ภาคที่ 6 บทที่ 45 ปลอมตัว

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 45 ปลอมตัว

เมืองบทราบ

มันเป็นเมืองขนาดเล็กที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของหลงซาง ด้วยเป็นเมืองที่มีขนาดไม่ใหญ่การป้องกันจึงไม่แข็งแกร่งมาก ทหารรักษาเมืองที่เก่งกาจที่สุดอยู่เพียงด่านทะลวงลมปราณเท่านั้น

วันนี้ผู้บัญชาการเหอกำลังนั่งอยู่ในเรือน ดื่มชาอย่างสงบเมื่อได้ยินเสียงดังลั่นเรากับฟ้าถล่มอยู่ด้านนอก ผู้บัญชาการเหอผู้ซึ่งคุ้นเคยกับความผันผวนพลังเป็นอย่างดีสามารถบอกได้ว่ามีการใช้วิชาต้นกำเนิด ทั้งยังเป็นคนที่แกร่งกว่าด่านสู่พิสดารเสียด้วย

มีด่านสู่พิสดารมาอย่างนั้นหรือ ?

ผู้บัญชาการเหอใจเต้นแรง กระโดดขึ้นหลังคาไปดูเหตุการณ์ ก่อนเงาราบขนาดใหญ่จะปรากฏขึ้นเหนือเมืองบทราบ สูงราว 100 จั้ง สายตาเย็นชาเหลือบมองเมืองด้านล่างแล้วคำราม “จากวันนี้ต่อไป เมืองบทราบเป็นของข้า หลินจุ้ยหลิว ! หากใครกล้าขัดขืน ข้าจะสังหารอย่างไรปราณี !”

หลินจุ้ยหลิว ?

ราชาแห่งความโกลาหล ?

ได้ยินชื่อนั้นแล้ว ผู้บัญชาการเหอรู้สึกราวกับถูกค้อนทุบหัว ตกตะลึงไปในพลัน

เขารู้จักชื่อ ‘ราชาแห่งความโกลาหล’ เป็นอย่างดี อย่างไรคนผู้นี้ก็เคยทำทีว่าตนเป็นราชา สร้างความเดือดดาลให้ราชันทั้ง 7 อาณาจักรในคราวเดียวกัน

แต่ทำไมถึงมาปรากฏตัวตอนนี้ ?

หรือว่าจะเกิดการก่อกบฏขึ้นในอาณาจักรอีกงั้นหรือ ?

ผู้บัญชาการเหออดสั่นสะท้านไม่ได้

ไม่ใช่เพียงเขา ทหารทั้งหลายภายในเมืองได้ยินคำประกาศแล้วก็อึ้งไป

เป็นราชาแห่งความโกลาหล !

ด่านมหาราชัน !

พวกเขาจะต่อต้านได้หรือ ?

แม้ว่ากองทัพที่มีจำนวนเหนือกว่าอาจจะสามารถกำราบผู้แข็งแกร่งได้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับความต่างของพลังตั้งแต่แรก หากว่าต่างเกิน 3 ด่านหรือมากกว่านั้น จะมีคนมากกว่าก็ไม่ช่วยอะไร

ถ้าหากผู้บัญชาการทัพยังอยู่เพียงด่านทะลวงลมปราณ หลินจุ้ยหลิวก็คงกวาดล้างพวกเขาได้ง่ายแม้จะมีคนมากนับพันหรือนับหมื่นก็ตาม

เหล่าทหารแหงนหน้ามองฟ้าราวกับกำลังมองปีศาจ หลายคนกลัวจนคุกเข่าลงก็ยังมี

หลินจุ้ยหลิวที่เหินร่างอยู่ด้านบนเหลือบมองคนด้านล่าง ไม่มีใครกล้าสบตากับเขา สุดท้ายซึ่งมองไปที่ผู้บัญชาการเหอ “เจ้าคือเหอเจิ้งเฉียง ?”

เหอเจิ้งเฉียงกลืนน้ำลายลงคอก่อนค่อย ๆ ตอบ “เหอเจิ้งเฉียงทำความเคารพราชาแห่งความโกลาหล !”

“เหตุใดจึงไม่คุกเข่า ?”

