บทที่ 46 ซุ่มโจมตี
เนื่องจากสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ ไม่มีเหตุผลที่จะเสียเวลาอีกต่อไป พวกเขาอาจเริ่มเดินหน้าเลยด้วยก็ได้
คืนนั้น หลินจุ้ยหลิวยึดครองเมืองบทเรียบด้วยกองทหารของเขา เมื่อเขาเข้ายึดมันได้ กองทัพของเขาก็จะเข้ายึดครองปราสาทนภาใต้ ก่อนที่จะกวาดรวบไปทั่วทั้งอาณาจักร
ในเวลาเพียงครึ่งเดือน ทั่วทั้งฝั่งทิศตะวันตกของอาณาจักรหลงซางก็ได้ตกอยู่ในกำมือของเขา
เมื่อคำพูดเริ่มแพร่กระจาย ทั้งอาณาจักรต่างก็ตกตะลึง
ไม่ใช่เพียงแค่หลงซางที่ประหลาดใจ กระทั่งอีก 6 อาณาจักรก็ล้วนตะลึงงัน
ทำไมพวกแก่หัวโบราณเหล่านี้ถึงปรากฏตัวขึ้นอีกล่ะ ?
เขากำลังพยายามจะทำอะไรกัน ?
ในขณะที่ทุกคนยังคงงุนงงอยู่กับการกระทำแสนหน้าด้านของเขา หลินจุ้ยหลิวก็ได้เริ่มการดำเนินการของเขาไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
หลังจากที่เข้าควบคุมทั่วทั้งพื้นที่ทางตะวันตกแล้ว เขาก็ไม่ได้ตรงไปยังเมืองหลักแต่อย่างใด เขากลับมุ่งหน้าไปทางใต้โดยวางแผนที่จะพิชิตเขตแดนนั้นด้วยเช่นกัน เพราะกองทหารของเขาล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิด ความปราดเปรียวของพวกเขาจึงสามารถจินตนาการออกได้อย่างง่ายดาย
กระทั่งหลินจุ้ยหลิวเองก็ลงสนามรบที่เมืองไห่โจว ทำลายแนวป้องกันค่ายกลต้นกำเนิดและสังหารอยู่อยู่อาศัยที่นั่น
คนเพียงคนเดียวได้พังทลายเมืองทั้งเมืองลงด้วยตัวเอง
แต่เขาไม่ได้หยุดแค่นั่น และเดินหน้าต่อไปยังจุดหมายต่อไปในทันที
มันดูเหมือนว่าเขาวางแผนที่จะยึดครองทั้งพื้นที่ทางใต้ในคราวเดียว
ตอนนั้นเอง กองกำลังของหลงซานก็ได้มาถึงยังเขาหมื่นดาบเป็นที่เรียบร้อยและกำลังเตรียมการสำหรับสงครามที่ดุเดือด เมื่อพวกเขาได้ยินข่าวใหม่นี้ พวกเขาก็ตกตะลึงไปในทันที
ราชาแห่งความโกลาหลกลับมาแล้วหรือ ? แล้วพวกเราควรทำยังไงล่ะ ?
พวกเขาควรต่อสู้ที่นี่หรือถอยทัพกลับไป ?
