ภาคที่ 6 บทที่ 44 ความคิดส่วนบุคคล

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 44 ความคิดส่วนบุคคล

ณ ผาพันชั้น

มันตั้งอยู่ทางด้านตะวันตกของหลงซาง ทั้งห่างไกลและแห้งแล้ง จึงไม่ค่อยมีใครผ่านมานัก

นอกจากมนุษย์ไม่กี่คนที่อาศัยอยู่ที่นี่แล้วก็คือเผ่าจันทรา

เผ่าจันทราและเผ่าหินผาเป็น 2 ชนเผ่าในหมู่เผ่าต่าง ๆ ที่ยอมรับใช้มนุษย์ เผ่าหินผาไร้อาณาเขตตน จนกังเหยียนได้สร้างมันขึ้นมาที่เขาหมื่นดาบ แต่เผ่าจันทราโชคดีกว่ามาก มีเขตของตนเอง ด้วยเป็นสิ่งมีชีวิตกลางคืน ชอบอาศัยหลบใต้ร่มเงาป่าทึบ เหมาะกับการเป็นนักฆ่า

แต่เผ่าจันทราที่ซ่อนกายอยู่ในความมืด วันนี้กลับออกมาในที่สว่าง

เผ่าจันทราเหล่านี้อยู่ในชุดเสื้อคลุมสีเขียวธรรมดา ทำให้กลืนไปกับร่มไม้เบื้องหลัง

มีเพียงเผ่าจันทราวัยกลางคนที่ยืนอยู่ตรงกลางเท่านั้นที่สวมชุดสีแดง บนศีรษะคือมงกุฎบุปผา ส่งผลให้นางดูงดงามอย่างน่าเหลือเชื่อ

นี่คือราชินีเผ่าจันทราเยี่ยเฉียน

ราชินีเผ่าจันทรามองกลุ่มผู้มาเยือนที่กำลังมุ่งหน้าเข้ามาแล้ว บนใบหน้าก็เผยรอยยิ้มอบอุ่น

“ท่านแม่ !”

เยี่ยเม่ยกระโดดเข้าสู่อ้อมแขนเยี่ยเฉียน

ในสังคมของเผ่าจันทรา สตรีเป็นเพศสูงส่ง ทำให้เยี่ยเม่ยนับว่าเป็นองค์หญิงเผ่าจันทรา

ซึ่งอาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ฐานะของนางในอารามนิรันดร์ไม่ธรรมดา ในเมื่อทั้งอารามนิรันดร์และเผ่าจันทราต่างชอบอาศัยอยู่ในเงามืด จึงไม่แปลกที่ทั้งสองจะมีปฏิสัมพันธ์กันบ่อยครั้ง

เยี่ยเฉียลูบศีรษะหลุดสาว “เด็กน้อย เจ้าไปเสียนาน เพิ่งคิดจะกลับมาตอนนี้หรือ ?”

“หึ หากไม่ใช่เพราะตาแก่นั่น ข้าก็คงไม่อยากกลับมาหรอก” เยี่ยเม่ยเอียงคอหลบมือ ไม่ยอมรับความรักจากมารดา

พูดจบ ชายชราผู้หนึ่งก็เดินเข้ามา

หลินจุ้ยหลิวหัวเราะ “แม่นางเสี่ยวเยี่ย เด็กคนนี้เป็นบุตรสาวเจ้าจริงเสียด้วย ก็คิดอยู่ว่าเจอกันครั้งแรกแล้วรู้สึกว่าเหมือนกับเจ้ามาก”

เยี่ยเม่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย “ท่านจำท่านแม่ได้ด้วยหรือ ?”