ผู้บัญชาการเหอถอนหายใจ ก่อนจะบังเกิดความเด็ดเดี่ยวขึ้นมา “ข้าได้รับบัญชาจากฝ่าบาทให้มาจับตาดูเผ่าจันทรา ถึงจะไม่อาจหยุดท่านได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าข้าจะยอมสยบเพื่อรักษาชีวิต ราชาแห่งความโกลาหลเก่งกาจเหนือใคร แต่อย่างมากก็แค่ตาย ข้าต้องกลัวอะไรอีก ?”

หลินจุ้ยหลิวยังมีสีหน้าไร้เมตตา “พูดได้ดี นับว่าเป็นวีรบุรุษ แต่ถึงเจ้าอยากตายข้าก็ไม่อนุญาต วันนี้ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า จะได้ไปเตือนหลินเมิ่งเจ๋อ…… ว่าข้ากลับมาแล้ว !”

อะไรนะ ?

ผู้บัญชาการเหอชะงักไปก่อนจะจ้องหลินจุ้ยหลิวอย่างไม่เชื่อสายตา “ท่านจะไม่สังหารข้าหรือ ?”

“อะไรกัน ? อยากตายมากนักหรือไง ?” หลินจุ้ยหลิวว่าแล้วก็วาดแขน ดาบคลั่งเล่มหนึ่งร่วงลงจากชั้นฟ้า ห่างจากผู้บัญชาการเหอเพียง 3 จั้ง ทิ้งรอยลึกหลายสิบจั้งไว้บนพื้น

แม้การโจมตีนี้จะไม่นับเป็นอะไรสำหรับด่านมหาราชัน แต่ก็สามารถใช้สังหารด่านทะลวงลมปราณได้อย่างง่ายดาย

หลินจุ้ยหลิวเอ่ย “ถ้าหากอยากเสี่ยงชีวิต ก็ลองสัมผัสพลังหนึ่งในพันส่วนของข้าดูไหมเล่า ข้าพร้อมสนองให้”

แม้ว่าผู้บัญชาการเหอจะไม่กลัวความตาย แต่ก็ไม่ได้ถึงจุดที่อยากจะตายเช่นนั้น ได้ยินแล้วเขาก็ครุ่นคิดครู่หนึ่ง “หากข้าไป ราชาแห่งความโกลาหลจะเมตตาไว้ชีวิตชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ที่อาศัยอยู่ในเมืองหรือไม่ ?”

ในตอนนี้ แทบทุกคนในเมืองบทราบสังเกตเห็นภาพน่าตกตะลึงหมดแล้ว แต่เพราะมีแรงกดดันมหาศาล ถึงไม่มีใครกล้าเคลื่อนไหว ต่างพากันคุกเข่าคำนับลงจรดพื้น มีเพียงผู้บัญชาการเหอที่สามารถพูดคุยกับหลินจุ้ยหลิวได้ เมื่อชาวบ้านได้ยินคำแล้ว ก็รู้สึกซาบซึ้งในหัวใจ

หลินจุ้ยหลิวตอบเสียงเรียบ “ถ้าหากเชื่อฟังคำสั่ง คนในเมืองเจ้าย่อมกลายเป็นคนของข้า ข้าไม่มีเวลาไปจัดการด้วยซ้ำ แล้วจะทำร้ายพวกเขาได้อย่างไร ? ตราบเท่าที่ไม่คิดขัดขืนข้า หรือเอาให้ดีคือยังใช้ชีวิตกันไปตามปกติ ก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น”

ได้ยินแล้ว ผู้บัญชาการเหอจึงถอนหายใจแล้วกุมมือเคารพ “เช่นนั้นข้าจะรีบไปรายงานเรื่องนี้ที่วังหลวง ขอบพระคุณในความเมตตาท่านมาก ราชาแห่งความโกลาหล”

หลินจุ้ยหลิวหัวเราะแล้วสะบัดแขนเสื้อ “ไปเสีย”

ผู้บัญชาการเหอจึงรีบจากไป

ด้วยความเร่งรีบ เขาจึงไม่ทันเห็นว่าภาพหลินจุ้ยหลิวบนท้องฟ้าได้หายไปไม่นานหลังจากที่เขาจากไปแล้ว กลายเป็นชายหนุ่มสองคนยืนอยู่แทนที่

ฉางเหอหัวเราะ “เยี่ยมเลย ! ภารกิจเราเสร็จแล้ว ร่างแยกโลหิตของท่านเจ้านิกายใช้ง่ายจริง ๆ…… จะว่าไป แล้วท่านเจ้านิกายไปเอาเลือดหลินจุ้ยหลิวมาได้อย่างไรกัน ?”