นอกจากขบวนกองกำลังของหลงซางที่น่าประทับใจอย่างเหลือเชื่อ พวกเขายังมีผู้เชี่ยวชาญด่านหยั่งรู้ฟ้าดิน 3 คนในการออกเดินทางครั้งนี้ ทว่าเขาหมื่นดาบก็ใช่ว่าจะเป็นเหยื่อที่อ่อนแอ
คราวนี้ นิกายไร้ขอบเขตไม่ได้พยายามที่จะปิดบังความแข็งแกร่งของมัน พวกเขาได้ใช้งานค่ายกลป้องกันของภูเขาและเตรียมพร้อมที่จะสู้จนตัวตาย
ค่ายกลป้องกันได้ถูกพัฒนาขึ้นในไม่กี่ปีที่ผ่านมา และพลังแสนรุนแรงกับคุณสมบัติที่ได้พัฒนาสูงขึ้นมากมายของมันก็คือผลที่ตามมา ภาพลวงที่ได้หลอกลวงเฉิ่นจืออันและพรรคพวกก็ไม่ใช่แค่พัฒนาการเพียงหนึ่งเดียวของมัน แต่เป็นเพียงหนึ่งในความสามารถใหม่ล่าสุดของมันต่างหาก และเพราะว่าเขตแดนของนิกายไร้ขอบเขตนั้นรวมไปถึงพื้นที่ทำเพาะปลูก มันก็หมายความว่าพวกเขาได้ผลิตทรัพยากรปริมาณมหาศาล เมื่อถูกนำไปใช้กับผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารจำนวนมาก มันก็เป็นไปได้อย่างแน่นอนที่ศิษย์แห่งนิกายไร้ขอบเขตจะสามารถยืดเวลาออกไปได้อีกหลายเดือน
และแม้ว่ากองทัพของหลงซางจะได้ฉกฉวยเขาหมื่นดาบไป พวกเขาก็จะต้องจ่ายราคามหาศาลเป็นแน่
แม่ทัพกวนเทานั้นเป็นทหารผ่านศึกผู้ชำนาญการ แต่กระทั่งเขาก็ยังลังเลในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี้และไม่สามารถตัดสินใจได้
…ก่อนที่ความลังเลของเขาจะจบลงที่โอกาสซึ่งมาถึง
3 วันต่อมา คำสั่งจากเมืองฉางผานก็มาถึง บอกว่าพวกเขาจะต้องละทิ้งปฏิบัติการครั้งนี้และกลับไปยังทางตะวันตกเฉียงใต้ในทันที
กวนเทาถอนหายใจ โชคดีที่เขาไม่หุนหันพลันแล่น และท่านจักรพรรดิก็ไม่ได้บ้าบิ่นเช่นกัน
การตัดสินใจนี้ไม่แปลกเลยแม้แต่น้อย การรบในสงครามจากทั้งสองฝ่ายพร้อมกันนั้นไม่ใช่ความคิดที่ฉลาด โดยเฉพาะเมื่อไม่มีฝ่ายใดที่สามารถรับมือได้ง่ายอยู่เลย
เย็นวันนั้น กวนเทาสั่งกองทัพของเขาให้ถอยทัพอย่างเงียบเชียบ
แม้ว่ากองทัพของเขาจะตั้งใจทำเช่นนั้นอย่างยิ่ง หลินเฉ่าเซวียนก็ปฏิเสธที่จะปล่อยพวกเขาไปง่ายดายถึงขนาดนั้น
สิ่งหนึ่งที่หลงซางอ่อนด้อยกว่านิกายไร้ขอบเขตเป็นอย่างมากคือการสื่อสาร
ผ้าเท่อลั่วเค่อได้เชื่อมต่อกลุ่มหลายกลุ่มเข้าด้วยกัน หากไม่พูดถึงเรื่องที่เขายังคงอยู่กับตระกูลจู ความสำคัญของเขานั้นสูงทีเดียว เพราะระยะสื่อสารของเขานั้นกว้างไกลอย่างน่าเหลือเชื่อ มันทำให้กลุ่มที่ห่างไกลกันเหล่านี้เชื่อมต่อกันได้อย่างมีประสิทธิภาพและสะดวกสบาย
หลินเฉ่าเซวียนรู้ถึงการโจมตีของหลินจุ้ยหลิวตั้งแต่แรกอยู่แล้ว และเขาก็ตั้งใจปล่อยให้ข้อมูลนี้ไปถึงหูกวนเทา
คำสั่งของเมืองฉางผานก็ไม่รอดพ้นสายตาของหลินเฉ่าเซวียนไปเช่นกัน อารามนิรันดร์กระทั่งนำหน้าไปหนึ่งก้าวด้วยเหตุนี้
ระหว่างช่วงเวลานี้ ความปลอดภัยของข้อมูลนั้นย่ำแย่ ไม่มีใครใส่ใจกับการป้องกันการรั่วไหลของข้อมูลมากนัก
กลับกัน นิกายไร้ขอบเขตรู้ถึงคุณค่ามหาศาลของข้อมูล และพวกเขาก็ใช้มันจนถึงประสิทธิภาพสูงสุด