เยี่ยเฉียนเอ่ยเสียงขุ่น “จำไม่ได้ยังดีเสียกว่า”

ยามเยี่ยเฟิงหานและฉางเหอได้ยิน ก็มองหน้ากัน อดสงสัยในใจไม่ได้ว่าคงจะมีเรื่องเล่าขานระหว่างสองคนนี้หรือไม่ หรือว่าเยี่ยเม่ยจะเป็นบุตรสาวหลินจุ้ยหลิว ? แต่เห็นท่าทีที่หลินจุ้ยหลิวมีต่อเยี่ยเฉียนนั้นก็เหมือนกับที่มีต่อเยี่ยเม่ยแล้ว คงไม่ใช่เช่นนั้น

หลินจุ้ยหลิวเอ่ย “แม่นางเสี่ยวเยี่ยอย่ากล่าวเช่นนั้น พ่อกับแม่เจ้าครั้งหนึ่งเคยท่องใต้หล้ากับข้านา……”

เยี่ยเฉียนว่า “ไม่ใช่แค่ท่านพ่อกับท่านแม่ ! ทั้งเผ่าจันทราเกิดปัญหาก็เพราะท่าน แต่สุดท้ายท่านก็หยุดค้นคว้าเรื่องการผสมสายเลือดไม่ได้ ทำให้เกิดภัยพิบัติอันเนื่องมาจาก 7 อาณาจักร ! สุดท้ายก็พ่ายแพ้ ทำเผ่าจันทราเราตกที่นั่งลำบากเช่นกัน นับแต่นั้นพวกเราก็หลบอยู่ที่ผาพันชั้นตลอดมา ท่านยังจะกล้าโผล่หน้ามาเจอพวกเราอีกหรือ ?”

ยามทุกคนได้ยินเช่นนี้ก็ตกตะลึงไป

เผ่าจันทราเคยร่วมก่อกบฏร่วมกับหลินจุ้ยหลิวงั้นหรือ ? แต่ดูท่าหลินจุ้ยหลิวจะทำลายความเชื่อใจของพวกเขาไปเสียแล้ว

หลินจุ้ยหลิวหัวเราะเสียงดังแล้วกล่าว “รู้อยู่แล้วว่าเจ้าต้องไม่พอใจข้า แต่ข้าไม่ได้มาฟังเจ้าบ่นข้าอีกนะ ครั้งนี้ข้าคงต้องขอแรงสนับสนุนเจ้าส่งข้าขึ้นบัลลังก์อีกครา และหากทำได้ ข้าจะจดจำความช่วยเหลือของพวกเจ้าไว้ เผ่าจันทราจะได้รับอนุญาตให้ครอบครองและปกครองแดนตะวันตกทั้งหมดของหลงซาง”

“หึ !” เยี่ยเฉียนส่งเสียงเหยียด “อย่าคิดเอาผลประโยชน์เช่นนี้มาลวงข้า”

“หืม ?” หลินจุ้ยหลิวเอ่ยเสียงไม่พอใจเท่าไหร่

สิ้นเสียงไม่พอใจแล้ว กลิ่นอายหลินจุ้ยหลิวก็ผันเปลี่ยน

ก่อนหน้านี้เขาก็ดูเป็นเพียงชายชราคนหนึ่ง แต่พริบตาเดียวเงาร่างเขากลับดูใหญ่โตน่าเกรงขาม ทำเอาทุกคนยำเกรงขึ้นมาทันใด

นี่ไม่ใช่เพราะแรงกดดันใด ๆ ที่เขาปล่อยออกมา แต่เป็นเพราะสีหน้าที่แท้จริงของเขาต่างหาก ทั้งศักดิ์ศรีและอำนาจของราชาแห่งความโกลาหลปรากฏ ณ ที่นั้น แผ่ขจายออกไปทั่วทุกทิศทาง

เมื่ออยู่ต่อหน้าราชันย์น่าเกรงขามที่แท้จริงแล้ว เผ่าจันทราย่อมรู้สึกสะท้านอยู่ในใจไปตาม ๆ กัน

นี่คือความยำเกรงที่ผู้อ่อนแอกว่ามีให้ต่อผู้มีอำนาจกว่าโดยธรรมชาติ เป็นการยอมจำนนตามธรรมชาติที่ฝังลึกลงในร่างนั่นเอง

มีเพียงเยี่ยเฉียนที่ยังต่อต้าน ประคองบุตรสาวตนไว้แล้วจ้องหลินจุ้ยหลิวเขม็ง “ราชาแห่งความโกลาหล ไม่ว่าจะขู่หรือหลอกล่ออย่างไร เราก็จะไม่ช่วยท่านหรอก”