เยี่ยเฟิงหานตอบเสียงเย็น “พวกเขาทำการวิจัยร่วมกันมานานพอสมควร หากท่านเจ้านิกายไม่ขอเลือดหลินจุ้ยหลิวไว้ก็คงไม่ใช่ท่านเจ้านิกายแล้ว”

“แล้วเจ้าคิดว่าท่านเจ้านิกายมีร่างแยกโลหิตของพวกเราด้วยไหม ?” ฉางเหอถาม

เยี่ยเฟิงหานเหลือบมองด้วยสายตาเย็นชา “หยุดฝันเฟื่องได้แล้ว ร่างแยกโลหิตของเจ้าไม่ควรค่าพอให้ท่านเจ้านิกายเก็บไว้ด้วยซ้ำ”

ว่าแล้วก็หมุนตัวเดินจากไป

“ชิ ! เลิกทำตัวผยองเช่นนั้นได้แล้วน่า” ฉางเหอยักไหล่ก่อนจะจากไปบ้าง

ปึง !

หลินจุ้ยหลิวกระแทกฝ่ามือออกไป เกือบทำภูเขาใกล้ ๆ ราบเป็นหน้ากลอง

“เจ้า… ว่า… อะไร… นะ ?” หลินจุ้ยหลิวตวัดสายตามองเยี่ยเฟิงหาน เค้นแต่ละคำออกมาอย่างน่ากลัว

เยี่ยเฟิงหานไม่ก้มหัวให้สักนิด จ้องตาหลินจุ้ยหลิวกลับ “ข้าบอกว่า พวกเราเพิ่งเอาชนะเมืองบทราบ…… ในนามของท่านมา”

“ใครสั่งให้เจ้าทำ !?” หลินจุ้ยหลิวคำรามโกรธ แรงอารมณ์ทำให้อากาศโดยรอบร้อนระอุ ไอสังหารเข้มข้นแผ่ออกจากร่าง

แต่เยี่ยเฟิงหานกลับตอบเสียงไม่ใส่ใจ “ทั้ง 3 หมื่นชีวิตที่เขาหมื่นดาบสั่งให้ข้าทำเช่นนั้น ราชาหลิน ท่านคงไม่ลืมสัญญาที่ให้ไว้กับท่านเจ้านิกายแล้วกระมัง ?”

“เจ้ามีหน้าที่ดูแลเรื่องของข้าแล้วงั้นหรือ ?” หลินจุ้ยหลิวตวาดกลับ “รนหาที่ตาย !”

เยี่ยเฟิงหานพยักหน้า “เช่นนั้นแหละ ข้าถึงได้กลับมาอย่างไรเล่า หากราชาแห่งความโกลาหลอยากสังหาร ข้าก็พร้อมสนองความต้องการ”

“คิดหรือว่าข้าไม่กล้า ?” หลินจุ้ยหลิวคำรามลั่น ปราณสีขาวรวมตัวกันเกิดเป็นศรพุ่งเข้าใส่ลำคอเยี่ยเฟิงหาน

แต่เยี่ยเฟิงหานหาเกรงกลัวไม่

เขาเตรียมตัวตายไว้แล้วจริง ๆ

หากผู้บัญชาการเหอไม่กลัวตาย เขาก็ไม่กลัว

แต่เป็นตอนนั้นที่ได้ยินเสียงเยี่ยเม่ยดังขึ้นจากด้านหลัง “เดี๋ยวก่อน ! ซูเฉินอยากคุยกับท่าน”

ศรหยุดอยู่ตรงลำคอเยี่ยเฟิงหานพอดิบพอดี หลินจุ้ยหลิวหันไปเห็นเยี่ยเม่ยกำลังยื่นแผ่นรูปแบบต้นกำเนิดมาให้

มันคือแผ่นส่งข้อมูลที่ผ้าเท่อลั่วเค่อปรับปรุงขึ้นมา ทำให้ใครที่ถือไว้สามารถติดต่อกับซูเฉินได้โดยใช้ตัวเขาเป็นสื่อกลาง

ภาพหนึ่งค่อย ๆ ปรากฏขึ้นเหนือแผ่นส่งข้อมูล คือภาพซูเฉิน

“เหล่าหลิน” ซูเฉินเอ่ยคำพร้อมเสียงหัวเราะ

ทั้งสองคนทำงานวิจัยร่วมกันมาระยะหนึ่งแล้ว แม้จะมีจุดประสงค์ที่แตกต่าง แต่ก็ยังนับว่าเป็นสหายเก่าได้

หลินจุ้ยหลิวเห็นซูเฉินแล้วก็คลายความโกรธลงได้เล็กน้อย

แต่ก็ยังมีสีหน้าเคร่งขรึม “ซูเฉิน ดูว่าลูกน้องเจ้ากระทำการใดลงไป !”