หลังจากที่ได้รู้ว่าเมืองฉางผานได้ออกคำสั่งถอยทัพ หลินเฉ่าเซวียนก็คำนวณระยะเวลากว่าที่คำสั่งจะมาถึงอย่างรวดเร็ว แล้วจึงจับตาดูกองทัพหลงซางอย่างใกล้ชิดขณะที่ใกล้ถึงเวลาที่รอคอย
กวนเทากระทั่งขยันขันแข็งทำตามหน้าที่โดยการจัดตั้งค่ายกลภาพลวงหลอก ค่ายกลเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นโดยผู้เชี่ยวชาญในค่ายกลที่ดีที่สุดในกองทัพ ภายใต้สถานการณ์ปกติแล้ว นิกายไร้ขอบเขตคงจะถูกหลอกได้อย่างง่ายดาย
แต่สำหรับผู้ที่ได้เตรียมการแล้ว มันก็ไม่มีค่าแม้แต่น้อย
ด้วยการกระตุ้นเพียงครั้งเดียว หลินเฉ่าเซวียนก็รีบสันนิษฐานว่ากวนเทากำลังจะถอนทัพ
เขาไม่ลังเลแม้แต่น้อยนำทางศิษย์ทั้งหมดในนิกายขึ้นไปบนเรือเคลื่อนเมฆาและพุ่งตัวออกไป
บ่อน้ำประตูมังกร
มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเข้าไปถึงเขาหมื่นดาบโดยไม่ต้องผ่านสถานที่นี้ ขากลับก็เช่นกัน ดังนั้นแล้วมันจึงเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่ดีเยี่ยม
บ่อน้ำประตูมังกรไม่ได้เป็นสถานที่ที่อันตรายเป็นพิเศษด้วยตัวของมันเอง
แต่ไม่ใช่ทุกจุดยุทธศาสตร์ทางทหารจำเป็นจะต้องอันตรายด้วยตัวของมันเอง บางแห่งก็แค่บังเอิญเหมาะสมต่อการซุ่มโจมตีตามโดยธรรมชาติ
มีภูเขา 2 ลูกอยู่โดยรอบบ่อน้ำประตูมังกร และอีกฝั่งหนึ่งคือน้ำ พื้นที่ตรงกลางของมันยังอยู่ในระดับที่ต่ำลงไปซึ่งทำให้พลังต้นกำเนิดสามารถถูกกักขังไว้ที่นี่ได้อย่างง่ายดาย
ดังนั้นแล้ว แม้ว่าที่แห่งนี้จะดูไม่เหมือนจุดยุทธศาสตร์มากนัก มันก็เป็นตำแหน่งที่สำคัญเหลือเชื่อ
ภายใต้สถานการณ์ปกติ การตรวจสอบพื้นที่อย่างระมัดระวังก่อนเดินหน้าเข้าไปนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญเป็นอย่างมากเพื่อหลีกเลี่ยงการตกลงสู่ค่ายกลต้นกำเนิด
แต่กวนเทาไม่ได้ทำเช่นนั้น
ไม่ใช่ว่าเขาไม่ระมัดระวังตัว แต่กองทัพหลงซางพึ่งจะผ่านพื้นที่นั้นไปไม่นานนี้
นอกจากว่าใครบางคนได้เริ่มเตรียมค่ายกลต้นกำเนิดขึ้นหลังจากที่พวกเขาผ่านมาก่อนแล้ว ก็ไม่มีทางอื่นใดที่ค่ายกลนั้นจะประสบความสำเร็จในเวลาสั้น ๆ เช่นนี้ และวิธีเดียวที่มันจะเกิดขึ้นได้คือใครบางคนสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างปราดเปรียวเหนือมนุษย์ ไม่อย่างนั้นการจัดเตรียมการซุ่มโจมตีเช่นนี้นั้นไม่อาจเป็นไปได้เลย
ด้วยเหตุนี้ กวนเทาจึงเลือกที่จะไม่เสียเวลาอีกต่อไปและสั่งกองทัพของตนให้เข้าไปทันที
แต่ขณะที่พวกเขาเดินผ่านบ่อน้ำประตูมังกร เขาก็เริ่มนึกขึ้นได้ช้า ๆ ว่ามีบางสิ่งผิดแปลกไป
หลังจากที่พวกเขาเดินมาสักพัก กวนเทาก็มองไปรอบ ๆ ก่อนจะทำหน้าบูดบึ้ง “บางอย่างไม่ถูกต้อง”
“เกิดอะไรขึ้นหรือแม่ทัพกวน ?” เจียงหลิ่ว รองแม่ทัพของเขาถามขึ้น
กวนเทาไม่ได้ตอบอะไร คิ้วของเขาย่นมากขึ้นไปอีก
ทันใดนั้น เขาก็แตะนิ้วชี้ซ้ายลงไปหน้าผากและคำราม “หยุด !”
