย เว้นเสียแต่คู่ต่อสู้จะกำจัดบรรยากาศของการเสื่อมถอยออกไปได้

“ถ้าอย่างนั้น…วิธีเดียวที่จะรับมือกับอสูรเสื่อมถอยพวกนี้ก็คือเบี่ยงเบนความสนใจของพวกมัน”

จางเซวียนปล่อยกระแสดาบฉีออกมาอีกครั้ง คราวนี้เป้าหมายของเขาไม่ได้อยู่ที่อสูรเสื่อมถอย แต่เป็นซากปรักหักพังของอาคารที่อยู่โดยรอบ

บึ้มมมม!

เศษอิฐหินปูนกระจัดกระจายไปทั่วขณะที่อาคารพังทลายหนักกว่าเดิม เกิดร่องรอยใหม่ๆขึ้นมากมาย

ทันทีที่ร่องรอยเหล่านั้นปรากฏ บรรยากาศของการเสื่อมถอยก็ตรงเข้าโอบล้อมและซึมซาบเข้าสู่ร่องรอยเหล่านั้นเพื่อกัดกร่อนมัน จางเซวียนฉวยโอกาสนี้รีบสังหารอสูรเสื่อมถอยด้วยการระเบิดพลังปราณ

คราวนี้เป็นอย่างที่เขาคาดไว้ พวกมันไม่อาจคืนสภาพเดิมได้ ยิ่งไปกว่านั้น ตัวที่ยังอยู่ก็เชื่องช้ากว่าเดิมด้วย

“เราต้องรีบแล้วล่ะ ไม่นานอสูรเสื่อมถอยกลุ่มใหม่ก็จะก่อตัวขึ้นอีก และจะมีปริมาณมากกว่าเดิม” จางเซวียนตั้งข้อสังเกต

นี่คือเรื่องที่แสนประหลาดของเมืองแห่งมิติที่ถูกทำลาย

แม้ร่องรอยใหม่ๆที่เกิดขึ้นบนกลุ่มอาคารที่เพิ่งพังพินาศไปสดๆร้อนๆจะช่วยดึงดูดบรรยากาศของการเสื่อมถอยไปสู่พวกมัน แต่ปัญหาก็คือจะใช้วิธีการนี้บ่อยครั้งเกินไปไม่ได้ อีกอย่าง ยิ่งการผุกร่อนพังทลายขยายตัวมากขึ้นเท่าไหร่ บรรยากาศของการเสื่อมถอยก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ทำให้อสูรเสื่อมถอยที่อยู่ในบริเวณนี้มีปริมาณเพิ่มขึ้น

พูดอีกอย่างก็คือ แม้จะหลีกเลี่ยงวิกฤตนี้ได้ด้วยการทำลายกลุ่มอาคารที่อยู่โดยรอบ แต่นั่นก็หมายความว่าต่อไปจะมีอันตรายมากกว่าเดิม บรรยากาศของการเสื่อมถอยจะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆจนไม่มีใครรับมือกับมันได้อีก

“อยากรู้เหลือเกินว่าต้นกำเนิดของบรรยากาศของการเสื่อมถอยมาจากไหน เรื่องนี้ซับซ้อนเกินกว่าความเข้าใจของนักรบอมตะขั้นสูงและแม้แต่นักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์…”

จางเซวียนรีบสลัดความคิดนั้นออกจากสมองก่อนจะรุดหน้าต่อไป

เพราะเจอกับอสูรเสื่อมถอยมาแล้ว จางเซวียนกับตัวโคลนของเขาจึงเดินทางอย่างเงียบๆ ไม่กล้าเก็บสมุนไพรที่อยู่สองข้างทางอีก

หลังจากเดินไปได้อีกราว 10 นาที ทั้งคู่ก็พลันรู้สึกถึงกระแสพลังปราณเกรี้ยวกราดที่อยู่ตรงหน้า ดูเหมือนกำลังเกิดการต่อสู้

จางเซวียนชำเลืองมองตัวโคลนก่อนจะเดินต่อไป เมื่อพ้นกำแพง ทั้งคู่ก็เห็นสองร่างอยู่ตรงหน้า

พวกเขาคือนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ 2 คนที่บุกเข้าไปในตำหนักคว้าดาว!

1 ใน 2 คนนั้นสูญเสียแขนข้างหนึ่ง ขณะที่อีกคนมีบาดแผลฉกรรจ์บริเวณกลางอก ด้วยการกัดกร่อนของบรรยากาศแห่งการเสื่อมถอย บาดแผลนั้นจึงเริ่มเน่าเฟะ ส่งกลิ่นเหม็นตลบไปทั่ว

“แกน่ะ ลงนรกซะเถอะ!”

“แกมันไอ้สารเลว ฉันจะฉีกแกเป็นชิ้นๆ!”

ทั้งคู่คำรามกร้าวก่อนจะชักดาบและฟาดฟันกัน

พวกเขามีพละกำลังทัดเทียมกัน จึงบอกได้ยากว่าใครถือไพ่เหนือกว่า

“ทำไมพวกนั้นถึงสู้กันเอง?” จางเซวียนขมวดคิ้ว

เขาคิดว่าฝ่ายหนึ่งน่าจะเป็นฟู่เฉิงสื่อหรือไม่ก็ตู้ชิงหย่วน ใครจะไปคิดว่านักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์สองคนนี้จะสู้กันเอง? แถมยังปะทะกันอย่างเอาเป็นเอาตายด้วย