ซูเฉินหัวเราะ “พวกเขายังหนุ่ม อาจวู่วามไปหน่อย เรื่องนี้ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรเขาก็คำนึงถึงประโยชน์ของท่านเป็นที่หนึ่ง จึงได้รีบไปชิงเอาดินแดนที่เคยเป็นของท่านกลับคืนมาให้ แม้จะกระทำการบุ่มบ่าม แต่ก็มีประสงค์ดี”

ซูเฉินพยายามเข้าหาด้วยวิธีที่วางตัวเป็นกลางมากกว่าเยี่ยเฟิงหาน ทั้งยังไม่บอกไปตามตรงว่าทำไปก็เพื่อบีบให้หลินจุ้ยหลิวเป็นตัวดึงความตึงเครียดบางส่วนออกไปจากเขาหมื่นดาบ แต่กลับบอกว่าที่ทำไปก็เพื่อประโยชน์ของหลินจุ้ยหลิว

อาจกล่าวได้ว่า ในเมื่อมาถึงขนาดนี้แล้ว ซูเฉินย่อมรู้จักใช้คำพูดให้เหมาะสมกับฐานะของคู่สนทนาได้ดี

พูดไปหัวเราะไป เสแสร้งแกล้งทำเป็นไม่รู้ พูดจาไร้สาระ เขาทำเช่นนี้มาก็มากแล้ว

แต่เมื่อได้ยินคำอธิบายจากซูเฉิน หลินจุ้ยหลิวก็โกรธเสียจนอยากหัวเราะ “ประสงค์ดีกับผีสิ ! ท่านเจ้านิกาย หากจะลงมือทำอะไรเพราะ ‘ประสงค์ดี’ กับข้าต่อไปเช่นนี้ สุดท้ายข้าอาจตายอยู่ในหลินเมิ่งเจ๋อก็เป็นได้”

แต่ซูเฉินกลับไม่ใส่ใจ “พลังของราชาแห่งความโกลาหลเป็นที่เลื่องชื่อไปทั่วแดน ตอนนี้ยังมีทั้ง 7 สายเลือดผสมอีกด้วย หลินเมิ่งเจ๋อจะนับเป็นอะไร ? หากต่อสู้กันตัวต่อตัวแล้ว ข้าพนันเลยว่าท่านจะชนะ”

หลินจุ้ยหลิวออกเสียงเย็น “น่าเสียดายที่หลินเมิ่งเจ๋อไม่เปิดโอกาสให้ได้สู้กันตัวต่อตัวแน่ พวกขี้ข้าของเขาคงพากันพุ่งเข้าใส่ข้าแทนน่ะสิ”

“นั่นจึงเป็นสาเหตุที่จำเป็นต้องรีบชิงเอาดินแดนคืนมาเพื่อเสริมกำลังอย่างไรเล่า ถ้าหากเอาแต่หลบอยู่ตลอด ต่อไปก็คงไม่สามารถประสบความสำเร็จใดได้”

หลินจุ้ยหลิวจ้องซูเฉิน

แม้จะเข้าใจดีว่าไม่อาจแก้สถานการณ์ได้อีก แต่หากสังหารเยี่ยเฟิงหานแล้ว ความสัมพันธ์กับซูเฉินก็คงแตกหักกันอย่างถาวร นับเป็นการกระทำตัดไมตรี แต่ตอนนี้ด้วยความที่ความโกรธอยู่เหนือทุกสิ่ง เยี่ยเฟิงหานเองก็ไม่ยอมก้มหัวขออภัย การได้พูดคุยกับซูเฉินสักหน่อยเช่นนี้จึงทำให้เขาคลายความโกรธลงได้มาก

คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยขึ้นว่า “คนของเจ้าเป็นคนลงมือเอง ทำลายแผนของข้า คงต้องมีค่าเสียหายกันหน่อยแล้วกระมัง ?”