ดวงตาของเขาเบิกโพลงขณะที่แสงศักดิ์สิทธิ์ส่องสว่างมาบดบังสายตาหลังจากที่เขาเริ่มตรวจสอบบริเวณโดยรอบ
แต่แม้ว่าเขาจะได้ใช้งานวิชาเนตรไป ทว่าก็ยังไม่สามารถพบสิ่งใดที่น่าสนใจแม้แต่น้อย
ทันทีที่ประกายในตาของเขาเริ่มดับลงและเมื่อเขากำลังจะปิดตาลง เขาก็นึกบางสิ่งขึ้นได้ในทันใดและหันไปมองยังท้องฟ้าเบื้องบน
เขาพึมพำ “ท้องฟ้า… มันฟ้ามากเลย”
“ใช่ มันฟ้ามากเลยขอรับ” เจียงหลิ่วตอบ
กวนเทาเอ่ย “ก่อนที่พวกเราจะเข้ามาในบ่อน้ำประตูมังกร ข้าจำได้ว่ามองเห็นเมฆมืดทึบอยู่ไกลออกไป แต่ตอนนี้ข้ามองไม่เห็นมันแล้ว”
อะไรนะ ?!
ผู้คนรอบตัวเขาต่างตกตะลึง
กวนเทาบินขึ้นไปในอากาศ คราบนี้เขาพุ่งตรงขึ้นไปยังท้องฟ้า
เขารีบรุดมองลงมาเบื้องล่าง และแสงสว่างเช่นเดิมก็ปรากฏขึ้นในตาของเขาอีกครั้ง แต่ในคราวนี้เขาได้ใช้วิชาเนตรไปจนถึงขีดสุด ไม่เพียงเท่านั้นแต่รัศมีด่านหยั่งรู้ฟ้าดินของเขายังเริ่มแผ่ซ่านออกไปปกคลุมทุกสิ่งโดยรอบ
ไม่มีใครรู้ว่าทำไมกวนเทาจึงตัดสินใจที่จะเอาหน้าเช่นนี้ แต่พวกเขาก็ยังมองอยู่ แต่ทันใดนั้น ท้องฟ้าเบื้องบนก็เริ่มแตกร้าวราวกับว่าแก้วที่บุบสลาย ในพริบตาเดียว รอบแตกคล้ายใยแมงมุมก็กระจายไปทุกหนแห่ง
หลังจากนั้น เสียงหนึ่งก็ถอนหายใจ “แม่ทัพกวนก็คือแม่ทัพกวนจริง ๆ จะหลอกเจ้านี่ไม่ง่ายเลยนะ”
กวนเทาตะลึงงัน “หลินเฉ่าเซวียน ?”
ร่างของหลินเฉ่าเซวียนปรากฏขึ้นทันใดขณะที่เขาส่งยิ้มบูดเบี้ยวให้แก่กวนเทา “เฉ่าเซวียนทักทายแม่ทัพกวน ไม่เจอกันนานเลยนะ แต่ท่าทางสง่างามของท่านก็ยังคงเหมือนเดิม”
เมื่อเห็นหลินเฉ่าเซวียน สีหน้าของกวนเทาก็พลิกกลับขณะที่เขาตะโกนลั่น “แย่แล้ว ! มีการซุ่มโจมตีที่นี่ ! รีบออกไปจากที่นี่ซะ !”