“แล้วถ้าหากอารามนิรันดร์กับนิกายไร้ขอบเขตก็ร่วมด้วยเล่า ?” หลินจุ้ยหลิวถามตามตรง

“นิกายไร้ขอบเขต ?”เยี่ยเฉียนชะงัก

อารามนิรันดร์ร่วมด้วยนั้นไม่แปลก อย่างไรก็เป็นกลุ่มที่คิดการนั้นมาอยู่แล้ว แต่เพราะติดนิสัยเก่าจึงไม่ยอมเผยกายขึ้นมาบนดินสักที

แต่นิกายไร้ขอบเขตเล่า ?

เหตุใดนิกายไร้ขอบเขตถึงอยากโค่นบัลลังก์หลินเมิ่งเจ๋อได้ ?

ด้วยความที่เผ่าจันทรานั้นอยู่ไกลมาก ข่าวคราวมาถึงช้า จึงไม่รู้เลยว่าเดือนก่อนหน้าเกิดอะไรขึ้นบ้าง

ได้ฉือหมิงเฟิงเป็นคนเอ่ยอธิบายสถานการณ์ เยี่ยเฉียนถึงได้เข้าใจว่านิกายไร้ขอบเขตเองก็ถูกดึงเข้าไปข้องเกี่ยวกับความขัดแย้งต่อตระกูลหลินด้วย

เยี่ยเฉียนคิดครู่หนึ่ง จากนั้นพยักหน้า “เคยได้ยินชื่อเสียงปราชญ์ชาญโลกมาบ้างเช่นกัน เรื่องกำลังของนิกายไร้ขอบเขตก็ด้วย แต่ข้าคิดว่าเรายังแกร่งไม่พอจะโค่นทั้งหลงซางได้”

“เช่นนั้นเกรงว่าเจ้าคงจะได้ยินมาไม่มากพอ” หลินจุ้ยหลิวหัวร่อ อธิบายเรื่องความแกร่งของนิกายให้ฟังโดยละเอียด

เยี่ยเฉียนได้ยินว่านิกายมีด่านสู่พิสดารไม่น้อยกว่า 15,000 ก็อึ้งไป

“เป็นไปไม่ได้หรอก !” นางร้องขึ้น

หลินจุ้ยหลิวไม่เสียเวลาตอบ แต่หยิบเอาแผ่นบันทึกโยนให้นางแทน

มันเริ่มส่องแสงขึ้น เผยให้เห็นภาพการต่อสู้ที่เกิดขึ้นระหว่างกองเรือกับอสูรทะเลแห่งหุบเหว

การต่อสู้ไม่ได้แปลกใหม่น่าสนใจเท่าไหร่ แต่ที่น่าดูคือผู้เชี่ยวชาญนับหมื่นคนที่เหินร่างอยู่บนอากาศนั่นต่างหาก

เยี่ยเฉียนเห็นแล้วก็นิ่งเงียบไป

นี่เป็นหลักฐานที่จูงใจมากที่สุดโดยแท้

“ทีนี้ไปหาที่คุยเรื่องราวกันได้แล้วกระมัง ?” หลินจุ้ยหลิวถามน้ำเสียงมั่นใจ

คืนนั้น เผ่าจันทราก็นับว่าเข้าร่วมกับหลินจุ้ยหลิวอย่างเป็นทางการ

หนึ่งเดือนต่อมา

ที่ยอดเขาแสงสง่า

คนผู้หนึ่งยืนตวัดดายไปมาอยู่

คือเยี่ยเฟิงหาน

แม้ตะวันจะสาดส่องสว่างจ้า แต่กลิ่นปราณเยือกเย็กก็ยังแผ่ออกจากร่างเขาไม่หยุดยามที่ตวัดดาบออกไปเป็นระยะ 3 จั้ง

และเพราะร้อนกระทบเย็น จึงเกิดไอน้ำสีขาวพวยพุ่งไปทั่ว เยี่ยเฟิงหานยืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มเมฆขาวนั้น เกิดเป็นภาพงดงามดั่งบทกวี