แทนที่จะสังหารคน ทำไมไม่ลองถอยซักก้าวหนึ่งแล้วขอค่าเสียหายแทนเล่า ?

ซูเฉินยิ้มน้อย ๆ “ราชาแห่งความโกลาหลต้องการสิ่งใด ?”

“ในเมื่อศิษย์นิกายไร้ขอบเขตมีความสามารถสูง เจ้าก็ควรส่งคนมาเป็นลูกมือให้ข้าบ้าง”

“แนวหน้าที่หุบเหวก็มีจำนวนน้อยอยู่แล้ว……”

“ข้าจะดูแลแนวหลังให้ !”

ซูเฉินหยุดไปเล็กน้อย คิดอยู่ครู่หนึ่งก็ถามขึ้น “ต้องการคนเท่าไหร่ ?”

“ด่านสู่พิสดารพันคน”

“ย่อมไม่ได้ อย่างมากก็ให้ได้แค่ด่านสู่พิสดาร 100 คนและด่านทะลวงลมปราณอีก 800 คนเท่านั้น”

“ด่านทะลวงลมปราณจะไปใช้ประโยชน์อะไรได้ ?”

“พวกเขาล้วนอยู่ที่จุดสูงสุดของด่านทะลวงลมปราณ หากดูแลดี ๆ ภายใน 3 ปีก็จะทะลวงสู่ด่านสู่พิสดาร” นับเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ซูเฉินหมายจะบีบให้หลินจุ้ยหลิวดูแลคนของเขาให้ดี

หลินจุ้ยหลิวอ้าปากจะพูด แต่ชะงักไปเล็กน้อยแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ “เหิมเกริมนัก ! เจ้าอ้างว่าสามารถส่งด่านทะลวงลมปราณให้ได้ 800 คน ซึ่งรับรองว่าจะสามารถทะลวงสู่ด่านสู่พิสดารได้ภายในเวลา 3 ปี ข้ารู้ว่าเจ้าพูดความจริง วิชาการฝึกสู่อมตะนับว่าเหลือเชื่อโดยแท้ แค่การที่สามารถเพิ่มโอกาสในการทะลวงสู่ด่านที่สูงกว่าได้ ไม่นับเรื่องที่คนไร้สายเลือดสามารถฝึกวิชาได้ เท่านี้ก็เหลือเชื่อมากพออยู่แล้ว เป็นเพราะเจ้าหนทางแห่งการบ่มเพาะพลังถึงได้เปิดออก และความแข็งแกร่งของทั้งเผ่ามนุษย์ก็สูงขึ้นแบบก้าวกระโดด นับว่าอนาคตอยู่ในกำมือของนิกายไร้ขอบเขตแล้ว”

“อยู่ในกำมือของเผ่ามนุษย์ต่างหาก” ซูเฉินแก้คำให้

หลินจุ้ยหลิวสายหน้า “และของนิกายไร้ขอบเขตด้วย…… ข้านึกถึงอนาคตเมื่อไหร่ ก็ได้แต่ถอนใจและสงสัยว่าจะต่อสู้คว้าตำแหน่งนี้ไปเพื่ออะไรกัน”

ซูเฉินไม่คิดเลยว่าหลินจุ้ยหลิวจะเห็นความสามารถของนิกายไร้ขอบเขตว่ามีความเป็นไปได้สูงส่งเช่นนั้น ถึงขนาดเอาตำแหน่งราชาไปเทียบกับชื่อเสียงของนิกาย ซูเฉินจึงเริ่มกระวนกระวายและอยากหาทางไกล่เกลี่ย

น่าเสียดายที่หลินจุ้ยหลิวสายหน้าแล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ “โค่นบัลลังก์หลินเมิ่งเจ๋อนับเป็นความฝันของข้าตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ตราบเท่าที่ข้าสามารถเอาชนะหลินเมิ่งเจ๋อและเหยียบหน้าเขาให้จมดินได้ นิกายไร้ขอบเขตไรนั่นข้าก็ไม่สนใจอะไรอยู่แล้ว เอาเป็นว่ามาจัดการเรื่องนี้ให้เสร็จสิ้นเลยเถอะ !”

ไม่รู้ว่าอย่างไร แต่หลินเมิ่งเจ๋อกลับทำใจได้เองเสียอย่างนั้น