“สายไปแล้วละ” หลินเฉ่าเซวียนกล่าวพร้อมถอนหายใจ “แม้ว่ากองทัพของเจ้าจะไม่ได้เข้ามาในบ่อน้ำประตูมังกรทั้งหมด แต่ได้มามากกว่าครึ่งก็ดีพอแล้วละ”
ขณะที่เขาพูด ท้องฟ้าที่กำลังแตกสลายก็พังลงในที่สุด และเมฆฝนฟ้าคะนองแถบมโหฬารก็เผยตัวตนออกมาเบื้องบน
วินาทีหลังจากนั้น สายฟ้าที่ทรงพลังก็ผ่าลงมาจากฟ้าและฟาดลงบนพื้นดิน
“นี่คือค่ายกลนภาสายฟ้า !” กวนเทาตะโกนขณะที่เขาปลดปล่อยหมัดอันป่าเถื่อนขึ้นไปยังท้องฟ้า
หมัดนี้เปี่ยมไปด้วยพละกำลัง และมันยังคายแรงกดดันมหาศาลออกมาอีกด้วย เห็นได้ชัดว่าหมัดนี้นั้นสามารถทำลายภูเขาลงได้เลยทีเดียว แต่กระทั่งหมัดแสนทรงพลังนี้ก็ไม่อาจทำลายค่ายกลต้นกำเนิดที่ศิษย์นิกายไร้ขอบเขตใช้กำลังคนและทรัพยากรมากมายสร้างขึ้นมา หมัดนั้นทำได้เพียงลดความรุนแรงของสายฟ้าลงเล็กน้อย ซึ่งช่วยยื้อเวลาให้กองทัพของกวนเทาได้หลบหนีไป
หลินเฉ่าเซวียนถอนหายใจ “แม่ทัพกวน เจ้ากำลังตื่นตระหนก และเมื่อตื่นตระหนก เจ้าก็มีแต่จะสร้างข้อผิดพลาดมากขึ้นไปอีก”
ขณะที่พูดเขาก็โบกมือไปด้วย ที่แม่น้ำข้างหลังพวกเขาซึ่งพึ่งจะไหลอย่างเอื่อยเฉื่อยอยู่เมื่อครู่ เริ่มขยายใหญ่ขึ้นก่อนที่จะกลายร่างเป็นอสูรยักษ์ เหล่าอสูรกายยังคงก่อร่างขึ้นจากน้ำและพุ่งตรงมายังเหล่าทหารหลงซานอย่างไม่หยุดยั้ง บังเอิญยิ่งนักที่กองทหารหลงซานเองก็กำลังอยู่ในกระบวนการถอยทัพ พวกเขาจึงเพียงแค่นำพาตัวเองเข้าไปสู่เงื้อมมือของศัตรูเท่านั้น
“ไม่ !” กวนเทาตะโกน
เขาไม่คาดคิดว่าหลินเฉ่าเซวียนจะสนใจในค่ายกลหยินหยางไหลเวียนแทนที่จะเป็นค่ายกลนภาสายฟ้า สายฟ้าเหล่านั้นเป็นเพียงตัวหลอกล่อเท่านั้น แม่น้ำที่เชี่ยวกรากนี้คือไม้ตายที่แท้จริง เป้าหมายของหลินเฉ่าเซวียนคือไม่ใช่การสังหารผู้เชี่ยวชาญด่านหยั่งรู้ฟ้าดิน แต่เป็นการโจมตีผู้คนในระดับต่ำให้ได้มากที่สุดต่างหาก
บางทีพวกเขาอาจรู้ว่าไม่มีเวลาเพียงพอที่จะตั้งค่ายกลที่สามารถสังหารผู้เชี่ยวชาญด่านหยั่งรู้ฟ้าดินได้
แต่แม้ว่าพวกเขาไม่อาจสังหารผู้เชี่ยวชาญด่านหยั่งรู้ฟ้าดิน พวกเขาก็สามารถสังหารคนอื่น ๆ ได้
ภายใต้น้ำหนักของคลื่นหนาแน่นที่กดทับพวกเขา ผู้เชี่ยวชาญด่านหลอมกายาสามารถถูกสังหารได้ภายในพริบตาทีเดียว ผู้เชี่ยวชาญด่านทะลวงฟ้าดินสามารถทนได้นานกว่าสักหน่อย แต่สุดท้ายพวกเขาก็เพียงแค่ยืดความทรมานออกไปเท่านั้น
มีเพียงผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารเท่านั้นที่แข็งแกร่งพอที่จะหลบหนีไปจากอิทธิพลของคลื่นยักษ์นี้ แต่ทันทีหลังจากที่พวกเขารอดมาได้ ลำแสงดาบมากมายก็ปรากฏขึ้นเต็มท้องฟ้าและพุ่งตรงมายังพวกเขา
ศิษย์นิกายไร้ขอบเขตไม่รอคอยอย่างนิ่งเฉยขณะที่กองทัพหลงซางกำลังตื่นตระหนก
พวกเขาได้ปกปิดตัวตนในค่ายกล และกำลังใช้ข้อได้เปรียบในความเป็นเจ้าของเพื่อสังหารผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่ง
“ดี หลินเฉ่าเซวียน ! ดีมาก !” กวนเทาคำรามขณะที่จ้องเขม็งไปยังหลินเฉ่าเซวียนด้วยความโกรธแค้น “เจ้าเอาทุกสิ่งที่ข้าสอนมาใช้กับข้าเสียอย่างนั้น !”