ฉางเหอเหินร่างลงมาปรบมือแปะ ๆ ให้ “ใช้เวลาเพียงไม่กี่วัน ใช้เวลาเพียงไม่กี่วัน ความเชี่ยวชาญในลักษณ์เยือกแข็งของเจ้าก็สูงขึ้นอีกแล้ว”

เยี่ยเฟิงหานไม่เอ่ยคำ แต่กลับตวัดดาบใส่ฉางเหอ

ฉางเหอร่างกะพริบเล็กน้อยด้วยพยายามหลบ ทว่าดาบเยี่ยเฟิงหานกลับติดตามเขาไปไม่หยุด

ฉางเหอพยายามหลบแล้วหลบอีก แต่ความเร็วถูกลักษณ์เยือกแข็งไล่ตาม สุดท้ายหนีไม่พ้น แม้จะหลบไปถึงสิบครั้งก็ตาม สุดท้ายจึงหยุด “เจ้าชนะแล้ว ข้าหนีไม่พ้น”

ปลายดาบหยุดอยู่ที่ปลายจมูก เกิดน้ำแข็งขึ้นจุดหนึ่งบนจมูกของเขา ก่อนมันจะลามไปทั่วใบหน้าและทั่วศีรษะ

โชคดีที่เยี่ยเฟิงหานคุมพลังไว้อยู่ น้ำแข็งจึงลามไปแค่ที่ศีรษะฉางเหอเท่านั้น

ฉางเหอเคลื่อนพลังในร่าง กะเทาะน้ำแข็งเหล่านั้นออกแทบจะทันที

“นี่ เกินไปไหมนั่น ครั้งก่อนแช่แค่จมูกข้า ครั้งนี้แช่ทั้งหัวข้าเลย ไม่กลัวว่าข้าจะกลายเป็นไอ้โง่ไปหรือไง ?”

เยี่ยเฟิงหานตอบเสียงเย็นชา “ไม่เห็นเป็นอะไร ! เจ้ากับแม่นางบื้อเยี่ยเม่ยนั่นจะได้เหมาะสมกันอย่างไรเล่า”

“นี่ มีอะไรงั้นหรือ ?” ฉางเหอเหลือบมองเยี่ยเฟิงหานด้วยสงสัย

เยี่ยเฟิงหานสีหน้าขรึม “เราอยู่นี่มาเดือนหนึ่งแล้ว แต่หลินจุ้ยหลิวไม่ลงมือสักที หลงซางรวมพลจนใกล้จะเสร็จแล้ว วางแผนจะโจมตีเขาหมื่นดาบในอีกไม่นาน”

ฉางเหอไม่แปลกใจ “หลินจุ้ยหลิวจากหลงซางมานาน ต้องใช้เวลาโน้มน้าวคนที่ไม่เต็มใจสนับสนุนกันสักหน่อย”

“ไม่เลย !” เยี่ยเฟิงหานส่ายหน้า “ข้าลองคิดดูแล้ว เขาไม่จำเป็นต้องใช้เวลาโน้มน้าวพวกนั้นอีกแล้ว เขาอยากรอจนหลงซางโจมตีนิกายไร้ขอบเขตแล้วมากกว่าถึงจะลงมือ”

“อะไรนะ ?” ฉางเหออึ้งไป “ไม่ใช่หรอกกระมัง ? ท่านเจ้านิกายส่งเขามานี่ก็เพราะให้ดึงความสนใจจากหลงซาง จะได้ส่งกำลังเต็มเม็ดเต็มหน่วยมาตีเราไม่ได้”

“แต่เขาไม่ใช่ศิษย์นิกายไร้ขอบเขต จำเป็นต้องเชื่อคำสั่งท่านเจ้านิกายหรือไง ? อย่าลืมว่าเขาเป็นด่านมหาราชัน ขั้นพลังแกร่งกว่าท่านเจ้านิกายเสียอีก ! เจ้าคิดหรือว่าเขาจะยอมฟังทุกคำที่ท่านเจ้านิกายพูด ?”