หลินเฉ่าเซวียนถอนหายใจอีกครั้ง “เฉ่าเซวียนจะไม่ลืมคำแนะนำแสนเมตตาของแม่ทัพกวน ตราบใดที่แม่ทัพกวนไม่ได้โจมตีด้วยตัวเอง เฉ่าเซวียนก็สัญญาว่าจะไม่ทำร้ายท่าน”
“แล้วนั่นแปลว่าเจ้าฆ่าพวกเขาได้หรือไงกัน ? อย่าลืมว่าเจ้าก็เป็นประชาชนของอาณาจักรหลงซางนะ !” กวนเทาตำหนิเขาด้วยความแค้นเคือง
หลินเฉ่าเซวียนตอบอย่างใจเย็น “แน่นอนว่าข้ายังไม่ลืม แต่แม่ทัพกวน ท่านดูจะลืมสิ่งที่เกิดขึ้นกับกองทัพกำลังสวรรค์ก่อนหน้านี้ไปนะ”
กวนเทาตะลึงงัน
หลินเฉ่าเซวียนพูดต่อไป “และคราวนี้ ไม่ใช่ราชวงศ์หรือที่เป็นฝ่ายจู่โจมนิกายไร้ขอบเขตก่อน ? พวกเราล้วนเป็นมนุษย์ และเรากระทั่งมาจากพื้นเพเดียวกัน ข้าจะต้องการทำร้ายพวกเขาได้อย่างไรกัน ? แต่ดูเหมือนว่าเจ้าจะเป็นผู้ที่หันหลังให้กับพวกเราก่อนนะ ! มีแค่พวกเจ้าหรือที่ไม่จำเป็นต้องพิจารณาสิ่งเหล่านี้เมื่อเจ้าต้องการจะสังหารผู้คนน่ะ ?”
กวนเทาปิดปากเงียบ
เสียงร้องโอดครวญจากเบื้องล่างยังคงดังอยู่อย่างต่อเนื่อง ผู้เชี่ยวชาญด่านหยั่งรู้ฟ้าดิน 2 คนของเขาได้พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าและปล่อยหมัดแล้วหมัดเล่าใส่ท้องนภาขณะที่พวกเขาพยายามทำลายค่ายกล
หนึ่งในคนที่กำลังบ้าคลั่งเป็นพิเศษกระทั่งร้องออกมา “กวนเทา ทำไมต้องเสียน้ำลายคุยกับเขาอีก ? รีบพยายามพังออกไปจากค่ายกลนี้กันเถอะ !”
“มันสายไปแล้วล่ะ” กวนเทาถอนหายใจอย่างน่าเศร้า
กวนเทาได้เคยสอนหลินเฉ่าเซวียนถึงค่ายกลหยินหยางไหลเวียนนี้ ในตอนนั้น หลินเฉ่าเซวียนเป็นเด็กที่ช่างสงสัยและฉลาดหลักแหลม กวนเทาได้สังเกตเห็นถึงความอัจฉริยะของเขาและสอนวิธีการใช้ค่ายกลหยินหยางไหลเวียนให้เพื่อใช้ซุ่มตีศัตรูที่แข็งแกร่งกว่า ไม่มีใครรู้จักองค์ประกอบของค่ายกลนี้ดีไปกว่าเขา
เนื่องจากไม่มีทหารคนใดที่อยู่ต่ำกว่าด่านผลาญจิตวิญญาณรอดชีวิตไปได้ และกระทั่งผู้เชี่ยวชาญด่านผลาญจิตวิญญาณก็ได้รับบาดเจ็บไม่น้อยเช่นกัน
ราว ๆ ครึ่งหนึ่งของกองทหารได้เข้าไปในค่ายกลหยินหยางไหลเวียน พูดอีกอย่างคือ กองทัพครึ่งหนึ่งได้หายไปในชั่ววินาทีเดียวเท่านั้น
การโจมตีทำลายล้าง !!!