ฉางเหอได้ยินเยี่ยเฟิงหานก็พูดไม่ออก

คิดครู่หนึ่งจึงถาม “เจ้าหมายความว่า……”

“เพราะความทะเยอทะยานแตกต่างกัน” เยี่ยเฟิงหานเอ่ย “ท่านเจ้านิกายคิดใช้หลินจุ้ยหลิวควบคุมหลงซาง มองตรงนี้ทางทฤษฎีถือว่าทำได้ดี แต่หากหมากมีความคิดทะเยอทะยานเป็นของตน ก็คุมหมากได้ยาก และดูท่าหลินจุ้ยหลิวคงคิดปล่อยให้นิกายไร้ขอบเขตรับมือกับหลงซางไป เขาจะได้รอได้ประโยชน์ภายหลัง”

แม้จะทำเรื่องเดียวกัน แต่เพราะผลลัพธ์ที่เกิดจากแผนการที่แตกต่างย่อมออกมาแตกต่างกันเป็นอย่างมาก

อย่างที่เยี่ยเฟิงหานว่าไว้ ไม่มีใครยอมเป็นหมากง่าย ๆ หรอก โดยเฉพาะผู้แข็งแกร่งอย่างหลินจุ้ยหลิว

ว่ากันตามทฤษฎี หลินจุ้ยหลิวก่อกบฏกับหลงซางเป็นความคิดที่ไม่เลว แต่หากหลินจุ้ยหลิวไร้แรงกระตุ้นให้ทำตามข้อตกลง ซูเฉินก็อาจกลายเป็นหมากให้เขาใช้เสียเอง

…แม้หลินจุ้ยหลิวอาจดูบ้า แต่ก็ไม่ใช่คนโง่

เขามองภาพร่วมได้ชัดเจนมาก

ดังนั้นจึงไม่คิดช่วยเขาหมื่นดาบต่อสู้กับหลงซาง แต่จะใช้นิกายไร้ขอบเขตเพิ่มโอกาสชนะของเขาแทน แน่นอนว่าเขาคงไม่พูดออกมาหรอก แต่จะทำเป็นบอกว่ายังเตรียมตัวไม่พร้อม จังหวะที่หลงซางบุกเขาหมื่นดาบเมื่อไหร่ ไม่ช้าก็เร็วเขาจึงจะลงมือ

ลงมือยิ่งในจังหวะที่นิกายไร้ขอบเขตกำลังแย่ก็ยิ่งดี เช่นนี้เขาจะได้ประโยชน์ทั้งหมด ซูเฉินยังจะติดหนี้บุญคุณเขาอีกด้วย

แต่เขาหมื่นดาบเองก็จะเสียหายหนัก

ได้ยินแล้ว ฉางเหอจึงเข้าใจ สีหน้าเปลี่ยนไป “เช่นนั้นเราก็แย่แล้วสิ ? หากหลินจุ้ยหลิวไม่ช่วยคุมหลงซาง เขาหมื่นดาบก็ตกอยู่ในอันตรายสิ !”

เยี่ยเฟิงหานเอ่ยมีความนัย “ท่านเจ้านิกายจึงส่งเรามาที่นี่ !”

ฉางเหอชะงัก “ท่านเจ้านิกายเตรียมการไว้นานแล้วหรือนี่ แล้วเราต้องทำยังไงล่ะ ?”

“หากเขาไม่ลงมือ เราจะเป็นฝ่ายลงมือให้”

“หมายความว่า……”

“เราจะตีเมืองบทราบ”

ฉางเหอมุ่นคิ้ว “แค่พวกเราสองคนไม่น่าพอนะ”

เยี่ยเฟิงหานตอบทันควัน “ก็ไม่พอหรอก เราต้องใช้กำลังพลที่หลินจุ้ยหลิวรวบรวมมา รวมถึงทหารเผ่าจันทราด้วย”

“แล้วจะทำอย่างไร ?”

“เราจะดึงตัวคนที่ช่วยเขามาสักหน่อย จากนั้นก็ทำให้พวกเขาไขว้เขว” เยี่ยเฟิงหานว่าพลางหยิบยาขวดสีแดงขึ้นมา

ฉางเหอเห็นมันแล้วก็ตาเป็นประกายขึ้นมาทันใด